1
แ ด น ฝั น
.................
ลิฟต์ ความเงียบ และสาวเจ้าเนื้อ ลิฟต์เลื่อนไหลลงล่างเชื่องช้าจนแทบลมหายใจขาดห้วง ผมวาดภาพไปเอง ว่าน่าจะเคลื่อนลงล่าง ไม่มีทางยืนยันให้มั่นใจ ไหลเอื่อยเชื่องช้าจนไม่อาจ ระบุทศิ ทางได้อกี ต่อไปแล้ว อาจจะเคลื่อนลงล่างหรือไม่ขยับไปไหน เออนะ, สมมติว่าเคลื่อนขึ้นบนเล่า? เป็นเพียงแค่การคาดเดา ผมอาจจะขึ้นบนไป สิบสองชั้นแล้วเลื่อนลงล่างอีกสาม...หรือว่าโคจรเป็นวงรอบโลกไปแล้ว ผมจะทราบได้ยังไงกัน? ทุกรายละเอียดของลิฟต์ตัวนี้แตกต่างไปจากลิฟต์โกโรโกโสในอาคาร อพาร์ตเมนต์ของผมที่แทบไม่ต่างไปจากถังตักน�ำ้ ขึ้นจากบ่อ ใครจะไปเชื่อ ได้เล่าว่าเครื่องจักรกลสองชิ้น มีชื่อเรียกขานเดียวกัน ท�ำหน้าที่เดียวกัน จะแตกต่างกันได้มากขนาดนี้ แรกสุด จะเป็นพื้นที่ โล่งกว้าง ลิฟต์ตัวนี้กว้างขวางพอจะชะลอ ส�ำนักงานเข้ามาวางไว้ได้เลย วางโต๊ะท�ำงานที่นั่น วางตู้เก็บเอกสารตรงนี้ แถมครัวขนาดเล็กทั้งแผง ก็ยังมีที่ว่างเหลือเฟือ ไหนๆ ก็ตบแต่งส�ำนักงาน แล้ว จะลากอูฐเข้ามาอีกสามตัวกับต้นปาล์มขนาดกลางสักต้นยังพอไหว ข้อทีส่ อง ความสะอาด สะอาดใสหมดจดปลอดเชือ้ เหมือนโลงใหม่เอีย่ มอ่อง ผนังและเพดานไร้ไฝฝ้าจุดราคี แผ่นสเตนเลสขัดมันวาววาม พืน้ ห้องปูดว้ ย พรมหนานุ่มสีเขียวมอสส์ ข้อที่สาม ความเงียบ เงียบสงัด เงียบงัน ไม่มี นพดล เวชสวัสดิ์
15
แม้สักเสียงเดียว นับจากก้าวแรกที่ผมเดินเข้ามาในลิฟต์ ประตูเลื่อนปิด เงียบกริบจนไม่รู้ว่าหยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่...น�้ำลึกไหลเงียบ อีกเรื่อง ประดาปุ่มตุ่มตอทั้งหลายที่พึงมีในลิฟต์หายไปหมดเกลี้ยง แผงหน้าปัดไปอยู่เสียที่ ไหน? แผงที่บรรจุปุ่มและสวิตช์สั่งการหายไปอยู่ ที่ใด? ไม่มีหมายเลขชั้นให้กด ไม่มีปุ่มประตูเปิด ปุ่มประตูปิด ปุ่มหยุด ฉุกเฉิน ไม่เหลืออะไรเลย ความเกลี้ยงเกลาหมดจดท�ำให้ผมล่อนจ้อน ไร้หนทางป้องกันตนเอง ไม่ใช่เพียงแค่ปมุ่ เท่านัน้ ยังไม่มตี วั เลขระบุชนั้ ไม่มี แผ่นป้ายระบุความจุ ไม่มีค�ำเตือน ไม่มีแม้ป้ายชื่อของบริษัทผู้ผลิต อย่าได้ หวังว่าจะหาทางออกฉุกเฉิน ผมพลัดหลุดเข้ามาในนี้ ล้อมกักอยู่ในกล่อง สเตนเลส ไม่มที าง ลิฟต์ตวั นี้ ไม่นา่ จะผ่านการอนุมตั ขิ องแผนกดับเพลิงและ ป้องกันอัคคีภัย หากเป็นลิฟต์ก็น่าจะมีมาตรฐานก�ำกับลิฟต์อยู่ มิใช่หรือ? สายตากวาดมองผนังสเตนเลสว่างเปล่า ผมอดนึกถึงมายากลสุดยอด ของฮูดินีที่เคยเห็นในภาพยนตร์สมัยเด็กๆ มิได้ ร่างพันโซ่ ผูกเชือกมัด รอบตัว ยัดลงไปในกล่องใหญ่ รัดหุม้ แน่นหนาด้วยโซ่เหล็กขนาดใหญ่อกี ชัน้ โยนทัง้ ยวงลงไปในน�ำ้ ตกไนแองการา หรือจะเป็นทะเลน�้ำแข็งอาร์กติก เออ, ในเมื่อผมไม่มีโซ่ผูกไม่มีเชือกพัน ก็ไม่เลวนัก ไม่มีใคร บอกใบ้ วิธีสะเดาะ กุญแจแก้เชือก ฮูดินีเก่งกว่าผมอีกขั้น พูดถึงเรื่องการบอกใบ้ ผมไม่รู้เสียด้วยซ�้ำไปว่าผมยืนเคลื่อนที่หรือ ลอยนิ่งค้างกลางอากาศ ผมลองซ้อมเสียง กระแอมกระไอออกมา เสียงสะท้อนไม่ก้องเหมือน เสียงไอ เสียงไร้กังวานเหมือนขว้างก้อนโคลนปะทะก�ำแพงคอนกรีต ผม ไม่เชื่อเลยว่า เสียงปุนั้นจะเป็นเสียงที่มีต้นก�ำเนิดจากตัวผม ผมลองเสียง ซ�้ำอีกครั้ง ได้ผลเหมือนเดิม เออนะ, แม้แต่เสียงกระแอมยังผิดคีย์ ผมยื น โดดเดี่ ย วเดี ย วดายอยู ่ ใ นกล่ อ งปิ ด มิ ด ชิ ด เนิ่ น นานเหมื อ น ชั่วนิรันดร์ ประตูลิฟต์ ไม่มีวี่แววว่าจะเลื่อนเผยแยกออกจากกัน นิ่งงันใน ความเงียบ...ภาพหุ่นนิ่ง : ชายในลิฟต์ ผมชักจะมีอาการประสาทกระตุก หวา, ถ้าเผื่อลิฟต์เสียล่ะ? หรือ สมมติ ว ่ า ผู ้ ค วบคุ ม ลิ ฟ ต์ . ..ถ้ า จะมี สั ก คน ลื ม ไปแล้ ว ว่ า ผมอยู ่ ใ นกล่ อ งนี้ 16
แดนฝัน
...ใช่ว่าจะเป็นครั้งแรก ผมเคยหลุดลอดสายตาผู้คนมาก่อนแล้ว ผมเงี่ยหูเสาะหาเสียง เสียงอะไรก็ ได้ แต่ ไม่มีเสียงเดินทางเข้าหู ผมกดใบหูแนบกับผนังสเตนเลส แน่อยู่แล้ว ไม่มีเสียงใดให้ ได้ยิน จะมี ก็แต่เพียงรอยประทับหูบนแผ่นโลหะเย็นเฉียบ ดูเหมือนว่าลิฟต์จะสร้างจาก โลหะมหัศจรรย์ดูดซับสรรพเสียง ผมพยายามผิวปาก แดนนี บอย เสียงที่ ลอดออกมาเหมือนเสียงหมาเป็นหืดหอบกระเส่า ไม่มีอะไรอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากการยืนพิงผนัง นับเศษเหรียญใน กระเป๋ากางเกง ส�ำหรับคนทีป่ ระกอบอาชีพแบบผม การเรียนรูก้ ารฆ่าเวลา นับได้ว่ามีความส�ำคัญยิ่ง ถือเป็นการฝึกปรือแทบไม่ต่างไปจากการบีบ ลูกบอลยางในยามว่างของนักมวยอาชีพ มองในแง่วิชาการ จะเรียกเป็น การฆ่าเวลาก็คงไม่ถนัดนัก จะมีก็แต่การท�ำซ�้ำไม่ลดละที่พอจะบ�ำบัดการ ไหลเทเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ผมเตรียมพร้อมเสมอ เติมกระเป๋ากางเกงด้วยเศษเหรียญ กระเป๋า กางเกงข้างขวา จะเป็นเหรียญร้อยเยนกับเหรียญห้าร้อยเยน กระเป๋า ข้างซ้าย เหรียญห้าสิบเยนกับเหรียญสิบเยน เหรียญเยนเดียวกับเหรียญ ห้าเยนอยู่ในกระเป๋าหลัง ตามกติกา ไม่มีส่วนร่วมในการนับ ผมเพียงแค่ สอดสองมือล้วงกระเป๋าพร้อมเพรียงกัน เริ่มนับร้อยกับห้าร้อยด้วยมือขวา และมือซ้ายบวกรวมสิบกับห้าสิบ นับเป็นเรื่องยากส�ำหรับผู้ที่ ไม่เคยลองท�ำมาก่อน การบวกรวมเลข สองมือแปลกพิลึกในคราวแรกที่ลองท�ำ สมองข้างขวากับสมองข้างซ้าย ท�ำหน้าที่พร้อมกัน ขนานกันไป ก่อนจะน�ำมาบวกรวมเหมือนเอาแตงโม สองครึ่งกลับมาประกอบรวมกัน ไม่ใช่เรื่องงายดายนักจนกว่าจะฝึกให้ ช�ำนาญ ผมไม่แน่ใจนักว่าผมใช้สมองข้างซ้ายหรือว่าข้างขวา ท�ำหน้าที่เป็น กรรมการแยกการนั บ สองฟาก ผมไม่ อ าจยื น ยั น ได้ ผู ้ เ ชี่ ย วชาญเรื่อ ง ประสาทสรีรวิทยาน่าจะให้ค�ำตอบได้ ผมไม่ใช่นักประสาทสรีรวิทยาอยู่แล้ว เท่าที่ทราบในระหว่างการนับเลขบวกรวมกัน ผมรู้สึกว่าสมองซีกซ้ายกับ สมองซีกขวาท�ำงานแยกกันเป็นเอกเทศ เมื่อการนับเสร็จสิ้น ผมรู้สึกว่า นพดล เวชสวัสดิ์
17
สมองเหนื่อยล้า แต่กเ็ ป็นความเหนื่อยล้าที่ไม่คล้ายกับการบวกเลขธรรมดา สามัญ กล่าวโดยสรุป เพื่อง่ายต่อการท�ำความเข้าใจ ผมใช้สมองซีกขวา บวกรวมเลขในกระเป๋าข้างขวา และสมองซีกซ้ายรับมือกับการรวมในกระเป๋า ข้างซ้าย มองในแง่นี้ ผมน่าจะเป็นหนึ่งในประดาคนที่ชอบสรุปเรื่องให้ง่าย แก่การท�ำความเข้าใจ ไม่ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจ�ำวัน หรือ สภาวะการด�ำรงอยู่ ใช่ว่าผมจะหมกมุ่นสร้างชื่อเป็นคนมองโลกโดยสรุป เพื่อง่ายแก่การท�ำความเข้าใจ แม้จะมีความโน้มเอียงไปในทิศทางนั้น บ่อยครั้ง ผมพบว่า การมองโลกโดยประมาณ พาเราเข้าไปใกล้ธรรมชาติ แท้จริงของสรรพสิ่ง ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าโลกของเรามิใช่ทรงกลม หากแต่แบน ราบเหมือนโต๊ะกาแฟกว้างใหญ่ไพศาล จะท�ำให้ชีวิตประจ�ำวันแตกต่างไป จากเดิมได้เชียวหรือ? เอาเถอะ, อาจเป็นสมมติฐานทีพ่ ลิ กึ พิลนั่ ไปสักหน่อย คนเราไม่อาจสมมติเปลี่ยนแปลงข้อก�ำหนดในชีวิตได้เสรีขนาดนั้น แต่มอง โลกให้แบนราบเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ เพื่อให้งา่ ยแก่การท�ำความเข้าใจ จะเห็น ได้ว่าตัดความรกรุงรังในชีวิตไปได้มากโข...เรื่องไร้ประโยชน์ ในเชิงปฏิบัติ อาทิเช่น แรงโน้มถ่วงของโลก เส้นวันที่ หรือเส้นศูนย์สตู ร ประดาเรื่องรุงรัง ที่เกิดเนื่องเพราะโลกทรงกลม ลองคิดดูทีเถอะ ส�ำหรับคนที่ด�ำเนินชีวิต สุดแสนจะธรรมดา จะมีสักกี่ครั้งคราในช่วงชีวิตหนึ่งที่เส้นศูนย์สูตรจะได้ เล่นบทส�ำคัญ? ย้อนกลับมาหาปัญหาในมือ...ในสองมือจะตรงกว่า มือขวากับมือซ้าย ต่างท�ำหน้าที่ของตนแยกเป็นเอกเทศ ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะปล่อยให้มีการ ประมวลผลขนานกันเช่นนี้ แม้แต่ผมเองก็เถอะ กว่าจะจัดการได้อยูห่ มัด กิน เวลานานโข แต่เมื่อท�ำได้แล้ว รู้วิธีเล่นทาง ก็ไม่มีวันลืมเลือน เหมือนเช่น การขีจ่ กั รยานหรือว่ายน�้ำ ซึง่ ก็คงไม่เว้นทีจ่ ะกล่าวว่าฝึกเพิม่ เติมสักหน่อยไม่ เสียหลาย การฝึกการท�ำซ�ำ้ ช่วยให้แม่นเทคนิค และขัดเกลาสไตล์เฉพาะตัว ให้สกุ ปลัง่ ถ้าไม่ตอ้ งการเหตุผลมากไปกว่านี้ ก็ถอื เป็นการท�ำให้มอื สองข้าง ไม่ว่างได้อย่างชะงัด 18
แดนฝัน
คราวนัน้ ผมมีเหรียญห้าร้อยเยนสามเหรียญ เหรียญร้อยเยนสิบแปด ในกระเป๋ากางเกงข้างขวา อีกกระเป๋าจะมีเหรียญห้าสิบเยนเจ็ดเหรียญ และ เหรียญสิบเยนอีกสิบหก บวกรวมเร็วด่วนทันใจได้สามพันแปดร้อยสิบเยน การค�ำนวณหมดจด ไม่มีปัญหา ง่ายกว่าการแบมือนับนิ้วเสียอีก ผมพอใจ แล้ว เอนหลังพิงผนังสเตนเลส ทอดสายตามองบานประตูที่ยังไม่มีทีท่าว่า จะเผยอออกจากกัน ท�ำไมใช้เวลานานขนาดนี้? ผมอุตส่าห์ตัดทฤษฎีเรื่องลิฟต์เสียและ คนเฝ้าลิฟต์หลงลืมไปแล้ว ทางสองสายไม่ควรจะเกิดขึน้ ได้ ใช่วา่ เครื่องจักร จะไม่มีวันบกพร่องหรือคนท�ำงานไม่มีวันพลั้งเผลอ ผมทราบดีว่าอุบัติเหตุ เช่นนัน้ เกิดขึน้ บ่อยครัง้ ในโลกความเป็นจริง สิง่ ทีผ่ มสรุปได้ตามวิสยั มองโลก ให้งา่ ยแก่การท�ำความเข้าใจ โลกทีผ่ มยืนอยูใ่ นขณะนี้ ถือเป็นความเป็นจริง ระดับพิเศษสุดยอด ยกตัวอย่างเรื่องลิฟต์หมดจด ไม่มปี มุ่ ไม่มหี น้าปัด จะหา อะไรพิเศษได้มากไปกว่านี้? หากจะมีมนุษย์สักคนออกแบบลิฟต์ให้พิสดาร ระดับนี้ ได้ จะเป็นไปได้หรือว่าจะปล่อยให้เกิดเรื่องโง่ๆ ปล่อยให้ลิฟต์เสีย หรือไร้ผู้ควบคุม หลังจากที่ผู้ โดยสารเดินเข้าไปในลิฟต์? ค�ำตอบเห็นได้ชัดในตัว...ไม่มีทาง ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่มที างเป็นไปได้ หลังจากการตรวจสอบถีย่ บิ จนมาถึงขัน้ นี้ สอบทาน ตรวจวัดแทบจะเรียกได้ว่าทุกมิลลิเมตรของก้าวย่าง เจ้าหน้าที่รักษาความ ปลอดภัยสองนายสอบถามว่าประสงค์จะมาพบผู้ ใดในอาคาร ตรวจสอบ ชื่อของผมกับรายชื่อผู้มาเยือน ผมต้องแสดงใบขับขี่รถยนต์ ป้อนเข้าไปใน คอมพิวเตอร์เพื่อระบุยนื ยัน ก่อนจะมีคนคุมตัวเดินเข้ามาส่งในลิฟต์ แม้แต่ เดินเข้าไปเยีย่ มโรงกษาปณ์ก็ไม่เคยผ่านการตรวจสอบรัดกุมขนาดนี้ เป็นไป ไม่ได้ ไม่มที างเกิดขึน้ ถ้าจะเลินเล่อ ปล่อยให้เกิดความผิดพลาดเล็กน้อยใน ขั้นตอนสุดท้าย ความเป็นไปได้สถานเดียว พวกนั้น จงใจดันผมให้ตกอยู่ในภาวะพิเศษ จงใจตัดเครื่องหมายบ่งชี้ทั้งมวล จงใจลดทอนอัตราเร็วของลิฟต์ให้เชื่องช้า ผมจะได้ ไม่ทราบว่าลิฟต์เลื่อนขึ้นบนหรือลงล่างหรือเคลื่อนไปทิศทางใด นพดล เวชสวัสดิ์
19
