Norwegian Wood

Page 1



ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557 © ส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่ ลิขสิทธิ์ภาษาไทย © นพดล เวชสวัสดิ์ พ.ศ. 2557


ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย Norwegian Wood Haruki Murakami นพดล เวชสวัสดิ์

เขียน แปล

บรรณาธิการ บรรณาธิการบริหาร บรรณาธิการจัดการ ออกแบบปก รูปเล่ม พิสูจน์อักษร

จินตนา เวชสวัสดิ์ อธิชา มัญชุนากร กาบูล็อง มณฑา มัญชุนากร ศรรวริศา เมฆไพบูลย์ ธนพล ไชยช่วย ศุภรักษ์ ปฐมกสิวัฒนา ปานอรุณ ชัยลักษณ์

NORUWEI NO MORI by Haruki Murakami Copyright © 1987 Haruki Murakami All rights reserved. Originally published in Japan by KODANSHA LTD., Tokyo Thai translation rights arranged with Haruki Murakami through THE SAKAI AGENCY and SILKROAD AGENCY. พิมพ์ครั้งที่ พิมพ์ครั้งที่ พิมพ์ครั้งที่ พิมพ์ครั้งที่

1 2 3 4

: : : :

สิงหาคม มีนาคม ธันวาคม มีนาคม

ISBN 978-616-7591-28-5 ราคา 290 บาท

2551 2553 2554 2557


จัดพิมพ์โดย : ส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่ 74/1 รังสิต-นครนายก 31 ธัญบุรี ปทุมธานี 12130 โทรศัพท์ : 084 146 1432 โทรสาร : 02 996 1514 Facebook : http://www.facebook.com/GammeMagieEditions Email : gammemagie@gammemagie.com Homepage : http://www.gammemagie.com พิมพ์ที่ : ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด ภาพพิมพ์ 296 ซอยอรุณอมรินทร์ 30 ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 โทรศัพท์ : 02 433 0026-7, 02 433 8586 โทรสาร : 02 433 8587 Homepage : http://www.parbpim.com จัดจ�ำหน่ายทั่วประเทศโดย : บริษัทเคล็ดไทย จ�ำกัด 117-119 ถนนเฟื่องนคร ตรงข้ามวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทรศัพท์ : 02 225 9536-9 โทรสาร : 02 222 5188 Homepage : http://www.kledthai.com


ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์

Norwegian Wood (ノルウェイの森 Noruwei no Mori) หรือ ในชือ่ ไทยว่า ด้วยรัก ความตายและหัวใจสลาย ตีพมิ พ์ครัง้ แรกในภาษาญีป่ นุ่ ในปี พ.ศ. 2530 กล่าวกันว่านวนิยายเรื่องนี้สร้างชื่อเสียงโด่งดังในชั่วข้ามคืน ให้กับฮารูกิ มูราคามิ ผู้เขียน ฉบับภาษาอังกฤษออกวางแผงครั้งแรก 13 ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2543 ส่วนฉบับพิมพ์ครั้งแรกในภาษาไทย ออกวางแผง เมื่อปี พ.ศ. 2546 โดยส�ำนักพิมพ์แม่ไก่ขยัน โดยมีการพิมพ์ซ�้ำในปี พ.ศ. 2547 แล้วก็ห่างหายไป จนกระทั่ง 4 ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2551 ส�ำนักพิมพ์ ก�ำมะหยี่ได้รับเกียรติให้จัดพิมพ์อีกครั้ง และอีกครั้งในปี พ.ศ. 2553 ต้อนรับ ภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องราวในเล่มนี้ และอีกครั้งในปี พ.ศ 2554 ส�ำหรับ ผู้สั่งซื้อโดยตรงและร้านหนังสืออิสระ


ในค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ฉบับก�ำมะหยี่พิมพ์ครั้งแรก กล่าวไว้คร่าวๆ ว่า ด้วยรัก และศรัทธาในอานุภาพวรรณกรรมชัน้ เลิศ เรามุง่ หวังว่างานที่ เราคัดสรรจะเป็นอาหารสมองให้หนอนหนังสือชาวไทยได้เป็นเติบใหญ่เป็นผีเสือ้ ที่ไม่งดงามเพียงรูปกาย หากมีอิสระทางความคิดในจิตใจด้วย

ความตาย ของหนังสือคือการสิ้นสลายไปจากแผง หนังสือดีๆ เปรียบได้กับคนดีๆ ที่โลกอาวรณ์ หากยังสามารถกอบกู้ชีวิตของหนังสือที่ ควรค่ากับการมีชีวิตต่อไปกลับมาได้ แม้จะต้องรับความเสี่ยงใดๆ ถือเป็นโชคดี เพราะเราเชือ่ มัน่ ในความมหัศจรรย์ของมนุษย์ เพราะเราเชือ่ มัน่ ในผูเ้ ขียนหนังสือ เล่มนี้ เพราะเราเชื่อมั่นว่าผู้เสพหนังสือจะไม่ทำ� ให้เรา