เป็นไปได้ เป็นไปได้มากทีเดียวว่า ตอนนี้พวกนั้นคงจับตามองผมผ่าน กล้องโทรทัศน์วงจรปิด เพื่อสยบความเบื่อหน่าย ผมคิดจะค้นหาเลนส์กล้อง แต่ความคิด วูบถัดมา หาพบจะเกิดประโยชน์ ใดเล่า? มีก็แต่เพียงท�ำให้พวกนั้นรู้ตัว แตกตื่น จนสั่งให้ลิฟต์หยุดเคลื่อนที่ ท�ำให้ล่าช้าผิดเวลานัดหมายไปอีก ผมตัดสินใจไม่ท�ำอะไรเลย ผมเดินทางมาที่นี่ เดินทางมาตามค�ำเชิญ ให้มาท�ำงาน ไม่มีเหตุจะต้องกังวล ไม่จ�ำเป็นจะต้องตื่นกลัว ผมยืนพิงผนังสเตนเลส สองมือล้วงกระเป๋า ปลายนิว้ เคลื่อนนับเหรียญ บวกรวมกันซ�้ำอีกรอบ สามพันเจ็ดร้อยห้าสิบเยน ง่ายดายเพียงนั้น ส�ำเร็จ ได้ ในเสี้ยวอึดใจ สามพันเจ็ดร้อยห้าสิบเยน? ผิดปกติแล้ว ผมนับพลาดไปที่ไหนสักแห่ง ฝ่ามือของผมเปียกชื้น การนับเหรียญรวมกันในกระเป๋าตลอดสามปี ที่ผ่านมา ไม่เคยสักครั้งที่จะผิดพลาด นี่เป็นลางร้ายเสียแล้ว ผมหลับตาปล่อยให้สมองซีกขวาและสมองซีกซ้ายว่างเปล่าไม่ต่าง ไปจากการเช็ดแว่นตา ผมดึงมือสองข้างออกจากกระเป๋ากางเกง เช็ดฝ่ามือ กับต้นขา เหมือนเฮนรี ฟอนดา ยืนปักหลักตระหง่านก่อนการดวลปืนใน วอร์ล็อก ฝ่ามือและปลายนิ้วแห้งสนิท ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง บวกรวมเหรียญในกระเป๋าเป็นครั้งที่สาม ถ้ายอดรวมตรงกับผลลัพธ์หนึ่ง ในสอง ก็น่าจะพอช่วยให้ใจชื้น มนุษย์ท�ำผิดพลาดได้ ในสภาวการณ์พิลึก ผมพบว่า ผมกระวนกระวาย อาจเลยไกลไปถึงความเชื่อมั่นในตนเอง เกินปกติกเ็ ป็นได้ นัน่ เป็นความผิดพลาดแรกสุด ไม่ยาก แก้ไขบ�ำบัดได้ดว้ ย การนับสอบทานเพื่อยืนยันผล ก่อนที่ผมจะจัดการภารกิจในมือได้ลุล่วง ประตูลิฟต์เผยแยกออก จากกัน ไม่มกี ารเตือนล่วงหน้า ไม่มเี สียง เพียงแค่เผยเลื่อนแยกออกจากกัน ผมทุม่ สมาธิไปกับการประมวลผลสองซีกสมองจนไม่ได้สงั เกตเห็น กล่าวให้ 20
แดนฝัน
แน่ชดั สายตาของผมมองเห็นบานประตูเลื่อนเปิด แต่ไม่ได้สดับความหมาย ส�ำคัญ แน่นอนอยูแ่ ล้ว ประตูเปิดกว้าง หมายถึงการต่อเชื่อมพืน้ ที่โล่งกว้าง สองหย่อม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแยกคั่นปิดขวางด้วยบานประตู ในขณะเดียวกัน ก็หมายความถึงการเดินทางบรรลุถึงปลายทางแล้ว ผมหันมาสนใจกับสิ่งที่อยู่นอกประตู เลยจากกรอบประตูเป็นช่อง ทางเดิน กลางช่องทางเดินมีสตรีนางหนึง่ ยืนอยู่ สาวรุน่ สูทสีชมพู รองเท้า ส้นสูงชมพู สูทวัสดุมันวาว ใบหน้าผ่องเปล่งปลั่งปานกัน เธอพินิจการ ปรากฏตัวของผม ค้อมศีรษะทักทาย <เชิญทางนี้> ดูเหมือนเธอจะกล่าว เช่นนั้น ผมล้มเลิกกระบวนการนับเหรียญ ดึงมือออกจากกระเป๋ากางเกง เดินออกจากลิฟต์ บานประตูเลื่อนปิดทันควัน ประหนึ่งรอคอยให้ผม หลุดออกจากที่นั่น เมื่อมายืนในช่องทางเดิน ผมเหลียวซ้ายแลขวา แต่ก็ ไม่อาจหา หลักสังเกตใดๆ ที่จะระบุยืนยันว่าอยู่ที่ ไหน ดูเหมือนว่าผมจะมาตกอยู่ใน ช่องทางเดินของอาคาร เด็กนักเรียนประถมคนไหนๆ ก็บอกเรื่องนี้ ได้ ช่องทางเดินว่างเปล่า หมดจด ไร้การตกแต่ง ไม่ต่างไปจากลิฟต์ วัสดุคุณภาพทุกตารางนิ้ว ไม่มีร่องรอยขูดขีดสึกกร่อน พื้นหินอ่อน ขัดจน ขึ้นเงาวาววับ ผนังสีขาวครีมเหมือนมัฟฟินที่ผมกระเดือกเป็นอาหารเช้า สองข้างช่องทางเดินเป็นประตูบานไม้ แต่ละบานมีป้ายโลหะระบุตัวเลข ไร้ล�ำดับ <936> ติดกับ <1213> ถัดไปเป็น <26> ผิดเพี้ยน พิลึกอีกแล้ว ไม่มีใครนับเลขห้องแบบนี้ สาวน้อยสีชมพูไม่สง่ เสียงออกมา หากจะกล่าวว่า ‘เชิญทางนี’้ เป็นแต่ เพียงริมฝีปากจีบเป็นรูปค�ำ แต่ไม่มีเสียงลอดออกมา นับแต่มาท�ำงานนี้ ผมเข้าเรียนวิชาอ่านริมฝีปากสองเดือน ไม่มีปัญหา เข้าใจเรื่องที่เธอพูด ผมคิดไปเองว่าโสตประสาทของผมคงช�ำรุดไปแล้ว หลังจากความเงียบสนิท ในลิฟต์ เสียงไอผิดคีย์ และเสียงผิวปากหมาเป็นหืด หูคงใช้การไม่ได้แล้ว กระมัง ผมไอออกมา เสียงก็เป็นปกติ ผมได้ความเชื่อมั่นในรูหูคืนกลับมา หูของผมยังไม่ช�ำรุด ปัญหาน่าจะอยู่ที่ปากของสาวน้อย นพดล เวชสวัสดิ์
21
ผมเดินตามหลังเธอ เสียงส้นรองเท้าดังกังวานสดใสในช่องทางเดิน ว่างเปล่าเหมือนหลุมขุดโบราณคดี ท่อนขาอวบอ้วนในถุงน่อง สะท้อนสดใส จากพื้นมันขลับ สาวน้อยค่อนไปทางเจ้าเนื้อ สาวรุ่นหน้าหวาน เครื่องเคราจิ้มลิ้ม ครบทุกกระบวน...ดูมุมใดก็เจ้าเนื้อ สาวรุ่นหน้าหวานอวบอ้วน ไม่ใคร่ได้ เห็นบ่อยนัก เดินตามหลังเธอ ผมเขม้นจ้องทุกสัดส่วน เมื่อใดที่ตกไปอยู่ใกล้สาวสวยพังแป้น ผมประสาทกระเจิงทุกคราว ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน อาจเป็นเพราะภาพการเขมือบขย�ำ้ อาหารประทับไว้ ชัดเจนในห้วงความคิด ทุกคราวที่ผมพบหญิงอ้วน ผมจะมองไกลไปเห็น การกวาดครีมซอสบนจานให้เกลีย้ งเกลาด้วยก้อนขนมปัง เล็มวอเตอร์เครสส์ ทุกใบบนจานให้หายเข้าไปในปาก เมื่อใดทีม่ องเห็น ก็ให้ความรูส้ กึ ไม่ตา่ งไป จากกรดกัดกร่อนแผ่นโลหะ ฉากเจริญอาหารพลัดหายหมดสิน้ เข้าไปในปาก ระเบิดกระจายไปทั่วสมอง ผมไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไปแล้ว หญิงอ้วนหน้าจืด ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หญิงอ้วนมีอยู่เกลื่อนกล่น เหมือนเมฆลอยฟ่องกลางท้องฟ้า ลอยกระเพื่อมเท้งเต้ง ไม่มสี ว่ นเกีย่ วข้อง กับผม แต่ถ้าเป็นสาวอ้วนหน้าสวย นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนเธอส่ง แรงดึงดูดมาหา เชื้อเชิญให้ผมกระโดดขึ้นเตียง นอนกับเธอ นั่นคงเป็น สาเหตุที่ก่อให้เกิดความสับสนงุ่นง่านใจ ยืนยันได้เลยครับว่าผมไม่มีอคติใดๆ ต่อหญิงอ้วน ความสับสนกับ ความรั ง เกี ย จเป็ น คนละเรื่อ งกั น ผมเคยนอนกั บ หญิ ง อ้ ว นมาแล้ ว ประสบการณ์ ในค�่ำคืนนั้นถือได้ว่าน่าประทับใจทีเดียว หากความสับสน ชี้ทิศน�ำไปถูกทาง ผลลัพธ์อิ่มเอมใจเป็นที่สุด แต่ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เรื่อ งราวที่ เ กิ ด ขึ้ น มั ก จะไม่ ใ คร่ เ ป็ น ตามที่ ค าดเสมอไป เซ็ ก ส์ เ ป็ น เรื่อ ง ละเอียดอ่อนแยบยล ไม่เหมือนกับการเดินเข้าไปหาซื้อกระติกน�้ ำร้อนใน ห้างสรรพสินค้าในบ่ายวันอาทิตย์ แม้แต่สาวน้อยหน้าสวยร่างอวบอ้วน ก็ ยังมีข้อแตกต่างปลีกย่อยที่พึงยกมาพิจารณา ก้อนเนื้อย้วยไปทางหนึ่ง ชี้ทิศน�ำทางได้ถูกต้อง ก้อนเนื้อย้วยมาอีกทาง ดุ่มเดินไปรังแต่จะหลงทาง สะทกสะท้อนใจ สับสนวุ่นวายใจ 22
แดนฝัน
มองในแง่นี้ การนอนกับหญิงอ้วนถือเป็นเรื่องท้าทาย ไขมันมนุษย์ ซ่อนความหมายแฝงไว้หลายชั้น ไม่ต่างไปจากทางเลือกหลากหลายในการ จบชีวิตมนุษย์ นั่ น เป็ น เรื่อ งราวที่ วิ่ ง วนในหั ว ในระหว่ า งที่ ผ มเดิ น ในช่ อ งทางเดิ น ว่างเปล่า เดินตามหลังสาวรุ่นหน้าหวานอ้วนพี ผ้ า พั น คอขาวนวลสะบั ด พลิ้ ว ตั ด กั บ สู ท สี ช มพู ติ่ ง หู อ วบอิ่ ม ห้ อ ย ต่างหูทองสี่เหลี่ยมผืนผ้า กะพริบล้อแสงวับวาบทุกก้าวย่าง จะว่าไปแล้ว แม่หนูคนนีค้ ล่องแคล่วปราดเปรียวเมื่อเทียบกับน�ำ้ หนัก เธออาจจะรัดเครื่อง จนเกิดส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามอง จะมีหรือไม่มีก็ไม่เห็นแปลก ไม่ได้ท�ำให้การ ยักย้ายกระเพื่อมของเธอหมองไปสักนิด ก้อนเนื้ออวบนวลปลุกเร้าอารมณ์ เหลือเกิน เธอเป็นหญิงอ้วนประเภทที่ผมโปรดปราน ผมไม่พยายามจะสรรหาข้อแก้ตวั มีสตรีไม่กปี่ ระเภทเท่านัน้ ทีป่ ลุกเร้า อารมณ์ผมให้ตื่นตัว ผมมองตัวเองว่าเป็นคนเฉยเมย เฉยชา ตายด้าน ดังนัน้ เมื่อใดที่อารมณ์ตื่นตัวคึกขึ้นมา ผมไม่เชื่อใจตัวเองนัก จ�ำเป็นต้องตรวจหา ต้นตอ เสาะหาค�ำอธิบายให้กระจ่าง ผมเร่งฝีเท้าไปเดินเคียง กล่าวขอโทษขอโพยที่ล่าช้าผิดเวลานัดหมาย ไปแปดหรือเก้านาที “ผมไม่ทราบมาก่อนว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยที่ ประตูหน้าจะกินเวลานานขนาดนัน้ ” ผมกล่าว “...แล้วอีกอย่าง ลิฟต์กเ็ คลื่อน เชื่องช้าเหลือเกิน ผมเดินทางมาถึงอาคารก่อนเวลานัดหมายตั้งสิบนาที แน่ะ” เธอเบือนหน้า ค้อมศีรษะรับทราบ กลิ่นเออดีโคโลญจ์โชยกรุ่นจาก ซอกคอ กลิ่นรัญจวนใจเหมือนได้ ไปยืนอยู่ในไร่แตงย�่ำรุ่งกลางฤดูร้อน สะเทือนกรอบความคิดซ่านไปทั้งตัว ความโหยหากับการหยอกเย้าของ เสี้ยวหวามประทับใจ ประหนึ่งว่าความทรงจ�ำสองเรื่องที่ ไม่เกี่ยวข้องกัน กอดเกี่ยวพันผูกกันในซอกหลืบลับเร้น ความรู้สึกเช่นนี้ บางคราววาบมา อาบท่วมร่าง ส่วนใหญ่แล้ว จะเกิดในยามที่ได้กลิ่นพิเศษ “ช่องทางเดินยาวเนาะ?” ผมชวนคุย ละลายน�้ำแข็ง เธอเหลือบมอง แต่เท้ายังก้าวต่อไป ผมเดาเอาว่าแม่หนูคนนี้น่าจะสักยี่สิบหรือยี่สิบเอ็ด นพดล เวชสวัสดิ์
23
เค้าหน้าหมดจด หน้าผากกว้าง ผิวผ่องนวล จุดนี้นี่เองที่เธอตอบรับ “พรูซต์” กล่าวให้ชดั เธอมิได้เปล่งเสียงออกมา เพียงแค่การจีบปากเป็นรูป เปล่ง ค�ำว่า <พรูซต์> ผมอยากได้ยินซ�้ำอีกครั้ง จะได้เข้าใจความหมายชัดแจ้ง เค้าของปากประหนึ่งว่าเธอพูดกับผมผ่านกระจกฝ้าแผ่นหนาขวางกั้น พรูซต์? “มาร์เซล พรูซต์?” ผมถามย�้ำ เธอเหลือกตามอง จากนั้น เธอกล่าวซ�้ำ <พรูซต์> ผมยอมแพ้ ลดฝีเท้ามาเดินตามหลังเธออีกครัง้ พยายามเค้นสมอง เปรียบเทียบลักษณะ ริมฝีปากกับค�ำทีน่ า่ จะเป็นไปได้ <พรูซต์> ทรูเอสต์?...บรูวสิ ต์...บลู อีส อิต?... เสียงแล้วเสียงเล่าที่ผมเปล่งลมออกมาเทียบเสียง ออกเสียงไล่พยางค์ แต่ไม่มีเสียงใดละม้ายคล้ายกัน ผมลงความเห็นในท้ายที่สุด ว่าเธอน่าจะ เปล่งค�ำว่า <พรูซต์> ออกมา ไม่อาจหาค�ำตอบได้ว่ามีความเกี่ยวโยงกันที่ จุดใด ระหว่างช่องทางเดินกับมาร์เซล พรูซต์? เป็นไปได้ ไหมว่าเธอใช้อุปมาเทียบช่องทางเดินยาวเหยียดกับพรูซต์ หากเป็ น เช่ น นี้ ไ ม่ ห ละหลวมไปหน่ อ ยหรื อ ? อาจถึ ง ขั้ น การเลื อ กถ้ อ ย เปรียบเทียบ ถึงระดับโหดร้าย เอาละ, ถ้าเธออุปมาว่าทางเดินยาวไกล เหมือนผลงานของพรูซต์ ก็พอฟังได้ แต่ถ้ากลับกัน ก็คงพิลึก <ช่องทางเดินยาวเท่ากับมาร์เซล พรูซต์>? ช่างเหอะ, ผมไล่ความคิดออกไปจากหัว เดินตามหลังเธอไปตาม ช่องทางเดินยาวเหยียด ยาวไกลเหมือนไร้ทสี่ นิ้ สุด เดินเลีย้ วโค้ง เดินขึน้ ลง บันไดอีกชุด เราน่าจะเดินข้ามอาคารใหญ่มากว่าห้าหรือหกหลังแล้วกระมัง เหมือนหลงอยู่ในภาพพิมพ์ ไม้ของเอสเชอร์ เดินนานจนนับก้าวไม่ถ้วน แต่ ภูมิทัศน์รอบข้างไม่แปรเปลี่ยน พื้นหินอ่อน ผนังสีขาวครีม บานประตูไม้ ติดป้ายโลหะ บ่งบอกตัวเลขไร้ล�ำดับ ลูกบิดประตูสเตนเลส ไม่มีหน้าต่าง ให้เห็น หนึง่ เดียวทีค่ งทีค่ อื เสียงส้นรองเท้าส้นสูงกระทบพืน้ ก�ำหนดจังหวะ สม�่ำเสมอ แทรกเจือด้วยเสียงพื้นรองเท้าผ้าใบของผม เธอหยุ ด เท้ า ฉั บ พลั น ผมเหม่ อ ลอยปรั บ จั ง หวะเข้ า กั บ เสี ย งพื้ น 24
แดนฝัน
รองเท้าผ้าใบบนหินอ่อนจนเดินชนบัน้ ท้ายของเธอเต็มรัก เบาะรองหนานุม่ เหมือนเมฆฝนครัดเคร่ง เออดีโคโลญจ์กลิ่นเมล่อนลอยกรุ่นจากซอกคอ เธอหน้าคว�่ำจากแรงกระทบ ผมคว้าหัวไหล่เธอได้ทัน ดึงเธอให้ยืนตั้งตัว “ขออภัย ผมเหม่อคิดถึงเรื่องอื่น ไม่ทันได้ระวังตัว” สาวรุ่นเจ้าเนื้อหน้าเรื่อสีชมพู ผมไม่อาจยืนยันได้ แต่เค้าหน้าของเธอ ดูจะไม่มีความขัดข้องหมองใจ “โตซูม’สตา” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้น ยักไหล่ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “เซลา” เธอไม่ได้เปล่งเสียงออกมา มองเห็น แต่เพียงจีบปากให้ค�ำนั้น ผมต้องกล่าวซ�้ำ ยืนยันว่าดูไม่ผิด “โตซูม’สตา...?” ผมออกเสียงกับตนเอง “...เซลา” “เซลา” เธอยืนยันรับรอง หวา, หรือว่าเป็นภาษาตุรกี? ปัญหาก็คอื ผมไม่กระดิกหูภาษาตุรกีสกั ค�ำ ประสาทผมกระเจิง สิ้นหวังที่จะชวนเธอพูดคุยสนทนา การอ่านริมฝีปาก เป็นสาขาวิชาละเอียดอ่อน ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนรู้ ได้จนถึงขั้นแตกฉานใน เวลาเพียงสองเดือน เธอควั ก กุ ญ แจอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ รู ป ทรงคล้ า ยตราประทั บ ขนาดเล็ ก ออกจากกระเป๋าเสือ้ สูท สอดเข้าไปในลูกบิดบานประตูทตี่ ดิ หมายเลข <728> เสียงคลิกปลดล็อกสดใส เธอเปิดประตู หันมาเชื้อเชิญผม “ซาอ’มีเต...เซลา” ผมปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
นพดล เวชสวัสดิ์
25
๒
ป ล า ย ข อ บ ฟ้ า
.................
สัตว์ขนทอง
เมื่อลุถึงฤดูใบไม้ร่วง ขนหนาสีทองนุ่มดกหนาจะขึ้นคลุมทั่วร่าง สีทองใน ความหมายทองบริสุทธิ์ ไม่มีแซมสีอื่นสักเส้น ขนสีทองปรากฏในโลกนี้ว่า เป็นสีทองบริสุทธิ์ ปรากฏในโลกนี้เต็มความหมายของทองค�ำบริสุทธิ์ สถิต อยู่หว่างกลางสวรรค์และพื้นโลก เด่นสุดสะดุดตาว่าเป็นทองค�ำบริสุทธิ์ เมื่อ ครั้ ง ผมเดิ น ทางมาถึ ง มหานคร ห้ ว งเวลานั้ น เป็ น ฤดู ใ บไม้ ผ ลิ สัตว์แสนสวยมีขนสัน้ หลากสี ด�ำและเทาทราย ขาวและน�ำ้ ตาลขุน่ บ้างแต้มจุด ปื้นสี หม่นจางหรือสดใส สัตว์แสนสวยหลากสีสันเดินเรียงเรื่อยเงียบเชียบ ออกไปยังทุง่ โล่งหญ้าระบัดใบ แทงยอดอวดเรียวใบในสายลมอ่อน ประหนึง่ ว่าจะเจริญสมาธิในความนิ่งงัน ลมหายใจแผ่วระรวยดุจหมอกไอรุ่งสาง ปากเคี้ยวบดใบหญ้าเงียบเชียบ ยามเหนื่อยล้า จะหดขาคู้ตัวลงนอนหมอบ หลับใหลพักผ่อนชั่วยาม ฤดูใบไม้ผลิผนั ผ่านสิน้ ฤดูรอ้ น บัดนี้ สัตว์แสนสวยอาบดื่มแสงเรื่อสดใส ดื่มลมกระโชกวูบแรกของฤดูใบไม้รว่ งพัดธารน�้ำจนกระฉอกเป็นระลอกคลื่น ความเปลีย่ นแปลงปรากฏชัด ขนสีทองผุดแทรก ระยะแรกกระจายเป็นหย่อม คล้ายการถ่ายละอองเรณูบังเอิญของพืชพันธุ์หาญต้านฤดูกาล ท้ายที่สุด รยางค์ โยงใยแผ่ถึงกันทั่วผืนขนสีทองสั้น ฟักบ่มขับผืนขนจนสีทองอาบ คลุมทั่วร่าง การแปลงโฉมกินเวลาเพียงชั่วสัปดาห์ จากเริ่มต้นจนให้ถึงผล 26
ปลายขอบฟ้า
บัน้ ปลาย สัตว์แสนสวยเริม่ กระบวนแปลงขนพร้อมเพรียง และแล้วเสร็จใน เวลาเดียวกัน ในชัว่ สัปดาห์เดียว สัตว์แสนสวยทุกตัวกลายเป็นสัตว์ขนทอง เมื่ออาทิตย์ดวงใหม่โผล่พน้ ขอบฟ้า ขับฉายล�ำแสงสีทอง อาบโลกฤดูใบไม้รว่ ง สีทองสุกปลั่งชะลอเลื่อนเคลื่อนมายืนบนผิวโลก มีเพียงเขาเดี่ยวผุดจากกลางหน้าผาก เขาสีขาวบริสุทธิ์หมดจด จาก โคนอวบอ้วนไปถึงปลายเรียว ภาพไม่ได้ชวนให้นึกถึงเขางอก หากแต่เป็น กระดูกแตกเสียบปักผิวหนังแล้วหักคาที่ หากไม่นับเขาสีขาวตาสีฟ้าสดใส สัตว์แสนสวยเป็นสีทองสุกปลัง่ ทัง้ ร่าง สัตว์ขนทองสะบัดหัวประหนึง่ จะลอง เสื้อคลุมสีทองตัวใหม่ สะบัดเขาเงยหงายแหงนหน้าสู่ฟ้าครามฤดูใบไม้ร่วง สัตว์ขนทองเดินลุยลงไปในล�ำธาร ยืดคอเหยียดยื่นไปเล็มกินพวงเบอร์รี แดงสดกลาดเกลื่อนในพุ่มไม้ฤดูใบไม้ร่วง เมื่อ สนธยาโรยตั ว มาเหนื อ มหานคร ผมปี น ไต่ ขึ้ น ไปยั ง หอคอย สังเกตการณ์บนก�ำแพงตะวันตกเพื่อดูนายทวารเป่าเขาเสียงหวูดต�่ำ กูเ่ รียก สัตว์ขนทองหนึง่ หวูดยาว สามหวูดสัน้ นัน่ เป็นสัญญาณทีก่ ำ� หนดไว้ ทุกคราว ที่ได้ยนิ เสียงหวูด ผมจะหลับตา ปล่อยให้เสียงความถีต่ �่ำนุม่ นวลเคลื่อนผ่าน ไปทั่วร่าง เสียงที่หาใดเหมือน เสียงบิดตัวไหลเคลื่อนไปในตรอกซอกซอย สลัวรางเหมือนปลาโปร่งใสวาวแววว่ายลัดเลาะไปบนถนนปูหิน ใต้ซุ้มโค้ง ผ่านบ้านเรือนเรียงติดเป็นแนวแถว และก�ำแพงหินเรียงยาวตลอดทางเท้า เส้นทางเลียบริมแม่นำ�้ เสียงกูเ่ พรียกไหลรีอ่ อกจากมหานคร สรรพสิง่ กลบจม อยูใ่ นเสียงกูเ่ พรียกนัน้ แหวกตัดเกล็ดเวลาทีม่ องไม่เห็น เจาะเงียบเชียบไปยัง ปลายสุดของมหานคร เมื่อเสียงหวูดเป่าเขาดังขึ้น สัตว์ขนทองเงยหน้าประหนึ่งตอบรับ ความทรงจ�ำโบราณที่ฝังซ่อนอยู่ในร่าง สัตว์ขนทองนับพันหรือมากกว่า หยัดยืนในท่าเดียวกัน ชูหวั หันมาหาต้นเสียง กรามนิง่ ค้าง หยุดการเคีย้ วใบ ต้ น ไม้ ก วาด หากซอยกี บ เท้ า กระแทกถนนปู หิ น กี บ เท้ า ลอยนิ่ ง ค้ า ง กลางอากาศ อีกส่วนหนึ่ง ฟื้นจากการหลับพักช่วงสั้นในอาทิตย์โรยแสง ทุกตัวเงยหัวแหงนหงายสู่ท้องฟ้าในท่าเดียวกัน ช่วงวินาทีนั้น เสี้ยววินาทีนั้น สัตว์ขนทองนิ่งค้าง เว้นแต่ขนสีทอง นพดล เวชสวัสดิ์
27
โบกคลีส่ ยายในสายลมอ่อนย�ำ่ เย็น จะมีความคิดใดหรือแล่นพล่านอยูใ่ นหัว? สัตว์ขนสวยเหม่อจ้องมองสิง่ ใดกลางฟ้า? ใบหน้าเอียงหงายในองศาเดียวกัน มองเหม่อไปในอากาศเวิ้งว้าง ใบหูเอียงลู่สดับเสียง ไม่มีแม้กล้ามเนื้อ กระตุกขยับ จนกระทั่งเสียงหวูดกู่เพรียกขาดหาย ในทันใด ประหนึ่ง ความทรงจ�ำเว้าวอนเรียกขาน สัตว์ขนทองลุกขึ้นจากที่ เดินมุ่งหน้าไปใน ทิศเดียว มนต์สะกดสะบั้นไปสิ้น ท้องถนนมีเสียงกีบเท้านับไม่ถ้วน ผม วาดภาพ ท่อระบายควันผุดจากใต้พนื้ ส่งควันกรุน่ ทะลักท่วมตรอกซอกซอย ท่วมล้น ข้ามก�ำแพงบ้านเรือน ท่วมสูงแม้แต่กระทั่งหอนาฬิกา แต่เมื่อเบิกตาลืม ควันขุ่นขาวหายไปสิ้น มีเพียงเสียงกีบกระทบพื้น มหานครยังคงสภาพเดิม สัตว์ขนทองไหลบ่าผ่านถนนปูหิน ดาหน้าทะลัก เหมือนคลื่นแม่น�้ำ ไม่มีตัวใดเดินน�ำหน้า ไม่มีจ่าฝูง สัตว์ขนทองก้มหน้าต�่ำ มองพื้น หัวไหล่สั่นไหวเคลื่อนไปตามเส้นทางไร้เสียงสั่งการ ทว่า ในหมู่ สัตว์ขนทอง สดับรับทราบได้ว่ามีพันธะผูกพันระหว่างกันเหนียวแน่น ความทรงจ�ำตราตรึงสลักติดถาวรเลือนหายไปสิ้นแล้วจากแววตา ฝูงสัตว์แสนสวยเดินเข้าเมืองมาจากทางทิศเหนือ ข้ามสะพานเก่า มายังตลิ่งฝั่งทิศใต้ จุดนั้นได้พบปะอีกฝูงที่เข้าเมืองมาจากทิศตะวันออก ขบวนเคลื่อนเลียบฝั่งคลองผ่านย่านอุตสาหกรรมมุ่งหน้าไปทางตะวันตก เดินผ่านทางเดินลอดใต้ โรงถลุงโลหะ โผล่ออกมายังเนินตะวันตก บน ลาดเนินนั้น มีฝูงสัตว์แก่และทารกที่ ไม่แข็งแรงพอจะเดินทางผ่านประตู เมืองได้ รอท่าอยูแ่ ล้วเพื่อร่วมขบวน ทีจ่ ดุ นี้ ฝูงสัตว์ขนทองเปลีย่ นทิศ เดิน บ่ายหน้าขึ้นเหนือ ข้ามสะพานตะวันตกจนมาถึงประตูเมือง ไม่เร็วไม่ช้าไปก่อนสัตว์ตัวแรกจะเดินมาถึงประตูเมือง นายทวาร เปิดประตูรอท่า ประตูบานไม้ ใหญ่หนาหนัก พร้อมดาลโลหะพาดขวาง บานประตูน่าจะสูงสักสี่ถึงห้าเมตร ประดับปลายยอดด้วยเหล็กแหลมคม นายทวารดึงบานข้างขวามาหาตัว ไม่มีทีท่าว่าหนักแรง สัตว์ขนทอง เดินเคลื่อนผ่าน ประตูเมืองบานซ้ายไม่เคยเปิด เมื่อขบวนสัตว์เคลื่อนออก จากเมืองสิ้นแล้ว นายทวารดึงประตูปิด พาดดาลโลหะคืนกลับเข้าที่ นีค่ อื ประตูเมืองตะวันตก เท่าทีผ่ มทราบ เป็นเส้นทางเพียงสายเดียว 28
ปลายขอบฟ้า
ที่จะออกจากมหานคร ชุมชนสุขสงบอาศัยในก�ำแพงมหึมาล้อมกั้น ก�ำแพง สูงเจ็ดหรือแปดเมตร มีเพียงนกเท่านั้นที่บินข้ามได้ เมื่อถึงรุ่งสาง นายทวารเปิดประตูเมือง เป่าหวูดให้สัญญาณ เปิดรับ สัตว์ขนทองเดินกลับเข้าเมือง เมื่อฝูงสัตว์เข้ามาในมหานครครบถ้วนแล้ว เขาจะงับปิดประตู วางดาลโลหะคืนกลับเข้าที่ “ที่จริงไม่จ�ำเป็นต้องมีดาลประตู” นายทวารให้ค�ำอธิบาย “...ไม่มีใคร แข็งแรงมากพอจะเปิดประตูเมืองได้ นอกจากข้าคนเดียว แม้คนในเมืองจะ ร่วมแรงกันก็ตามที แต่กฎก็คือกฎ” นายทวารดึงหมวกขนสัตว์ปดิ คิว้ นิง่ เงียบไม่พดู อะไรต่อ นายทวารเป็น ยักษ์ปกั หลัน่ ผิวหนา มัดกล้ามปูดโปน ร่างสูงใหญ่ทสี่ ดุ เท่าทีผ่ มเคยเห็นมา เสื้อเชิ้ตดูคล้ายจะปริแยกฉีกขาดหากเบ่งกล้าม บ่อยครั้งที่เขาจะหลับตานิ่ง จ่ อ มจมในความเงียบงัน ผมไม่แน่ใจนักว่าเขาพลัดหลุดเข้าไปในห้วง ความเศร้าหรือว่าปิดกลไกเปลี่ยนสวิตช์ เมื่อใดที่ความเงียบท่วมทับ ผมไม่ อาจพูดคุยอะไรได้จนกว่าเขาจะคืนฟื้นสติ ในยามที่เปิดเปลือกตาเชื่องช้า แววตาว่างเปล่า ปลายนิ้วขยับเคลื่อนบนตัก ประหนึ่งชั่งใจว่ามีเหตุผลใด ที่ผมมายืนต่อหน้าเขา “ท�ำไมถึงได้เรียกชุมนุมฝูงสัตว์ ในตอนย�่ำเย็น ปล่อยให้ออกไปอยู่ นอกก�ำแพงเมือง เพียงเพื่อจะเปิดรับกลับเข้ามาอีกครั้งในตอนรุ่งสาง?” ผมถามนายทวารทันทีที่เขาได้สติ นายทวารเบิ่งตาจ้อง ประกายตาไร้อารมณ์ใดๆ “เราท�ำเช่นนี้ นี่คือวิถีปฏิบัติ ดุจดังพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก และจมดวงทางตะวันตก” นอกจากจะท�ำหน้าที่เปิดและปิดประตูเมือง นายทวารดูเหมือนว่าจะใช้ เวลาทั้งหมดไปกับการลับคมเครื่องมือ กระท่อมนายทวารเฝ้าประตูเมืองมี ขวาน ผึ่งถากไม้ และมีดหลากรูปหลายขนาด ดังนั้น ยามว่างทุกนาทีจะ อุทศิ ทุม่ เทให้กบั หินลับมีด ใบมีดขาววาววับ เปล่งแสงเรื่อขาวขุน่ เรืองรอง ส่องจากเนื้อโลหะภายใน นพดล เวชสวัสดิ์
29
ในยามที่ผมจ้องมองมีดแขวนเรียงรายบนผนัง นายทวารแย้มยิ้ม ด้วยความพึงใจเมื่อมองตามสายตาของผม “ระวัง พลั้งมือ นิ้วขาด” นายทวารชี้นิ้วอวบอ้วนไปยังคลังแสง “...ไม่ใช่ของเด็กเล่น ข้าท�ำมากับมือ ข้าเป็นช่างตีเหล็ก นี่คือผลงานอวด ฝีมอื ด้ามกระชับ สมดุลสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะทีจ่ ะท�ำด้ามจับให้รบั กับใบมีด นี่ ไง, ลองถือ ระวังใบมีดสักหน่อย” ผมหยิบขวานจากโต๊ะท� ำงาน เหวี่ยงสับอากาศซ้ายกับขวา เป็น เช่นนั้นจริง เพียงแค่สะบัดข้อมือ ขวานตอบสนองเหมือนหมาที่ฝึกมา อย่างดี นายทวารสมควรจะภาคภูมิใจในผลงานเยี่ยมยอดของตน “ข้าท�ำด้ามด้วยเหมือนกัน ถากจากไม้แอชสิบปี บางคนอาจชอบไม้อื่น แต่ส�ำหรับข้า ต้องเป็นไม้แอชสถานเดียว ไม่อ่อนกว่านี้ ไม่แก่กว่านี้ สิบปี เหมาะสมที่สุด แข็งแกร่ง เปียกชื้น ยืดหยุ่นสูง ป่าตะวันออกเป็นดงไม้ ด้ามเครื่องมือ” “ใช้มีดมากขนาดนี้ ท�ำ ’ไร?” ผมถาม “งานหลายอย่าง” นายทวารตอบ “...ลุถึงฤดูหนาว ต้องใช้มีดใช้ผึ่ง รอจนถึงฤดูหนาวเถอะ จะทราบได้เอง ที่นี่ฤดูหนาวยาวนาน” มีลานชุมนุมของสัตว์ขนทองนอกก�ำแพงเมืองในยามราตรี ลานกว้างมี สายธารไหลผ่าน เลยไกลไปจากนั้นเป็นป่าแอปเปิลไกลสุดลูกหูลูกตา ทะเลป่าไม้แผ่ไกลจนคล้ายจะจรดขอบฟ้า “ไม่ มี ใ ครนอกจากคุ ณ มาดู สั ต ว์ ข นทอง” นายทวารตั้ ง ข้ อ สั ง เกต “...อาจเป็นเพราะคุณเพิ่งมาใหม่ก็เป็นได้ อยู่ที่นี่ ไปนานวัน ก็จะชินจน เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ทุกอย่างด�ำเนินไปตามร่องรอยทีค่ วรจะเป็น ไม่เหลือ ความตื่นเต้นเร้าใจอีกแล้ว ทุกคนเป็นเช่นนั้น จะมีข้อยกเว้นก็แต่เฉพาะ สัปดาห์แรกของต้นฤดูใบไม้ผลิ” สัปดาห์แรกของฤดูใบไม้ผลิ นายทวารเล่าให้ฟัง ผู้คนในมหานคร จะปีนขึ้นไปยังหอคอยสังเกตการณ์ เพื่อรับชมการต่อสู้ของสัตว์แสนสวย นี่เป็นช่วงเวลาที่สัญชาตญาณปลุกเร้าให้ตัวผู้ต่อสู้กัน หลังจากผลัดขน 30
ปลายขอบฟ้า
ฤดูหนาวทิ้งไปแล้ว หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ตัวเมียจะตกลูก สัตว์แสนสวยจะ เปลี่ยนเป็นดุร้ายอ�ำมหิต ท�ำร้ายคู่ต่อสู้บาดเจ็บสาหัส จนยากจะเชื่อว่าเป็น สัตว์อ่อนโยนสุขสงบ สั ต ว์ ข นทองฤดู ใ บไม้ ร ่ ว งคู ้ เ ข่ า นอนซุ ก แบ่ ง ปั น ไออุ ่ น ระหว่ า งกั น ขนสีทองยาวสลวยเรื่อเรืองในแสงย�ำ่ สนธยา นิง่ ค้างคล้ายรูปปัน้ นิง่ รอคอย ใบหน้าแหงนหงายมองฟ้าจนรังสีแสงล�ำสุดท้ายลับหายพ้นขอบป่าแอปเปิล เมื่อแสงเหือดสิ้น ราตรีด�ำหม่นคลี่ม่านมาคลุมทับ สัตว์ขนทองแสนสวย ค้อมหัวลงทอดเขาสีขาวโพลนบนพื้นดิน ปิดตาหลับใหล สิ้นวันหนึ่ง...วันแรกในมหานคร
นพดล เวชสวัสดิ์
31
3
แ ด น ฝั น
.................
เสื้อกันฝน ภูตด�ำ การฟอกข้อมูล ผมเดินเข้าไปในห้องว่างเปล่า ผนังสีขาว เพดานสีขาว และพรมปูพนื้ สีนำ�้ ตาล ม็อกคา...สีของนักตกแต่งภายใน แม้แต่ในเฉดสีขาว ก็ยงั แบ่งเป็นขาวรสนิยม กับขาวอุจาด เฉดสีที่อาจไม่นับเป็นสีขาวเสียด้วยซ�้ำ หน้าต่างกระจกฝ้าปิดกั้นภาพทิวทัศน์ของโลกภายนอก กรองแสงเรื่อ ส่องผ่าน น่าจะเป็นแสงอาทิตย์ ซึง่ ก็พอจะอนุมานได้วา่ ห้องนีอ้ ยูเ่ หนือระดับ พื้นดิน ให้ความอุ่นใจได้หน่อยว่า ลิฟต์ ไต่ขึ้นสูง ภาพเลวร้ายในหัว เป็นแต่ เพียงภาพหลอนวาดขึ้นมาเอง สตรี น างนั้ น ผายมื อ เชื้ อ เชิ ญ ให้ ผ มนั่ ง บนโซฟาหนั ง แท้ ก ลางห้ อ ง ผมปฏิบัติตาม ยกขาไขว่ห้าง เธอเดินออกจากห้องผ่านประตูบานอื่น ห้องนี้แทบไม่มีเครื่องตกแต่ง หน้าโซฟาเป็นโต๊ะเตี้ย วางที่เขี่ยบุหรี่ เซรามิก ไลเตอร์กบั กล่องบุหรี่ ผมพลิกเปิดฝา กล่องบุหรีว่ า่ งเปล่า บนผนัง ไม่มีภาพเขียน ไม่มีปฏิทิน ไม่มีแม้รูปภาพ ว่างเปล่าเกลี้ยงเกลาดีแท้ ถัดจากหน้าต่างเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ ผมลุกจากโซฟา เดินตรงไปหา หน้าต่าง สายตาตรวจดูโต๊ะท�ำงานในตอนเดินผ่าน ไม้เนือ้ หนา สองฟากข้าง มีลิ้นชัก บนโต๊ะวางโคมไฟ ปากกาลูกลื่นสามด้าม สมุดนัดหมาย ข้างสมุด กระจายเกลื่อนด้วยลวดเสียบกระดาษ สมุดนัดหมายเปิดวันที่วันปัจจุบัน มุมห้องวางตูล้ อ็ กเกอร์ ตูเ้ หล็กสีเทา ตูผ้ ลิตจากโรงงาน หากจะถามผม 32
แดนฝัน
ผมก็คงไม่รีรอที่จะเลือกตู้ล็อกเกอร์ดีไซน์เนอร์ เลือกให้หรูสุดเดชไปเลย ในเมื่อไม่มคี นถาม และผมเดินทางมาทีน่ เี่ พื่อท�ำงาน จะตัง้ ตูล้ อ็ กเกอร์สเี ทา หรือว่าตู้เพลงลายลูกกวาด ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม ผนังทางซ้ายมือเป็นตู้เสื้อผ้าติดผนัง บานเฟี้ยม นั่นเป็นเครื่องเรือน เพียงชิ้นเดียวที่มีอยู่ในห้อง ไม่มีชั้นหนังสือ ไม่มีนาฬิกา ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีที่เหลาดินสอ ไม่มีถาดจดหมาย ไม่มีเหยือกน�้ำ ห่ะ, จัดห้องนี้มาเพื่อ ประโยชน์ใช้สอยประเภทไหนกัน? ผมย้อนกลับมานัง่ โซฟา ยกขาขึน้ ไขว่หา้ ง อ้าปากหาวสุดเดช สิบนาทีถัดมา สาวรุ่นอวบอ้วนเดินกลับเข้ามาในห้อง ไม่มีแม้การ ช�ำเลืองแลมาทางที่ผมนั่งอยู่ เธอเดินตรงไปหาตู้ล็อกเกอร์ เปิดบานประตู อุ้มกองวัสดุลื่นมันวาว ถือมาวางที่โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา วัสดุสีด�ำกองโตเป็นเสื้อกันฝนหนาหนักและรองเท้าบู๊ตยาง บนกอง เสื้อกันฝน มีแว่นตา ประเภทเดียวกับที่นักบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 นิยมใช้กัน ผมไม่อาจคาดเดาได้ว่าเสื้อกันฝนจะน�ำไปสู่เรื่องใด สตรีนางนั้นจีบปากเป็นรูปค�ำ ริมฝีปากขยับเคลื่อนเร็วจนผมอ่านตาม ไม่ทัน “เอ้อ...ขออภัย ผมเพิ่งเรียนผ่านชั้นต้นการอ่านริมฝีปาก” คราวนี้เธอพูดช้าลง ริมฝีปากขึ้นรูปค�ำถนัดชัดเจน <สวมเสื้อกันฝน, ได้ โปรด> จริงๆ นะ หากเลือกได้ก็คงไม่สวม แต่ก็คงล�ำบากขลุกขลักหากจะ บ่นโวยวายโต้เถียงกันโดยไม่มีเสียงโต้ตอบ ผมหุบปาก ปฏิบัติตามค�ำสั่ง ถอดรองเท้าผ้าใบออก ยัดเท้าลงไปในรองเท้าบูต๊ ยกเสือ้ กันฝนคลุมห่มร่าง น�้ำหนักเป็นตันเลยละ รองเท้าบู๊ตก็หลวม มีทางเลือกด้วยหรือ? สตรี นางนั้น เดินอ้อมมาข้างหน้า กลัดกระดุมอกเสื้อกันฝน ดึงฮู้ดสวมศีรษะ หน้าผากของเธอ บังเอิญเฉียดจมูกของผม “เออดีโคโลญจ์กลิ่นดีนะ” <ขอบคุณค่ะ> ริมฝีปากของเธอขยับ ชายสองข้างของฮูด้ ปิดประทับกัน ใต้จมูก จากนั้น สวมทับด้วยแว่นตา ร่างของผมกลายเป็นมัมมี่ กักติดอยู่ นพดล เวชสวัสดิ์
33
ในเสื้อกันฝน ไม่มีทางหลบหนีไปไหนได้ เธอรูดเปิดบานประตูตเู้ สือ้ ผ้า จูงมือผมเข้าไปภายใน เธอเปิดสวิตช์ ไฟ รูดปิดประตู ห้องเล็ก ให้ความรู้สึกเหมือน...เหมือนตู้เสื้อผ้านั่นละ ตู้เสื้อผ้า ที่ ไม่มีเสื้อผ้าแขวนอยู่ จะมีก็แต่ไม้แขวนเสื้อกับลูกเหม็น บางที อาจไม่ใช่ ตูเ้ สือ้ ผ้าธรรมดา แต่เป็นทางเดินลับทีท่ ำ� ให้ดเู หมือนตูเ้ สือ้ ผ้า ไม่เช่นนัน้ ท�ำไม ผมต้องห่อตัวเป็นมัมมี่ เดินเข้ามาในตู้เสื้อผ้าอึดอัด? สาวน้อยขยับแผ่นโลหะที่มุมห้อง ผนังด้านนั้นเปิดผายเข้าไปภายใน ยกเปิดเหมือนฝาท้ายรถ ช่องเปิดมืดสนิท แต่ผมก็ได้กลิน่ ความชืน้ เย็นเยือก พัดเป่ามาปะทะใบหน้า เสียงน�้ำดังลั่นครืนโครม “ถัดไปเป็นแม่น�้ำ” เธอกล่าว เสียงน�้ำไหลครั่นครืนดูเหมือนจะท�ำให้ การพูดไร้เสียงของเธอสมจริงยิ่งขึ้น แปลกดี ผมฟังเธอเข้าใจได้ง่ายขึ้น “เดินเลียบชายน�ำ้ เดินตรงไปหาน�ำ้ ตก เดินลอดไปเลย ใต้นำ�้ ตกจะ เป็นห้องปฏิบัติการวิจัยของคุณตา คุณจะพบทุกอย่างเมื่อเดินทางไปถึง ที่นั่นแล้ว” “เมื่อเดินทางไปถึงที่นั่น? คุณตาของคุณรอผมอยู่?” “ใช่ค่ะ” เธอยื่นไฟฉายกันน�้ำมีสายคล้องข้อมือ การเดินหลุดเข้าไปใน ความมืดไม่ใช่เรื่องสนุกนัก แต่ปลุกใจให้กล้า ผมสืบเท้าก้าวแรกเข้าในหลุมด�ำ ค้อมตัวลงต�่ำ ลอดขอบประตู ลากขาอีกข้างตามเข้าไป เสื้อกันฝนตัวโคร่ง หนาหนัก ท�ำให้การเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก ผมหันกลับมาหาวงแสง มองผ่านแว่นตามายังแม่หนูจ�้ำม�่ำ สาวน้อยน่ารักดีแท้ “ระวังหน่อยนะคะ อย่าออกจากเส้นทางเลียบแม่นำ�้ อย่าหล่นตก ขอบทาง” เธอให้ค�ำเตือน ย่อตัวลงเพ่งจ้องมองผม “ตรงไปข้างหน้า น�้ำตก?” ผมตะโกน “ตรงไปข้างหน้า น�้ำตก” เธอยืนยัน อย่างนี้ต้องทดลอง ผมจีบปากเป็นรูปค�ำ <เซลา> สาวน้อยยิ้มระเรื่อ ส่งรูปค�ำตอบกลับมาว่า <เซลา> ดึงประตูปิด * * * * *
34
แดนฝัน
หล่นเข้าไปในห้วงความมืด ด�ำสนิทสัมบูรณ์ ไม่มีแม้หยดแสง มองไม่เห็น อะไรเลย แม้จะยกมือมากางต่อหน้าก็มองไม่เห็น ผมยืนเบิ่งค้างคาที่ ประหนึง่ โดนกระทุง้ ด้วยวัตถุแท่งตัน ตัวชาหนาวเหน็บไปทัว่ ร่าง เมื่อตระหนัก ถึงความล่อนจ้อนไร้ก�ำลังป้องกันตนเอง ผมเป็นเพียงอาหารเหลือบริโภค ห่อด้วยพลาสติกสีด�ำ ยัดเก็บไว้ ในช่องแข็ง วินาทีนั้น ร่างของผมเหลว ไร้กระดูก ผมควานมือไปหาสวิตช์ ไฟฉาย กดเปิดส่งแสงวงนวลกวาดไปในห้วง ความมืดมิด กดวงแสงกลับลงมาทีป่ ลายเท้า เก็บรายละเอียดสภาพรอบข้าง ผมยืนอยู่บนลานคอนกรีตด้านละสามเมตร แผ่ยื่นออกจากตัวอาคารเข้าไป ในความมืด ไม่มีราวกั้น ไม่มีผนังกั้น พ้นจากนั้นเป็นหุบเหวไม่เห็นก้น เธอน่าจะบอกให้ผมทราบล่วงหน้า ผมค�ำรามในล�ำคอ ความเคืองขุ่น วาบขึ้นมาในอก บันไดอะลูมิเนียมวางพิงปลายขอบแผ่นหินให้เส้นทางลงล่าง ผม ผูกไฟฉายเฉียงบนแผ่นอก ไต่ลงล่าง หยั่งเท้าเหยียบขั้นบันไดเปียกลื่น ที ล ะขั้ น ที ละก้าว ยิ่ง ลงต�่ ำ เสียงครืนโครมกึ กก้องสะเทือ นเลื่อนลั่น นีอ่ ะไรกันนักกันหนา? ตูเ้ สือ้ ผ้าในส�ำนักงาน บานประตูลบั เปิดออกสูส่ ายน�้ำ และน�้ำตก...กลางมหานครโตเกียวนี่นะ! ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด เริ่มต้นด้วยลิฟต์พิลึก แล้วก็มีสาวรุ่นอ้าปาก แต่ ไม่มีเสียงลอดออกจากปาก แล้วก็ยังมีน�้ำตกใต้อาคารอีก ผมน่าจะ โบกมืออ�ำลา ไม่ยอมรับงานนี้ ไม่เลย, ไต่บนั ไดลงไปใต้บาดาล เพื่ออะไรกัน? พิสจู น์ศกั ดิศ์ รีวชิ าชีพอย่างนัน้ หรือ? เออ, หรือว่าเป็นเพราะสาวน้อยอวบอ้วน ในสูทสีชมพู? ผมต้องยอมรับ เธอปลุกประสาทผมคึกตื่นตัวเอาการ ถึง ตอนนีแ้ ล้ว ไม่มที างถอยกลับ จะเหลวไหลไร้สาระอย่างไร ก็ตอ้ งสานต่อจนจบ ก้าวลงยี่สิบขั้นบันได ผมหยุดพักหอบหายใจ ไต่ลงไปอีกสิบแปดขั้น จนถึงพืน้ กวาดไฟฉายส่องบนลานหินดานใต้เท้า ห่างไปไม่กกี่ า้ วเป็นสายน�ำ้ กว้างราวสองเมตร ผิวน�ำ้ แตกยอดคลื่นในแสงไฟฉาย กระแสน�ำ้ เร็วรี่ ผมบอก ไม่ได้ว่าน�้ำลึกแค่ไหนหรือสีใด ทราบแต่เพียงว่าแม่นำ�้ ไหลจากซ้ายไปขวา นพดล เวชสวัสดิ์
35
กวาดวงแสงที่ปลายเท้า ผมออกเดินมุ่งหน้าไปทางต้นน�้ำ บางคราว ผม สาบานได้ว่ามีอะไรสักอย่างเคลื่อนวูบวาบรอบตัว แต่ก็มองไม่เห็นอะไร ในแสงไฟฉายเป็นแต่เพียงผนังหินขรุขระเหมือนถากด้วยขวาน อาจเป็นไปได้ ว่าผมหวั่นหวาดขลาดกลัวความมืด เดินมาได้หา้ หรือหกนาที เพดานต�ำ่ เตีย้ หรืออาจคล้ายว่าจะเป็นเช่นนัน้ จากเสียงสะท้อน ผมวาดไฟฉายขึ้นส่อง แต่ก็มองไม่เห็นอะไร ถัดมาตามที่ น้องหนูเจ้าเนื้อเตือนไว้ล่วงหน้า ผมมองเห็นก�ำแพงหินแยกไปสองสาย ไม่กว้างพอจะเป็นทางเท้า เรียกว่าซอกหินผาน่าจะชัดกว่า รอยแยกมีสายน�้ำ ไหลระริกป้อนลงสู่แม่น�้ำ ผมเดินตรงไปหารอยแยก ส่องไฟเข้าไป เลยไกล ไปข้างหน้า หลุมด�ำดูเหมือนจะผายกว้างเชื้อเชิญให้ดุ่มเดิน ผมบีบท่อนไฟฉายแน่น เดินขึ้นหาต้นน�้ำเหมือนปลาเดินทางกลาง กระแสวิวฒ ั นาการ พืน้ หินใต้เท้าเปียกแฉะ ผมจรดปลายเท้า ระวังทุกย่างก้าว หากลื่นล้ม ไฟฉายในมือดับไปก็คงจบสิ้นกันเพียงนี้ ความสนใจทั้งหมดทุ่มอยู่ที่ปลายเท้า ผมบังเอิญเงยหน้าขึ้นมา มอง เห็นวงแสงเคลื่อนเข้ามาใกล้ คงห่างไปราวเจ็ดหรือแปดเมตร ผมปิดไฟฉาย มือล้วงเข้าไปในเสื้อกันฝน กดปุ่มมีดสปริงปลดปล่อยใบมีด ความมืดและ เสียงครืนโครมเป็นที่ก�ำบังซ่อนกายชั้นดี วินาทีทผี่ มดับไฟฉาย วงแสงเบือ้ งหน้าหยุดนิง่ กับที่ จากนัน้ วาดเป็น วงกลมสองวงกลางอากาศ ประหนึ่งจะบอกกล่าวว่า <ไม่ต้องกังวล... ไม่มีปัญหาอะไร> ผมปักหลักยืนนิ่ง รอคอย รอให้มันเดินตรงเข้ามาหา วงแสงเคลื่อนที่ต่อ เดินตรงเข้ามา ส่ายกวาดเรืองรองเหมือนแมลงยักษ์ เรืองแสงที่มีมันสมองก้อนโต ผมเพ่งจ้อง มือขวาก�ำด้ามมีดกระชับมั่น นิ้วมือซ้ายอยู่บนปุ่มสวิตช์ ไฟฉาย วงแสงหยุดห่างไม่ถงึ สามเมตร แสงกวาดขึน้ ลงประหนึง่ จะส่องใบหน้า ตนเอง ผมมองเห็นแว่นกันน�ำ้ และเสือ้ ฝนตัวโคร่งเหมือนทีผ่ มสวม ในมือของ เสื้อคลุมกันน�้ำตัวโคร่ง มีตะเกียงน�้ำมันก๊าดเหมือนที่มีขายในร้านอุปกรณ์ เดินป่า เขายกตะเกียงส่องหน้าตัวเอง ตะโกนแข่งกับเสียงน�้ำตก แต่ผมไม่ ได้ยิน ในเมื่อมืดสนิท ผมก็ไม่อาจอ่านริมฝีปากของเขาได้ 36
แดนฝัน
“...มา...เวลา แต่คุณก็...ได้ตรง...รออยู่...” เสียงลอดเข้าหูขาดห้วง ไร้ความหมาย ท่าทางของเขาดูผอ่ นคลาย ไม่มอี าการคุกคาม ผมเปิดไฟฉาย เงยวงแสงส่องใบหน้าตนเอง ป้องมือข้างหูบง่ บอกว่าผมไม่ได้ยนิ เสียงของเขา ชายผู้นั้นผงกหัวถี่ระรัว วางตะเกียงในมือลงบนพื้น มือยุกยิกอยู่ใน เสื้อฝน ทันใดนั้น เสียงครืนโครมเลือนจางหายไป เหมือนคลื่นล่าถอยจาก ชายหาด ผมคิดว่าผมวิงเวียน น่าจะเป็นลมหมดสติ ท�ำไมต้องหมดสติดำ� มืด? ไม่อาจคาดเดาได้ ผมเกร็งกล้ามเนื้อพร้อมรับการล้มฟาดลงบนพื้น วินาทีเคลื่อนผ่านไป ผมยังยืนอยู่ เท้าปักหลักมั่น ลมหายใจปกติ ดูเหมือนว่าเสียงน�้ำครืนโครมหายไปแล้ว “ฉันเดินทางมารับคุณ” เสียงนั้นทักทาย ได้ยินชัดถนัดหู ผมสะบัดศีรษะ เสียบไฟฉายเข้าใต้ซอกแขน พับใบมีดกลับเข้าด้าม สอดลงกระเป๋ากางเกง น่าจะเป็นวันเพี้ยนพิลึก ผมบอกได้ “เกิดอะไรขึ้นกับเสียงน�้ำ?” ผมถาม “อ๋อ, เสียงนั้นหรือ? ดังกึกก้องจนหูชา ฉันหรี่มันลง ขออภัย ช้าไป หน่อย ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว” ชายผู้นั้นผงกหัวถี่ เสียงครืนโครมของแม่น�้ำ เหลือเป็นเพียงน�้ำล�ำธารไหลขลุกขลิก “อย่าได้เสียเวลา ไปกันเถอะ” เขา กลับหลังหัน เดินมุ่งหน้าสู่ต้นน�้ำ ก้าวย่างมั่นคงผมส่องไฟฉายตามส้นเท้า “ท่านหรี่เสียงลง? หมายความว่าเป็นเสียงประดิษฐ์สินะ” “ไม่เลย เสียงน�้ำ เสียงธรรมชาติ” “อย่างนั้น หรี่เสียงธรรมชาติได้ยังไง?” “กล่าวให้ชัด ฉันไม่ได้หรี่เสียง” ชายผู้นั้นตอบ “...ฉันตัดเสียงให้ หายไป” ถ้าเขากล่าวอ้าง เสียงก็หายไปแล้ว ก็คงเป็นไปตามนั้น ผมเดิน ตามหลัง ไม่ปริปากถามไถ่ รอบข้างสุขสงบขึ้นอีกมากโขในเมื่อเสียง สะเทือนเลื่อนลั่นหายไปสิ้น ผมได้ยินแม้เสียงพื้นยางรองเท้าบดเอียดออด บนแผ่นหินเปียก เหนือหัวมีเสียงกรีดกรอดเหมือนมีใครสักคนเอาก้อนกรวด ขัดถูกัน สองครั้ง สามครั้ง แล้วเสียงก็เงียบหาย “ฉันพบสัญญาณว่าภูตด�ำมาวอแวแถวนี้ เป็นห่วงก็เลยเดินมารับคุณ นพดล เวชสวัสดิ์
37
ตามจริงแล้ว ภูตด�ำไม่นา่ จะมาไกลถึงขนาดนี้ แต่บางคราว ก็เกิดขึน้ ปัญหา สาหัสเลยละ” “ภูตด�ำ?” ผมถาม “แม้แต่คนแบบคุณ ก็คงไม่อยากจะเจอพวกภูตด�ำใต้พื้นดินว่าไหม?” ชายผู้นั้นหัวร่อลงลูกคอ “คงไม่” ผมตอบรับ จะเป็นภูตด�ำหรือตัวอะไรก็ตาม ผมไม่อยาก เผชิญหน้ามันในความมืดวังเวงเช่นนี้ “ฉันถึงได้มารับไง...” ชายผู้นั้นกล่าวซ�้ำ “...ภูตด�ำเป็นข่าวร้าย” “ขอบคุณครับ” ผมตอบ เราเดินเลียบริมน�้ำมาจนถึงบริเวณที่มีเสียงเหมือนก๊อกเปิดส่งพวยน�้ำ ฟองฟู่...น�้ำตก ผมกวาดไฟฉาย น�้ำตกมหึมา มิใช่ขนาดจ�ำลองเล็กจิ๋ว ประดับสวน ถ้าไม่มีการหรี่เสียง รับรองได้ว่าน่าจะสะเทือนเลื่อนลั่นสาหัส ผมเดินตรงไปหา ละอองน�้ำกระเซ็นเปียกแว่นตา “เราเดินลอดน�้ำตกเข้าไปหรือไง?” ผมถาม “ใช่เลย ไอ้ลกู ชาย” ชายผูน้ นั้ ตอบรับ ไม่มคี ำ� อธิบายเพิม่ เติม เขาเดิน ตรงเข้าหาสายน�้ำ ร่างลับหายไป ผมไม่มีทางเลือก นอกจากจะเดินตาม เข้าไปในสายน�้ำ โชคดีทที่ างเดินเป็นส่วนแห้งของน�ำ้ ตก ยิง่ คิดก็ยงิ่ พิลกึ ขนาดผมสวม เสือ้ กันฝนแล้ว เนือ้ ตัวยังเปียกชืน้ ลองคิดดูวา่ พ่อเฒ่าจะล�ำบากแค่ไหน ถ้า ต้องเดินเข้าเดินออกผ่านน�ำ้ ตกทุกคราวเพื่อเข้าหรือออกจากห้องปฏิบัติการ น่าจะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็น่าจะมีวิธี สง่างามกว่านี้ หลังน�ำ้ ตก ผมซวนเซ เข่ากระแทกผาหิน ในเมื่อหรีเ่ สียงลง ผมงุนงง เสียสมดุลระหว่างภาวะไร้เสียงกับสภาพความเป็นจริงที่น่าจะมีเสียงก�ำกับ ซึ่งก็พอจะพูดได้ว่า ถ้าเป็นน�้ำตก ก็น่าจะมีเสียงน�้ำตกก�ำกับไว้ เลยไกลไปข้างหน้าเป็นปากถ�้ำ ทวารเล็กแคบพอจะเดินเรียงเดี่ยว กลางปากถ�้ำมีประตูเหล็ก ชายผู้นั้นดึงเอาอุปกรณ์คล้ายเครื่องคิดเลขเล็กๆ ออกจากกระเป๋าเสื้อฝน เสียบเข้าไปในช่อง บิดเพียงเล็กน้อย บานประตู 38
แดนฝัน
ผายเปิดเข้าไปภายใน “เรามาถึงแล้ว เชิญ...” พ่อเฒ่าปล่อยให้ผมเดินผ่านเข้าไปก่อน เดินตามหลัง จัดการปิดประตูเหล็ก “...สาหัสเอาการ ว่าไหม?” “ก็ไม่...ไม่ถึงกับ...” ชายชราหัวเราะ ตะเกียงห้อยสายคล้องคอ หมวกและแว่นตายังสวม กระชับ ส่งเสียงหัวเราะจนพุงกระเพื่อม ห้องที่เราเข้ามาถึง เรียงรายด้วยตู้ล็อกเกอร์เหมือนห้องเปลี่ยน เครื่องแต่งตัวของสระว่ายน�้ำ ชั้นวางของมีชุดเสื้อฝนวางซ้อนกันเกือบ ครึ่งโหล ผมปลดแว่นตา เดินออกจากเสื้อกันฝน แขวนเสื้อกันฝนบน ไม้แขวน รองเท้าบู๊ตยางวางบนชั้น ไฟฉายแขวนห้อยที่ตะขอ “ขออภัยทีท่ ำ� ให้ลำ� บาก” พ่อเฒ่าขอโทษขอโพย “...แต่เราไม่อาจหย่อน การรักษาความปลอดภัย ต้องท�ำทุกอย่างเท่าทีจ่ ำ� เป็น ไอ้พวกตัวแสบเฝ้ารอ รังควานเราอยู่ข้างนอก” “ภูตด�ำ?” ผมเสนอแนะ “ใช่เลย...ไม่ได้มีแค่พวกนี้พวกเดียวนะ” ชายชราผงกศีรษะให้ตนเอง เขาเดินน�ำเข้าไปในห้องนัง่ เล่น เลยไกลผ่านแถวตูล้ อ็ กเกอร์ เมื่อเปลือ้ ง เสือ้ กันฝนออกแล้ว ผูน้ ำ� ทางของผมเป็นชายชราหน้าตาใจดี เตีย้ ล�่ำสัน ไม่ถงึ กับอ้วน หากแต่มกี ล้ามเนือ้ ทัว่ ร่าง หน้าตาสดใส และเมื่อเขาหยิบแว่นไร้กรอบ ขึ้นสวม หน้าตาคล้ายนักการเมืองทรงอิทธิพลยุคก่อนสงคราม เขาผายมือเชื้อเชิญให้ผมนั่งบนโซฟาหนัง ในขณะที่เดินไปนั่งหลัง โต๊ะท�ำงาน ห้องโขกพิมพ์เดียวกับส�ำนักงานของสาวน้อย พรมปูพนื้ ผนังห้อง ไฟส่องสว่าง ไม่มีผิดเพี้ยน บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา วางกล่องบุหรี่ บนโต๊ะ มีเครื่องเขียน สมุดนัดหมาย และลวดเสียบกระดาษกระจายเกลื่อน หวา, หรือว่าผมเดินทางย้อนกลับมาจุดเดิมครบวง? อาจเป็นไปได้ หรืออาจ เป็นไปไม่ได้ ไม่อาจยืนยันได้ ผมไม่ได้จดจ�ำต�ำแหน่งของลวดเสียบกระดาษ ไว้แน่ชัด ชายชราเพ่งจ้องผม จากนั้น หยิบลวดเสียบกระดาษขึ้นมา ดึงคลาย ให้ยดื ใช้ปลายลวดขูดเขีย่ หนังโคนเล็บ นิว้ ชีข้ า้ งซ้าย เมื่อขูดเสร็จสิน้ ทิง้ ลวด นพดล เวชสวัสดิ์
39
ลงไปในทีเ่ ขีย่ บุหรี่ นีถ่ า้ ผมมีโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่ ได้ โปรด, ผมไม่อยาก เกิดมาเป็นลวดเสียบกระดาษ “จากข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้ ภูตด�ำก็แทบไม่ต่างจากพวกสัญคุรุ ก็ใช่ว่าสองกลุ่มนี้จะสุมหัวจับมือกันนะ ภูตด�ำขี้ระแวง ส่วนสัญคุรุก็มีแผน ของตัว วางแผนอนาคตไว้แล้ว การร่วมมือกันน่าจะจ�ำกัดอยูแ่ ต่เพียงกลุม่ เล็ก สัมพันธ์คงไม่ยืนยาวนัก แต่ที่เราตรวจพบว่าภูตด�ำมาโผล่หน้าอยู่แถวนี้ ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกแล้วว่าไม่นา่ วางใจ ถ้ารุกเข้ามาใกล้ อีกไม่นาน ก็คงมี พวกภูตด�ำแห่มาที่นี่ทั้งกลางวันกลางคืน นั่นจะเป็นปัญหาส�ำหรับฉัน” “คงงั้ น ...” ผมสนองรั บ “...คงงั้ น ” ผมไม่ แ น่ ใ จนั ก ว่ า ภู ต ด� ำ จะ ด�ำเนินงานเรื่องใด แต่ถ้ามันจับมือกับสัญคุรุ ก็ ไม่ใช่ข่าวดีสำ� หรับผมนัก เพราะเท่าที่เป็นอยู่ ฝ่ายของผมกับสัญคุรุ คานดุลอ�ำนาจกันง่อนแง่น หากเติมปัจจัยเสี่ยงเข้าไปอีกสักนิด ตาชั่งคงพลิกคว�ำ่ ไม่เป็นท่า แรกสุด ผมไม่ทราบเรื่องราวใดๆ ของภูตด�ำเลย แต่พวกมันรู้จักผม แน่นอนอยู่แล้ว พนักงานตัวเล็กๆ ปฏิบตั งิ านภาคสนามแบบผม ไม่นา่ จะได้ทราบเรื่องราวใด เจ้านายระดับสูงขององค์กร น่าจะทราบเรื่องมานานแล้ว “ถ้าไม่ขัดข้อง เริ่มงานกันเลยได้ไหม?” พ่อเฒ่ากล่าวบอก “ดีครับ” ผมตอบรับ “ฉันขอให้เขาส่งผู้เชี่ยวชาญงานค�ำนวณมือดีที่สุด ดูเหมือนว่าคุณจะ สร้างชื่อเลื่องระบือ ทุกคนยกย่องกันเป็นเสียงเดียว คุณมีฝมี อื ประสาทแข็ง และท�ำงานด่วนได้ หากไม่นับจุดด้อยของการไม่ชอบร่วมงานเป็นทีม ดูเหมือนจะไม่มีใครต�ำหนิอะไรคุณได้” “กล่าวเกินจริงครับ” ผมตอบ พ่อเฒ่าหัวร่อลงลูกคอ “การท�ำงานเป็นทีมไม่ใช่เรื่องใหญ่ สาระส�ำคัญ จะอยูท่ คี่ วามกล้าบ้าบิน่ ไม่มที างไต่ขนึ้ มาเป็นผูเ้ ชีย่ วชาญงานค�ำนวณมือหนึง่ ได้ถ้าไม่บ้าดีเดือด คงเพราะเหตุนี้กระมังที่คุณได้รับค่าจ้างสูงลิ่ว?” อีกครัง้ เสียงระเบิดหัวเราะ จากนัน้ ชายชราลุกขึน้ เดินพาผมเข้าไป ในห้องข้างเคียง “ฉั น เป็ น นั ก ชี ว วิ ท ยา แต่ ค�ำ ว่ า ชี ว วิ ท ยายั ง ไม่ อ าจครอบคลุ ม งาน 40
แดนฝัน
ทั้งหมด หากจะขยายความให้ถ้วน ก็ตั้งแต่ประสาทสรีรวิทยาเรื่อยไป จนถึงสวนศาสตร์ จากภาษาศาสตร์เรื่อยไปจนถึงเทววิทยา ไม่ใช่เรื่อง ปกติสามัญนักในความเห็นของฉัน ตอนนี้ ฉันสนใจศึกษาเรื่องเพดานของ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” “เพดาน?” “ปาก, ไอ้ลูกชาย โครงสร้างของปาก องค์ประกอบที่ก่อให้เกิดเสียง แล้วก็แง่มุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มาดูนี่” พ่อเฒ่าเปิดสวิตช์ ไฟ ไฟไล่ติดสว่างโพลนทั่วห้องปฏิบัติการ ผนังห้อง ตัง้ ชัน้ วางเรียงรายจนไม่เหลือทีว่ า่ ง แต่ละชัน้ วางกะโหลกนานาชนิด ยีราฟ ม้า แพนดา หนู ทุกสปีชีส์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่าที่จะนึกชื่อขึ้นมาได้ เท่าที่กวาดสายตามอง น่าจะมีกะโหลกสักสามร้อยหรือสี่ร้อย แน่อยู่แล้ว คงขาดกะโหลกมนุษย์ ไม่ได้ คอเคซอยด์ นีกรอยด์ เอเชียติก อินเดียน... หนึ่งผู้หนึ่งเมีย “เออนะ, มีกะโหลกวาฬกับช้างในห้องเก็บของข้างล่าง แต่กนิ ทีช่ ะมัด” พ่อเฒ่ากล่าวบอก “คงจริง” ผมตอบรับ วางกะโหลกวาฬในห้องนี้ กะโหลกสัตว์อื่น กระเจิงหาย ทุกกะโหลกอ้าปากค้างประหนึง่ จัดแถวรอท่าการตรวจพล เบ้าตากลวง เหม่ อ จ้ อ งผนั ง ฝั ่ ง ตรงข้ า ม จะเป็ น ตั ว อย่ า งเพื่อ งานวิ จั ย หรื อ ไม่ ก็ ต าม บรรยากาศในห้องนี้ ไม่อาจเรียกได้วา่ สุขสงบผ่อนคลาย ชัน้ วางอีกแห่ง ไม่มี กะโหลก หากแต่เป็นโถแก้ว ดองลิ้น หู ริมฝีปาก และเพดานแข็ง “คิดว่าไง? งานสะสมค่อนข้างสมบูรณ์ ว่าไหม?” พ่อเฒ่าขยิบตา “บางคนสะสมแสตมป์ บ้างก็แผ่นเสียง เศรษฐีบางคนก็มีความสุขมาก ถ้ า มี ไ วน์ ค รบเซ็ ต อยู ่ ใ นห้ อ งใต้ ดิ น และมี ร ถถั ง จอดเรี ย งรายอยู ่ ใ นสวน ฉันสะสมกะโหลก ต้องครบทุกประเภทถึงจะเรียกว่าคน จริงไหม?” “เอ้อ, ครับ” “ตั้งแต่แรกเริ่ม ฉันสนใจกะโหลกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เก็บสะสม ที ล ะเล็ ก ที ล ะน้ อ ย รวบรวมมาเกื อ บสี่ สิ บ ปี แ ล้ ว การถอดรหั ส กระดู ก นพดล เวชสวัสดิ์
41
กินเวลานานกว่าที่คาด จะง่ายกว่าถ้าเล่นกับมนุษย์เป็นๆ ที่มีเนื้อมีหนัง ฉั น คิ ด อย่ า งนั้ น จริ ง ๆ ก็ แ น่ อ ยู ่ แ ล้ ว คนหนุ ่ ม ฉกรรจ์ แ บบคุ ณ คงสนใจ เนื้อหนังมากกว่า จริงไหม? พ่อเฒ่าหัวเราะร่วนอีกครั้ง “...ส�ำหรับฉัน ใช้เวลาสามสิบปีก่อนจะได้ยินเสียงขับขานจากกระดูก สามสิบปียาวนาน เอาการ ว่าไหม?” “เสียง...กระดูกส่งเสียงได้ด้วยหรือครับ?” “แน่นอน” พ่อเฒ่าตอบรับ “...กระดูกทุกชิน้ มีเสียงเฉพาะตัว ภาษาลับ เสียงที่ซ่อนในเนื้อกระดูก เหมือนมีสัญญาณซ่อนอยู่ ฉันไม่ได้หมายถึง กระดูกร้องไห้อย่างทีอ่ ปุ มากันนะ กระดูกส่งเสียงขับขานได้นะ่ วัตถุประสงค์ ของงานวิจัยที่ฉันท�ำ คือการวิเคราะห์สัญญาณที่ว่านั่น หากวิเคราะห์ ได้ จากนั้น ก็จะเป็นขั้นถัดไป คือการควบคุมการเปล่งเสียง” รายละเอียดงานวิจัยซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจได้ แต่ถ้าแนวคิด ของพ่อเฒ่าถูกต้อง ก็ดูเหมือนว่ามีงานชิ้นใหญ่ปูพรมแดงรอท่าอยู่แล้ว “งานวิจัยทรงคุณค่า” ผมเสนอความเห็น “เป็นจริงดังนั้น” พ่อเฒ่าตอบรับ “...เพราะเหตุนี้ ไงที่พวกเหี้ยม กลุ่มนั้น ถึงอยากได้พิมพ์เขียวงานวิจัยของฉัน เกรงว่าข่าวจะรั่วออกไป แล้วว่ะ พวกมันอยากได้งานวิจัยของฉันเพื่อเอาไปแสวงหาประโยชน์ใส่ตัว ตัวอย่างง่ายๆ ถ้าอยากรีดความลับจากใคร ไม่ต้องทุบตีทรมานเสียให้ยาก แค่ตัดหัวมา ลอกเนื้อหนังออกให้หมด ข้อมูลความทรงจ�ำทั้งหมดบรรจุอยู่ ในเนื้อกะโหลก ง่ายดายปานนั้น” “น่ารัก” ผมตอบรับ “เป็นจริงดังนั้น โหดสัส จะเลวหรือดีกว่าเดิมไม่อาจทราบ งานวิจัย ของฉัน ยังไม่ ได้รุดหน้าถึงขั้นนั้น ปัจจุบัน ได้เพียงแค่อ่านข้อมูลจาก ก้อนสมองเท่านั้นเอง” “โอ...” ผมครางออกมา จะปอกเนื้อลอกหนังให้กะโหลกเกลี้ยงเกลา หรือควักก้อนสมองออกมา มีความแตกต่างกันที่ตรงไหน? “เพราะเหตุนี้เอง ฉันถึงได้เรียกใช้บริการจากคุณ พวกสัญคุรุจะได้ ขโมยข้อมูลงานวิจัยไปไม่ได้ อารยธรรมมนุษยชาติ...” พ่อเฒ่าประกาศก้อง 42
แดนฝัน
“...จะเผชิญภาวะวิกฤตเมื่อมนุษย์น�ำเอาผลงานวิจัยวิทยาศาสตร์ ไปปรับใช้ ในทางเลวร้าย...หรือแง่ดี ฉันเองทุ่มศรัทธาท�ำงานวิจัยเพื่อวิทยาศาสตร์ บริสุทธิ์เท่านั้น” “ผมไม่เข้าใจ” ผมสอบถาม “...ผมเดินทางมาทีน่ เี่ พื่อมารับงาน แต่คำ� สัง่ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งตรงลงมาจากกองบัญชาการซิสเต็ม ไม่มีผู้มีอ�ำนาจ สัง่ การ มีแต่คำ� เรียกร้องจากท่านโดยตรง แปลกเอาการ กล่าวให้ชดั น่าจะ เป็นการขัดจรรยาวิชาชีพ ถ้ามีคนแจ้งความ ผมอาจถูกถอนใบอนุญาต ผมหวังว่าท่านคงเข้าใจเรื่องนี้” “แน่อยู่แล้ว...” พ่อเฒ่าตอบรับ “...ไม่ต้องเป็นกังวล ค�ำร้องของฉัน ผ่ า นขั้ น ตอนตามสายบั ง คั บ บั ญ ชา จะมี ก็ แ ต่ เ พี ย งการตั ด ขั้ น ตอน ตามระเบียบ ฉันติดต่อคุณโดยตรงเพื่อการรักษาความปลอดภัย ไม่มีใคร ถอนใบอนุญาต” “รับประกันได้นะครับ?” พ่อเฒ่าดึงเอาแฟ้มออกมายื่นส่งให้ผม ผมพลิกเปิดอ่าน แบบฟอร์ม ขอใช้บริการ ไม่ผิดไปได้ ลายเซ็นผู้มีอ�ำนาจอนุมัติทุกขั้นตอน เอกสาร สมบูรณ์ครบถ้วน “ดีครับ” ผมตอบรับ ยื่นแฟ้มคืนให้ “...ท่านก็คงทราบแล้วว่า ระดับ ของผมคิดเป็นสองเท่า ซึ่งก็หมายถึงว่า...” “สองเท่าของค่าบริการมาตรฐาน ไม่ขัดข้องว่ะ ว่าไปแล้ว ฉันอยาก ให้ โบนัส โดยการจ่ายค่าจ้างเต็มสามเท่า” “ขอบคุณส�ำหรับความวางใจ” “งานนี้ ส� ำ คั ญ มาก แถมฉั น ยั ง ลากให้ คุ ณ เดิ น ฝ่ า น�้ำ ตกเข้ า มาอี ก ฮ่า ฮ่า ฮ่า” “ขอผมดูข้อมูลเถอะครับ” ผมกล่าวบอก “...เราจะได้ตัดสินใจว่า จะเลือกใช้วิธีค�ำนวณแบบไหน ใครจะเป็นผู้ใช้คอมพิวเตอร์?” “ฉันจะดูแลเรื่องคอมพิวเตอร์เอง คุณรับหน้าทีก่ อ่ นและหลังการป้อน เข้าคอมพิวเตอร์ก็พอ...ถ้าคุณไม่รังเกียจ” “ดีเลยครับ ช่วยประหยัดเวลาให้ผมได้มากโข” นพดล เวชสวัสดิ์
43
ชายชราลุกขึน้ ยืน กดมุมแผ่นผนัง ผนังราบเรียบธรรมดาสามัญนีเ่ อง จนกระทัง่ ประตูลบั เผยอ้าออกจากกัน พ่อเฒ่าดึงแฟ้มออกมา กดปิดแผ่นผนัง ผนังราบเรียบสีขาว ไม่มีจุดใดเด่นสะดุดตา ไม่มีรอยต่อ ไม่มีอะไรเลย ผมอ่านกวาดข้อมูลตัวเลขเจ็ดหน้า ข้อมูลตรงไปตรงมา “คงไม่เสียเวลานานนักในการ ฟอกข้อมูล” ผมกล่าวบอก “...ตัวเลขเรียง กันเป็นสายแบบนี้ ตัดขั้นตอนการต่อสะพานเชื่อมชั่วคราว โดยเชิงทฤษฎีี เท่านั้นนะครับ ในเมื่อไม่มีสะพานเชื่อม ก็ไม่มีการยืนยันผลระบอบค�ำสั่ง ซึง่ ถ้าไม่มหี ลักฐานยืนยัน ก็ไม่อาจสลัดเศษข้อมูลผิดพลาด ประหนึง่ การเดิน ข้ามทะเลทรายโดยไม่มีเข็มทิศ จะมีก็แต่โมเสสเท่านั้นที่จะท�ำได้” “โมเสสเดินข้ามทะเลก็ได้ด้วย” พ่อเฒ่าสนองรับ “ประวัตศิ าสตร์โบราณครับ เท่าทีผ่ มทราบ ทางเลือกระดับนี้ พวกสัญคุรุ ไม่เคยประสบความส�ำเร็จแม้สักครั้งที่จะเจาะรหัสของเราได้” “คุณบอกว่าการเข้ารหัสชั้นเดียว ถือได้ว่าเพียงพอแล้ว?” “การเข้ารหัสสองชั้นเสี่ยงเกินไปครับ ก็แน่นอนที่ว่าจะช่วยตัดความ จ�ำเป็นต้องใช้สะพานเชื่อมชัว่ คราวให้เหลือศูนย์ แต่จดุ นัน้ อะไรก็เกิดได้ทงั้ นัน้ กระบวนการการเก็บดักข้อมูลยังไม่ยนื ยันผลชัดเจน งานวิจยั ยังไม่ครบถ้วน” “ใครพูดถึงการเก็บดักข้อมูลเข้ารหัสสองชั้น?” พ่อเฒ่าเปรยออกมา คลายลวดเสียบกระดาษเขี่ยหนังที่โคนเล็บ คราวนี้เป็นนิ้วกลางข้างซ้าย “ถ้าอย่างนั้น ท่านต้องการอย่างไรหรือ?” “การสับคละข้อมูล, ไอ้ลูกชาย การสับคละข้อมูล เพราะเหตุนี้ฉันถึง เจาะจงเลือกตัวคุณ ถ้าเป็นเรื่องแค่ลา้ งสมองฟอกข้อมูล ก็ไม่จำ� เป็นต้องใช้ ฝีมือระดับคุณ” “ผมไม่เข้าใจ” ผมยกข้อเท้าขึ้นไขว่ห้าง “...ท่านทราบเรื่องการ สับคละข้อมูลได้ยังไงกัน? เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ไม่น่าจะมีคนนอก องค์กรทราบว่ามีอยู่” “ฉันรูแ้ ล้วกัน ฉันมีทอ่ ต่อเชื่อมผ่านตลอดไปจนถึงจุดยอดของ องค์กร” “เอาเถิดครับ ถ้าต้องการการสับคละข้อมูล ส่งผ่านตามท่อของท่าน ได้เลย เพราะขณะนี้ การสับคละข้อมูลถูกแช่แข็งชั่วขณะ อย่าได้ถามผม 44
แดนฝัน
แต่ก็น่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง ไม่มีค�ำอธิบาย เราทราบกันแต่เพียงว่า เทคนิคสับคละข้อมูล เป็นเรื่องต้องห้าม” ชายชรายื่นแฟ้มให้ผมอีกครั้ง “เปิดดูหน้าสุดท้าย น่าจะมีค�ำอนุมตั กิ ารสับคละข้อมูลอยูท่ ี่ไหนสักแห่ง” ผมพลิกเปิดไปหน้าท้ายสุด กวาดสายตาไล่เรียงบรรทัด แน่อยู่แล้ว มีลายเซ็นก�ำกับ มีค�ำอนุมัติให้สับคละข้อมูลได้ ผมอ่านซ�้ำหลายรอบ ไม่ผิด ไปได้ ลายเซ็นห้านาย ไม่นอ้ ยกว่านัน้ เจ้านายคิดอะไรกันนะ? พนักงานตัวเล็ก ตัวน้อย ได้รบั ค�ำสัง่ ให้ขดุ หลุม จากนัน้ ก็มคี ำ� สัง่ อีกฉบับ ให้กลบหลุมให้เต็ม เต็มเมื่อไหร่ สั่งอีกรอบให้ขุดขึ้นมาใหม่ เจ้าหน้าที่ภาคสนามหัวปั่นบั้นท้าย กระจุย “ผมขออนุญาตถ่ายส�ำเนาสีคำ� สัง่ หน้านี้ ได้ไหมครับ? หากจนมุมคงตาย สถานเดียว ถ้าไม่มีค�ำสั่งนี้ ไว้ยืนยัน” “ไม่ขัดข้อง” ชายชราตอบ “...ยินดีที่จะท�ำส�ำเนาให้ ไม่ต้องกังวล, ไอ้ลูกชาย ทุกอย่างถูกต้องครบถ้วน ได้รับการอนุมัติทุกขั้นตอน ค่าจ้าง จ่ายวันนี้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งตอนเสร็จงาน ยุติธรรมดีพอไหม?” “ดีครับ...ผมเริ่มต้นที่การฟอกข้อมูล เมื่อเสร็จแล้วจะถือรหัสติดตัว กลับไป จะน�ำกลับไปสับคละข้อมูลที่บ้าน การสับคละข้อมูลจ�ำเป็นต้องมี ขั้นตอนพิเศษละเอียดอ่อน ผมจะกลับมาอีกครั้ง พร้อมข้อมูลที่สับคละกัน เรียบร้อยแล้ว” “เที่ยงวัน ในอีกสามวันข้างหน้า...ช้ากว่านั้นวายป่วง” “เหลือเฟือครับ” “ได้ โปรดเถอะนะ, ไอ้ลูกชาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้ผิดเวลา” พ่อเฒ่าร้องขอ “...ถ้าคลาดจากเวลานัดหมายเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นแน่นอน” “โลกแตกดับ” ผมเสนอความเห็น “ผิดไม่ไกลนัก” ชายชราตอบรับ “...เป็นเช่นนั้น” “ไม่ใช่คราวนี้ครับ” ผมยืนยัน “...ผมไม่เคยผิดนัด หากไม่เป็นการ รบกวนเกินไป ผมขอน�ำ้ เย็นสักเหยือก กาแฟด�ำอีกกระปุก และอาหารว่าง, ได้ โปรด เสียงกระซิบข้างหูบอกผมว่า งานนี้ปิดงานให้เสร็จไม่ง่ายนัก” นพดล เวชสวัสดิ์
45
สังหรณ์ของผมไม่ผดิ งานหนัก ยาวนาน ตัวเลขเรียงรายเป็นสายเป็นเพียง อาหารว่างเรียกน�้ำย่อย แต่เมื่อมีการตั้งค่าเลือกและข้อก�ำหนดเฉพาะ การ ประมวลผลกินเวลานานกว่าที่มองเห็น ผมส่งอินพุตเข้าไปในสมองซีกขวา จากนั้น แปลงให้เป็นสัญญาณภาพที่ ไม่เกี่ยวข้องกัน ส่งข้ามมายังสมอง ซีกซ้าย เอาต์พตุ ออกมาเป็นตัวเลข เรียงเป็นสาย พิมพ์ลงบนแผ่นกระดาษ นีค่ อื กระบวนการฟอกข้อมูล แน่นอนครับ กล่าวให้ฟงั ง่ายต่อการท�ำความ เข้าใจ รหัสการแปลงสัญญาณจะขึน้ อยูก่ บั ผูเ้ ชีย่ วชาญงานค�ำนวณแต่ละนาย แตกต่างไปจากตารางตัวเลขสุม่ เลือกทีเ่ ขียนไว้เป็นไดอะแกรม หรือกล่าวได้ อีกอย่างหนึ่งว่า ขึ้นอยู่กับหยักของสมองซีกขวากับสมองซีกซ้าย (บรรยาย ในเชิงวิชาการเพื่อให้ง่ายแก่การท�ำความเข้าใจนะครับ เพราะสมองซีกซ้าย และขวา มิได้แยกจากกัน) ที่จะน�ำมาใช้เป็นกุญแจไข หากวาดภาพ ก็คง คล้ายแบบนี้
สมองซีกซ้าย
สมองซีกขวา
โดยนัยส�ำคัญ รอยหยักของสองซีกไม่มีโครงสร้างมาตรฐาน นั่นก็ หมายความว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะแปลงข้อมูลกลับมาอยู่ในรูปแบบเดิม อย่างไรก็ตาม นานๆ ครั้ง สัญคุรุถอดรหัสข้อมูลที่ขโมยไปได้ โดยการใช้ สะพานต่อเชื่อมชั่วคราว ซึ่งก็หมายถึงการสร้างภาพโฮโลแกรม จ�ำลอง เสีย้ วหยักของการต่อเชื่อมของสมองสองซีก วิเคราะห์ขอ้ มูลฟอกแล้วให้กลับ 46
แดนฝัน
มาอยู่ในรูปข้อมูลดิบ บางคราวก็ได้ผล บางครั้งก็ไม่สำ� เร็จ ผู้เชี่ยวชาญ งานค�ำนวณเติมเทคโนโลยีเข้ารหัสใหม่ สัญคุรสุ รรหาเทคโนโลยีมาถอดรหัส เราเป็นฝ่ายป้องกันข้อมูล มันพยายามเจาะเข้ามาขโมย เล่นซ่อนหา ต�ำรวจจับขโมยระดับคลาสสิก สัญคุรุรับจัดหาข้อมูลไม่ชอบด้วยกฎหมาย และค้าข้อมูลในตลาดมืด เก็บเกี่ยวผลก�ำไรมหาศาล ที่เลวร้ายที่สุด พวกมันจะเก็บข้อมูลทรงค่าที่สุด ไว้เป็นของตน สร้างผลก�ำไรให้องค์กร องค์กรของเรามีชื่อเรียกขานว่า ‘ซิสเต็ม’ ในขณะองค์กรของสัญคุรุ เรียกกันว่า ‘แฟกตอรี’ ซิสเต็มเริ่มก่อตั้งในรูปแบบบริษัทเอกชน แต่เมื่อ ทวีความส�ำคัญมากขึ้น ก็เปลี่ยนสถานะกลายเป็นหน่วยงานส�ำคัญกึ่งรัฐ ไม่ต่างไปจากบริษัทเบลล์ ในอเมริกา เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญงานค� ำนวณ มีชั้นมียศ แต่ก็เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ปฏิบัติงานอิสระ ไม่เหมือน ผูส้ อบบัญชีหรือทนายความ แต่ทว่า เราจ�ำเป็นต้องมีใบอนุญาตจากทางการ รับงานได้แต่เฉพาะจากซิสเต็ม หรือตัวแทนที่ ได้รับมอบอ�ำนาจจากซิสเต็ม ข้อก�ำหนดเคร่งครัดเรื่องนี้ เป็นระบบรักษาความปลอดภัยไม่ให้แฟกตอรี เจาะเข้ามาในองค์กรได้ หากฝ่าฝืนข้อก�ำหนด ใบอนุญาตถูกเพิกถอน ผมไม่ แน่ใจนักว่าข้อก�ำหนดเข้าท่ามีผลเชิงปฏิบัติแค่ ไหน เพราะผู้เชี่ยวชาญ งานค�ำนวณที่ถูกถอนใบอนุญาต ไม่ช้าก็เร็วก็ถูกดูดเข้าไปในแฟกตอรี ท�ำงานใต้ดิน กลายเป็นสัญคุรุ จุดเริ่มต้นของแฟกตอรีไม่ชัดเจนนัก เริ่มจากองค์กรเล็กๆ ขยายตัว อย่างก้าวกระโดด บางคนจ�ำกัดเสียใหม่วา่ เป็นมาเฟียข้อมูล คงเป็นการมอง จากรยางค์หลายสายที่แผ่กระจายไปในโลกอาชญากรรมใต้ดิน ข้อแตกต่าง จะอยู่ที่ว่า มาเฟียตัวนี้เล่นแต่เฉพาะข้อมูลเท่านั้น...ข้อมูลบริสุทธิ์ ข้อมูล ไร้เดียงสา และข้อมูลท�ำเงิน แฟกตอรีจะเจาะเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แฮ็กเข้าไปในทุกเครื่องเท่าที่จะท�ำได้ เก็บกวาดข้อมูล ขโมยข้อมูลทุกอย่าง ที่มีค่า น�ำข้อมูลไปขาย ผมดื่มกาแฟหมดทั้งกระปุกในระหว่างการฟอกข้อมูล งานหนึ่งชั่วโมงเต็ม นพดล เวชสวัสดิ์
47
สลับกับการพักครึง่ ชัว่ โมง ก�ำหนดเวลาเคร่งครัดตามเข็มนาฬิกา ไม่เช่นนัน้ อินเตอร์เฟซระหว่างสมองซีกซ้ายกับซีกขวาจะขาดห้วง ข้อมูลผิดพลาด ใน ช่วงพักสามสิบนาที ผมหาเรื่องมาชวนพ่อเฒ่าพูดคุยกัน อะไรก็ได้ที่ทำ� ให้ ริมฝีปากขยับ ปากพูดช่วยจัดเรียงขั้ว บรรเทาอาการสมองเนือยล้า “ตัวเลขพวกนี้คืออะไรกันครับ?” ผมถาม “ข้อมูลจากการทดลอง” ชายชราตอบ “...งานที่ท�ำมาทั้งปี ตัวเลข ที่ ได้จากการแปลงภาพสามมิติ จ�ำลองเค้าโครงของกะโหลกศีรษะและ เพดานของแต่ละสปีชสี ์ บวกรวมกับการแตกย่อยสามระดับของเสียง ฉันใช้ เวลาศึกษาเรื่องนี้นานสามสิบปี จนกระทั่งมาถึงจุดที่จูนเข้าหาเค้าโครงของ คลื่นเสียงของสัตว์แต่ละประเภทได้ ถ้าการค�ำนวณเสร็จสมบูรณ์ เราก็จะ สกัดเสียงออกมาได้ในท้ายที่สุด มิใช่ตัวเสียงเองนะ หากแต่เป็นโครงสร้าง ของเสียงตามทฤษฎี” “หมายความว่า ถ้าได้รูปแบบแน่ชัด ก็จะควบคุมเสียงได้หรือครับ?” “สรุปเข้ากลางเป้าเลย” พ่อเฒ่าตอบรับ “ถ้าควบคุมได้ จะพาเราไปถึงไหน?” ชายชราแลบลิน้ เลียริมฝีปากบน “เรื่องใดๆ ก็เกิดขึน้ ได้ทงั้ สิน้ ...” พ่อเฒ่า นิง่ คิดชัว่ ครู่ “...ทุกอย่างเลย ฉันไม่อาจบรรยายได้ครบถ้วน เรื่องทีค่ ณ ุ ไม่กล้า แม้แต่จะวาดภาพ” “การหรี่เสียงเป็นหนึ่งในจ�ำนวนนั้น?” ชายชราหัวร่อลงลูกคออีกครั้ง “...ถูกอีกแล้ว, ไอ้ลูกชาย การจูนคลื่น เข้าหาสัญญาณจากกะโหลกของมนุษย์ ช่วยตัดเสียง หรือว่าจะเพิม่ ความดัง ก็ได้ มนุษย์แต่ละคนมีรูปลักษณ์ของกะโหลกไม่เหมือนกัน ดังนั้น เราจึง ไม่อาจตัดเสียงได้ทั้งหมด ท�ำได้แค่หรี่ให้ค่อยลงหน่อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า เราจับคู่ คลื่นบวกกับคลื่นลบ ปล่อยให้หกั ล้างกัน หรือไม่กใ็ ห้คลื่นขีก่ นั การตัดเสียง เป็นแต่เพียงหนึ่งในการประยุกต์ใช้ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย” ไม่เป็นพิษเป็นภัย? การเล่นกับความดังของเสียงก็เพี้ยนมากพอแล้ว เรื่องอื่นๆ ที่เหลือจะเป็นไปในรูปไหน? “เป็นไปได้ทเี่ ราจะก�ำจัดเสียงจากทัง้ การได้ยนิ และเสียงทีเ่ ปล่งออกมา” 48
แดนฝัน
ชายชรากล่าวต่อ “...พูดได้อกี อย่างหนึง่ ว่า เราลบเสียงน�ำ้ ตกออกไปจากการ ได้ยิน หรือไม่ก็ลบเสียงที่เปล่งออกจากปาก” “ท่านวางแผนจะเสนอผลงานนี้ให้ โลกรับทราบ?” “ตุ๋ย...” พ่อเฒ่าเช็ดมือให้แห้ง “...ท�ำไมฉันจะปล่อยให้คนอื่นเข้ามา เล่นสนุกด้วยล่ะ? ฉันศึกษาเรื่องนี้เพื่อความอภิรมย์ส่วนตัวเท่านั้นเอง” พ่อเฒ่าระเบิดเสียงหัวเราะอีกรอบ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เขาชวนให้ผมหัวเราะตามไปด้วย “งานวิ จั ย ของฉั น จั ด ไว้ เ พื่อ ผู ้ เ ชี่ ย วชาญโดยเฉพาะ ไม่ มี ใ ครสนใจ สวนศาสตร์อยู่แล้ว” พ่อเฒ่าบอก “...ประดาพวกอัจฉริยะสมองใสในโลก ไม่รเู้ หนือรู้ใต้ อ่านทฤษฎีของฉันไม่ออกด้วยซ�้ำไป จะมีกแ็ ต่โลกวิทยาศาสตร์ เท่านั้นที่จะสนใจงานของฉัน” “อาจเป็นเช่นนั้น แต่อย่าลืมไปว่าสัญคุรุไม่ใช่พวกโง่เง่า หากพูดถึง การถอดรหัส พวกมันถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทั้งโขยงเลย หากมันได้ข้อมูล ของท่านไป พวกมันจะถอดออกมาจนถึงเลขตัวสุดท้าย” “ฉันรู้ ฉันรู้ เพราะเหตุนี้ฉันถึงเก็บข้อมูลของฉันไว้เป็นความลับ เพิ่งงัดออกมาให้คุณประมวลผล พวกมันจะได้ ไม่ยื่นจมูกเข้ามายุ่งด้วย อาจหมายความได้วา่ โลกวิทยาศาสตร์จะหันหลังให้ฉนั ไม่ถอื ว่างานของฉัน มีคา่ ควรแก่การเหลียวมามอง แล้วไง? ตุย๋ , ไม่เห็นแปลก อีกร้อยปีขา้ งหน้า ทฤษฎีของฉันจะได้รบั การพิสจู น์ให้ประจักษ์ เพียงเท่านัน้ ก็พอแล้ว ว่าไหม?” “อืม” “เอาละ, ไอ้ลูกชาย ฟอกข้อมูลได้แล้ว” “เยส” ผมตอบรับ “...เยสเซอร์” ชั่วโมงถัดมา ผมทุ่มความสนใจไปยังการประมวลผล จากนั้น ก็เป็น การพักอีกช่วง “ค�ำถามหนึ่ง ถ้าท่านไม่รังเกียจ” “เชิญเลย” พ่อเฒ่าตอบรับ “สาวน้อยที่มาต้อนรับ คนที่สวมชุดชมพูหัวจรดเท้า ร่างอวบอ้วน...” “หลานสาวของฉันเอง” พ่อเฒ่าตอบ “...ยายหนูฉลาดเป็นทีส่ ดุ แม้อายุ นพดล เวชสวัสดิ์
49
ยังน้อย ก็ช่วยงานวิจัยของฉันได้มาก” “เอ้อ...ค�ำถามก็คือ...เธอเป็นใบ้ตั้งแต่เกิดเลยหรือครับ?” “ห่ะ...” พ่อเฒ่าอุทานออกมา ฝ่ามือฟาดท่อนขา “...ฉันลืมไปเสียสนิท เธออยู่ในการทดลองปิดเสียง แย่ แย่ แย่...ขอตัวสักเดี๋ยว ต้องไปเปิดเสียง ให้ยายหนู” “โอ”
50
แดนฝัน
๔
ป ล า ย ข อ บ ฟ้ า
.................
หอสมุด
ศูนย์กลางเมืองอยู่กลางลานพลาซาครึ่งวงกลมทางเหนือของสะพานเก่า อีกครึ่งวง นั่นก็คือ ส่วนครึ่งวงกลมด้านล่าง อยู่ข้ามฟากแม่นำ�้ มาทางใต้ ครึ่งวงกลมจึงรู้จักกันในชื่อ พลาซาเหนือกับพลาซาใต้ ในเมื่อถือเป็นคู่ เรียงเคียงกัน ก็ไม่มหี นทางอื่นนอกจากจะเป็นคูป่ รับชิงดีชงิ เด่น ฉายลักษณะ ตรงข้ามกันให้มากที่สุด พลาซาเหนือประจุเปี่ยมด้วยบรรยากาศลึกลับ ซ่อนปริศนา บ้านพักเงียบเชียบชุมนุมกันเป็นหย่อม ในขณะที่พลาซาใต้ ไร้บรรยากาศโดยสิ้นเชิง จะให้ผู้มาเยือนรับสัมผัสรู้สึกอย่างไร? คงมีแต่ ความเงียบเหงาอ้างว้าง ทีน่ ี่ ในแดนใต้ บ้านเรือนบางตา น้อยกว่าทางเหนือ ของสะพาน แปลงดอกไม้ไร้การดูแล ก้อนหินปูถนนไม่มีผู้ใส่ใจซ่อมแซม กลางลานกว้างของพลาซาเหนือเป็นที่ตั้งของหอนาฬิกา ยืนทะมึน เสียดยอดแหลมแทงฟ้า หากกล่าวให้ชดั ยิง่ ขึน้ ก็ไม่ละม้ายคล้ายหอนาฬิกา หากแต่เป็นอาคารโบราณหลงรูปว่าเป็นหอนาฬิกา เพราะนาฬิกาบอกเลิก ร้างราการท�ำหน้าที่เครื่องบอกเวลานานแสนนานมาแล้ว หอนาฬิกาแท่งหินสี่เหลี่ยม ฐานกว้าง สอบเรียวไปหายอด หันหน้า หาทิศส�ำคัญทั้งสี่ ปลายยอดมีหน้าปัดสี่บานสี่ทิศ เข็มนาฬิกานิ่งค้างอยู่ที่ สิบนาฬิกากับสามสิบห้านาที ต�่ำลงมาอีกนิดเป็นช่องเปิด บ่งบอกว่าภายใน อาคารกลวงเปล่า น่าจะมีบันไดเวียนขึ้นหาปลายยอด แต่ทว่า ไม่มีประตู นพดล เวชสวัสดิ์
51
เปิดเข้าฐานอาคาร หอนาฬิกาสูงตระหง่านกลางพลาซาจนต้องเดินข้าม สะพานเก่าไปทางทิศใต้เพื่อดูเวลาจากหน้าปัด แถวหินและอาคารก่ออิฐถือหอนาฬิกาเป็นจุดศูนย์กลางขยายกระจาย ไปทุกทิศ แถวหินไร้คุณลักษณ์โดดเด่น ไร้เครื่องประดับ ไม่มีป้ายบรรยาย ข้อความ บ้านเรือนรอบพลาซาประตูปิดตาย ไม่เคยมีผู้ ใดผ่านเข้าออก หรือว่าทีน่ เี่ ป็นทีท่ ำ� การไปรษณียเ์ ก็บจดหมายสิน้ ชีวติ ปลิดปลง? หรือว่าเป็น ส�ำนักงานเหมืองไร้คนเหมือง? หรือเป็นเมรุที่ ไม่มีศพให้เผาอีกต่อไปแล้ว? ความเงียบงันสะท้อนก้องโครงสร้างให้ภาพลักษณ์แห่งการละทิ้ง แต่ใน ทุกคราวที่ผมเดินตามถนนสายนี้ ผมรู้สึกได้ว่ามีคนแปลกหน้าแฝงร่าง ซ่อนตัวในอาคารที่อยู่รอบๆ กลั้นลมหายใจไว้นิ่งในระหว่างการสะกดรอย ไร้เหตุผลไล่หลังผม ผมไม่มีทางทราบได้ หอสมุดอยู่ในละแวกอาคารร้าง มองจากภายนอกไม่มีทางทราบว่า เป็นหอสมุด เป็นแค่เพียงอาคารหินซอมซ่อหลังหนึ่ง ผนังหินเก่าทอดยาว หายไปในเงามืด ลูกกรงเหล็กติดหน้าต่างบานเล็ก กับประตูไม้หนาหนัก อาจมองว่าเป็นยุ้งฉางธัญพืชได้ หากผมไม่สอบถามนายทวารโดยละเอียด ผมไม่มีทางเชื่อว่าอาคารหลังนี้จะเป็นหอสมุด “หาที่พักเรียบร้อยแล้ว ตรงไปที่หอสมุด” นายทวารกล่าวบอกในวันแรกที่ ผมเดินทางมาถึง “...มีเด็กผูห้ ญิงดูแลทีน่ นั่ ตามล�ำพัง บอกเธอว่า มหานคร ส่งคุณมาเพื่ออ่านความฝันเก่า เธอจะสานต่อเรื่องราวที่เหลือให้” “ความฝันเก่า?...หมายความว่ายังไงความฝันเก่า?” นายทวารละมือจากการถากไม้ทำ� ตะขอปุม่ กลม วางมีดเรียวเล็กในมือ กวาดเศษไม้ลงจากโต๊ะ “ความฝันเก่า...ก็คือความฝันเก่า ไปที่หอสมุด ทีน่ นั่ เก็บความฝันเก่าไว้มากพอท�ำให้หอู อื้ ตาลายได้ เลือกหยิบออกมา อ่าน ความฝันเก่ามากเท่าที่ต้องการ” นายทวารยกปุ่มกลมขึ้นมาดู กลึงกลมได้พอเหมาะ เขาวางตะขอไว้ บนชั้นด้านหลัง บนชั้นมีตะขอปุ่มกลมน่าจะสักยี่สิบอัน “สอบถามได้ทกุ เรื่องเท่าทีป่ ระสงค์ แต่ระลึกเสมอว่าอาจไม่ได้ค�ำตอบ” 52
ปลายขอบฟ้า
นายทวารประกาศ ประสานมืไว้หลังท้ายทอย “มีบางเรื่องที่ข้าไม่อาจบอก ออกไปได้ นับจากวันนี้เป็นต้นไป คุณจะต้องไปที่หอสมุดทุกวัน ไปอ่าน ความฝันเก่า นัน่ เป็นหน้าทีข่ องคุณ ไปท�ำงานหกโมงเย็น อยูท่ นี่ นั่ จนถึงสีท่ มุ่ หรือห้าทุ่ม สาวบรรณารักษ์จะท�ำอาหารเย็นให้ ถ้าเป็นเวลาอื่น คุณอยาก จะท�ำอะไร ก็ท�ำได้เต็มที่” “เข้าใจละ” ผมตอบ “ผมต้องท�ำหน้าที่นี้นานแค่ไหน?” “นานแค่ไหน ไม่อาจบอกได้” นายทวารตอบ “จนกว่าจะถึงเวลาอันควร กระมัง” นายทวารหยิบแท่งไม้ขึ้นมาจากกอง เริ่มถากเกลาอีกครั้ง “ทีน่ เี่ ป็นเมืองคนจน ไม่มที วี่ า่ งให้คนขีเ้ กียจเอ้อระเหยลอยชาย ทุกคน มีศักดิ์ ทุกคนมีหน้าที่ หน้าที่ของคุณคือ อ่านความฝันเก่า คุณคงไม่คิดว่า จะมาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตสุขสมชื่นมื่นไปชั่วกาลนานกระมัง?” “งานไม่ใช่ภาระหนักอก มีงานท�ำดีกว่าอยู่เปล่าๆ” ผมตอบ “นัน่ ประไร” นายทวารพยักหน้ารับ ตาเขม้นจ้องปลายมีดในมือ “...ยิง่ ไปท�ำงานเร็วเท่าไหร่กย็ งิ่ ดีเท่านัน้ จากวันนีเ้ ป็นต้นไป คุณเป็น <นักอ่านฝัน> ไม่เหลือชื่อประดับตัวอีกต่อไปแล้ว เหมือนทีข่ า้ เป็น <นายทวาร> เข้าใจนะ?” “ชัด” ผมตอบรับ “ในเมื่อมีนายทวารเพียงหนึ่งเดียวในเมือง ก็มีนักอ่านฝันคนเดียว ในเมืองเช่นกัน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิท�ำงานเป็นนักอ่านฝัน เออ, จัดการให้แล้วเสร็จเสียเลย...” นายทวารหยิบถาดสีขาวออกมาจากตู้ วางถาดบนโต๊ะ รินน�้ำมันลง ในถาด จุดไม้ขีดไฟ น�้ำมันลุกติดไฟ เขาหันไปหาราวมีด หยิบมีดเล่มเล็ก น�ำปลายมีดเผาในเปลวไฟนานสิบนาที ก่อนจะเป่าไฟให้ดับ ทิ้งมีดให้เย็น “มีดเล่มนี้จะตราเครื่องหมายประจ� ำตัวคุณ” นายทวารกล่าวบอก “...ไม่มีความเจ็บปวด ไม่จ�ำเป็นต้องหวาดกลัว” เขาใช้ ป ลายนิ้ ว พลิ ก เปลื อ กตาข้ า งขวาให้ ห งายขึ้ น ปั ก มี ด เข้ า ไป ในลูกตา เหมือนที่เขาบอก ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ผมไม่รู้สึกกลัวเช่นกัน คมมีดจมเข้าไปในดวงตา นุ่มนวลเงียบงัน ประหนึ่งปักลงไปในวุ้นเหลว ตาข้างซ้ายก็ท�ำเช่นกัน นพดล เวชสวัสดิ์
53
“หากคุณไม่ท�ำหน้าที่นักอ่านฝันอีกต่อไป รอยแผลเป็นจะเลือนหาย ไปเอง” นายทวารบอก เก็บถาดและมีดคืนกลับที่ “...รอยแผลเป็นบ่งบอกว่า คุณเป็นนักอ่านฝัน ตราบเท่าทีท่ �ำหน้าทีน่ อี้ ยู่ จะต้องระวังแสงสว่าง ฟังให้ดี คุณมองแสงตรงๆ ไม่ได้ อย่าได้คิดแม้แต่จะลอง ออกจากบ้านเฉพาะใน ยามค�่ำคืนหรือยามฟ้าหม่น หากแสงส่องเจิดจ้า ปิดห้องให้มืด ซ่อนตัวอยู่ ในบ้านจนกว่าจะสิ้นแสง” นายทวารหยิบแว่นตากันแดดยื่นส่งให้ผม ผมจะต้องสวมแว่นด�ำ ตลอดเวลา ยกเว้นยามนอน นั่นเป็นวิธีที่ผมลาขาดจากแสงยามกลางวัน ย�่ำเย็น หลายวันถัดมา ผมเดินตรงไปยังหอสมุด บานประตูไม้หนาหนัก ส่งเสียงครืดครากเมื่อผลักเปิด ช่องโถงเหยียดตรงยาวไกลทอดรออยูข่ า้ งหน้า อากาศอับประจุดว้ ยกลิน่ ฝุน่ อวลไอของการทิง้ ร้างนานหลายปี พืน้ กระดาน เหยียบย�่ำเป็นรอย ผนังฉาบปูนให้สีเหลืองในแสงไฟสลัวจาก หลอดเดียว มีประตูหลายบานสองฟากข้างทางเดิน แต่ละบาน ลูกบิดคลุมด้วย ฝุน่ ขาว บานเดียวทีป่ ดิ อยู่ จะเป็นบานปลายสุดทางเดิน ประตูตดิ กระจกฝ้า มีแสงโคมเรื่อส่องอยูภ่ ายใน ผมเคาะประตู ไม่มเี สียงตอบรับ วางมือบิดหมุน ลูกบิดทองเหลืองมัวหม่น ผลักเปิดเข้าไปในห้อง ว่างเปล่า ไม่มผี ู้ใด ห้องโล่ง กว้างไกล เหมือนห้องนั่งรอรถในสถานีรถไฟ ห้องไร้การประดับตกแต่ง ไม่มแี ม้แต่หน้าต่าง กลางห้องมีโต๊ะตัวเดียว เก้าอีส้ าม เตาถ่านหิน ถัดไปเป็น เคาน์เตอร์และนาฬิกาตัง้ พืน้ บนเตาตัง้ อุน่ หม้อเคลือบมีรอยกระเทาะ ไอกรุน่ ลอยออกมาเป็นระยะ ด้านหลังเคาน์เตอร์เป็นบานประตูกระจกฝ้าอีกบาน แสงไฟเรื่อส่องภายใน ผมคิดว่าควรจะเคาะประตูดีหรือไม่ ตัดสินใจรอคอย จนกว่าจะมีใครโผล่หน้ามาให้เห็น บนเคาน์เตอร์มีลวดเสียบกระดาษวางกระจาย ผมกอบมาหยิบมือ นั่งรอคอยบนเก้าอี้ ผมไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนในตอนที่สาวบรรณารักษ์ โผล่ ออกมาจากประตูหอ้ งด้านหลังเคาน์เตอร์ เธอถือแฟ้มบรรจุเอกสาร เมื่อเธอ 54
ปลายขอบฟ้า
มองเห็นผม แก้มของเธอแดงระเรื่อด้วยความประหลาดใจ “ขออภัย...” เธอกล่าว “...ฉันไม่ทราบว่าคุณอยูท่ นี่ ี่ คุณน่าจะเคาะประตูู ฉันอยู่ในห้องหลัง ในห้องเก็บของ ข้าวของที่นี่กระจัดกระจายรกรุงรัง” ผมเบิ่งตาจ้องมองหน้าสาวน้อย ใบหน้านั้นย�้ ำเตือนให้หวนนึกถึง ความเก่า อะไรบางอย่างบนใบหน้าของเธอแตะสัมผัสความรู้สึกของผม? ผมรู้สึกคล้ายกับว่า ตะกอนจิตส�ำนึก ชั้นลึกล่างสุด ลอยฟ่องขึ้นสู่พื้นผิว หมายความว่าอย่างไรกัน? มีความลับด�ำมืดซ่อนอยูใ่ นอดีตไกลโพ้นด้วยหรือ? “อย่างที่คุณเห็น ไม่มีใครแวะมาที่นี่...ไม่มีอะไรเลย นอกเสียจาก <ความฝันเก่า>” ผมผงกหัวรับ แต่สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของสาวน้อย ดวงตา ริมฝีปาก หน้าผากกว้าง ผมด�ำสลวยผูกรวบไว้ทา้ ยทอย ผมเพ่งจ้องใกล้ชดิ ประหนึ่งว่าน่าจะอ่านความหมายสักอย่างออกมาได้ ภาพนั้นลอยเลื่อน เคลื่อนหายลับไป โผล่ผุดแล้วสูญหาย ผมหลับตาลง “ขออภัย เป็นไปได้ไหมว่าคุณเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาคารอื่น? อาคารทีน่ ี่ หน้าตาคล้ายกัน” เธอวางแฟ้มลงบนเคาน์เตอร์ วางทับลวดเสียบกระดาษ “...มีเพียงแต่นักอ่านฝันมาที่นี่เพื่ออ่านความฝันเก่า...คนอื่นห้ามเข้า” “ผมมาที่นี่เพื่ออ่านความฝันเก่า” ผมกล่าวบอก “...มหานครสั่งให้ผม มาท�ำหน้าที่นี้” “ขออภัย กรุณาถอดแว่นตาได้ไหม?” ผมถอดแว่นตาด�ำ หันไปหาสาวบรรณารักษ์ ผู้ยื่นหน้ามาเขม้นจ้อง ม่านตาสีออ่ นซีดจาง เครื่องหมายเฉพาะตัวของนักอ่านฝัน ผมรูส้ กึ เหมือนว่า เธอจ้องมองลึกลงไปถึงแก่นภายในร่าง “ดีเลย, โปรดสวมแว่นตาคืนกลับ” เธอมานั่งเก้าอี้อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ “วันนี้ ฉันไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม เราเริ่มต้นท�ำงานกันคืนพรุ่งนี้ ได้ ไหม?” เธอถาม “...ห้องนี้สุขสบายหรือเปล่า? ถ้าคุณต้องการ ฉันพอจะ เปิดห้องใหม่ให้คุณนั่งท�ำงาน” “ที่นี่เหมาะแล้ว” ผมตอบ “...คุณจะเป็นผู้ช่วยผมหรือ?” นพดล เวชสวัสดิ์
55
“ใช่ หน้าที่ของฉันจะเป็นการดูแลความฝันเก่า ช่วยเหลือนักอ่านฝัน ในการท�ำงาน” “ผมเคยพบคุณที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?” เธอเบิง่ ตาจ้องผม คิว้ ขมวดทบทวนความทรงจ�ำ ท้ายทีส่ ดุ เธอสัน่ ศีรษะ “คุณคงทราบแล้ว ในมหานคร ความทรงจ�ำไม่แน่นอน ไม่อาจวางใจได้ มีหลายเรื่องทีเ่ ราจ�ำได้ และอีกหลายเรื่องทีจ่ ำ� ไม่ได้ ดูเหมือนว่าคุณจะสังกัด อยู่ในพวกหลัง ได้ โปรดให้อภัย” “แน่นอนครับ...ไม่ใช่เรื่องส�ำคัญอะไร” “บางที เราอาจเคยพบเจอกันมาก่อน เมืองนี้เมืองเล็ก” “ผมเพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อไม่กี่วันนี้เอง” “เมื่อไม่กี่วัน?” เธอทวนค�ำ “...เช่นนั้น คุณก็คงคิดถึงคนอื่นกระมัง ฉันไม่เคยออกจากเมืองนี้ น่าจะเป็นคนอื่นที่หน้าตาคล้ายฉัน” “คงเป็นเช่นนั้น” ผมตอบ “...แต่ทว่า ผมยังรู้สึกว่าที่ ไหนสักแห่ง เราสองคนอาจมีชีวิตแตกต่างไปจากนี้ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เราสอง ลืมห้วงเวลานั้นไปสิ้น คุณเคยรู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า?” “ไม่เคย...” เธอยืนยัน “อาจเป็นเพราะคุณเป็นนักอ่านฝัน...คนอ่านฝัน คิดผิดแผกแตกต่างจากคนทั่วไป” ผมไม่แน่ใจนัก “หรือว่าคุณทราบว่าดินแดนนั้นอยู่ที่ไหน?” สาวน้อยถาม “ผมอยากจะทราบเหมือนกัน” ผมตอบ “...มีทหี่ นึง่ ...คุณอยูท่ นี่ นั่ ด้วย” หอสมุดเพดานสูง ห้องเงียบสงัดเหมือนท้องน�ำ้ ใต้มหาสมุทร ผมกวาด สายตาว่างเปล่า ลวดเสียบกระดาษอยู่ในอุ้งมือ เธอนั่งบนเก้าอี้ ไม่ไหวติง “ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าท�ำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้” ผมบอก ผมแหงนหน้ามองเพดาน อนุภาคแสงสีเหลืองดูเหมือนจะพองแล้วยุบ หดตัวแล้วยืดขยายในตอนที่ โรยลงสู่พื้น เป็นไปได้หรือว่าม่านตาที่ถูกมีด กรีดผ่า ท�ำให้มองเห็นภาพประหลาดแปลกตา? นาฬิกาตัง้ พืน้ รายงานเวลา เคลื่อนที่ทีละน้อย ไร้สุ้มเสียง “ผมมาอยู่ที่นี่เพื่อภารกิจอะไรสักอย่าง ผมได้รับค�ำบอกเล่าเช่นนั้น” 56
ปลายขอบฟ้า
“เมืองนี้เป็นเมืองเล็กเงียบสงบ” เธอตอบ “...หากคุณแสวงหาความ เงียบสงบ” ผมไม่ทราบ เธอลุกขึน้ ยืนเชื่องช้า “คุณไม่มงี านใดท�ำในค�ำ่ คืนนี้ งานของคุณเริม่ ต้น คืนพรุ่ง กลับบ้านไปพักผ่อน” ผมแหงนหน้ามองเพดานอีกครัง้ สายตากวาดกลับมาจ้องหน้าสาวน้อย ใบหน้าของเธอต่อเชื่อมกับแก่นส�ำคัญในตัวของผม แต่ความหมายเลอะเลือน บางเบา ผมหลับตา เค้นสมองครุ่นคิด ความเงียบงันโรยตัวมาปกคลุม เหมือนฝุ่นละเอียด “ผมจะกลับมาที่นี่คืนพรุ่งนี้ เวลาสิบแปดนาฬิกา” “ลาก่อน” เธอตอบ ผมเดินออกจากหอสมุด เดินข้ามสะพานเก่า โน้มตัวพิงราวสะพาน เงี่ยหู สดับเสียงแม่น�้ำเบื้องล่าง มหานครไม่มีสัตว์ขนทองหลงเหลืออยู่อีกแล้ว หอนาฬิกาและก�ำแพงซึง่ ทอดตัวยาวเหยียดล้อมมหานคร อาคารบนฝัง่ แม่น�้ำ และภูเขาแยกยอดเสี้ยมแหลมคมทางเหนือ ระบายแต้มด้วยสีเทาน�้ำเงิน ของยามย�ำ่ เย็นหดหู่ ไม่มเี สียงใดเดินทางมาเข้าหู เว้นแต่เสียงกระซิบอึกอัก ของสายน�้ำ แม้แต่นกก็ยังลาลับ หากคุณมาแสวงความเงียบสงบ...ผมได้ยินเสียงสาวน้อย ความมืดโรยตัวรายรอบตัว ไฟโคมข้างถนนเลียบแม่นำ�้ กะพริบติดเปิด เรียงทีละดวง ผมเดินตามถนนว่างเปล่าร้างผูค้ น มุง่ หน้าไปยังเนินตะวันตก
นพดล เวชสวัสดิ์
57