…หัวใจสลาย

ย้อนกลับไปเปิดอ่านแล้วดูเป็นค�ำน�ำที่เฉิ่มเบ๊อะมากเลย สมกับเป็น มือใหม่หัดท�ำส�ำนักพิมพ์ แต่อีกใจหนึ่งก็ภาคภูมิใจที่เราสามารถท�ำตาม ความคิดแรกเริ่มยามก่อตั้งส�ำนักพิมพ์ได้ตลอดรอดฝั่ง และเรายังได้เห็นอย่าง ชัดเจน ด้วยความอบอุน่ ในหัวใจว่า ผูเ้ สพหนังสือไม่ทำ� ให้เราหัวใจสลายจริงๆ

ขอให้มีความสุขในการอ่าน

ส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่ มีนาคม 2557


บทที่

1

ในตอนนั้น ผมอายุได้ 37 ขวบปี นั่งบนเบาะ เข็มขัดนิรภัยคาดรัดติดที่นั่งใน เครื่องบินโบอิงยักษ์ 747 บินฝ่าปุยเมฆมุ่งหน้ามายังท่าอากาศยานฮัมบูร์ก ฝนหนาวเหน็บของเดือนพฤศจิกายนชะล้างผิวเปลือกโลก ให้ภาพชื้นแฉะ ชวนหดหู่มาดเยอรมัน เจ้าหน้าที่ภาคพื้นสวมเสื้อกันฝน ธงทิวปลิวไสวบน ยอดอาคาร ป้ายโฆษณาบีเอ็มดับเบิลยู ย้อนกลับมายังเยอรมนีอีกครั้ง เมื่อเครื่องบินร่อนลงจอดบนพื้นดินแล้ว ดนตรีแผ่วลอยละล่องออกมา จากล�ำโพงเหนือศีรษะ เพลงบรรเลงออร์เคสตรา เพลง นอร์วีเจียน วูด ของ บีตเทิลส์ ท�ำนองเพลงไม่เคยพลาด ส่งระลอกหนาวเหน็บผ่านร่างจนสะท้าน เยือก คราวนี้ ท�ำนองเพลงกระทุ้งหนักจนแทบหายใจไม่ออก ผมโน้มตัวไปข้างหน้า ใบหน้าฝังจมอยู่ในฝ่ามือที่บีบแน่นเพื่อไม่ให้ กะโหลกปริแตก ไม่นานนักแอร์โฮสเตสส์เยอรมันหน้าสวย เดินมาถามผมด้วย ภาษาอังกฤษว่าไม่สบายหรือไร “ไม่มีอะไรครับ เพียงแค่เวียนศีรษะ” “แน่ใจนะคะ?” “ครับ, ไม่เป็นอะไร ขอบคุณมาก” เธอยิ้มให้ เดินจากไป ท�ำนองดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลงของบิลลี โจเอิล ผมยืดตัวขึ้นนั่ง มองออกไปนอกหน้าต่าง เขม้นจ้องเมฆกลุ่มด�ำห้อยเรี่ย นพดล เวชสวัสดิ์

7


คลุมทะเลเหนือ ครุน่ คิดถึงสรรพสิง่ ทีห่ ายไปจากชีวติ เวลาทีผ่ า่ นเคลือ่ นคล้อย เพื่อนผู้หายหน้าหรือล้มตาย ความรู้สึกที่ผมไม่มีวันได้รู้จักอีกแล้ว เครื่องบินเคลื่อนเทียบท่า ผู้โดยสารปลดเข็มขัด ลากกระเป๋าลงจาก หิง้ วางเหนือศีรษะ ในระหว่างนัน้ ผมหลุดเข้าไปอยูใ่ นทุง่ หญ้า ผมได้กลิน่ หญ้า รับลมร�ำเพยผ่านใบหน้า ได้ยินเสียงนกร้อง ฤดูร้อนปี 1969 อากาศสุขสบาย อายุของผมใกล้เต็มยี่สิบปี แอร์โฮสเตสส์แวะกลับมาดูอาการของผมอีกครั้ง คราวนี้เธอนั่งอยู่บน เบาะข้างๆ สอบถามผมว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง “ไม่เป็นไรแล้วครับ ขอบคุณ” ผมตอบเธอด้วยรอยยิ้ม “...เพียงรู้สึก เหงาเศร้าไปหน่อย” “ฉันทราบว่าคุณหมายถึงอะไรค่ะ ฉันเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เป็นครั้งคราว” เธอลุกขึน้ ยืน ยิม้ หวานให้ผม “ดีเลยค่ะ, ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ นะคะ อาฟ วีเดอร์เซห์น” “อาฟ วีเดอร์เซห์น” สิบแปดปีแล้วสินะที่ผ่านไป แต่ผมก็ยังระลึกรายละเอียดทุกอย่างในทุ่งหญ้า วันนั้นได้อย่างแจ่มชัด ฝนโปรยปรายหยาดละเอียดชะล้างฝุ่นผงบนใบไม้ ฤดูร้อนจนเทือกเขาขับเงาเขียวเข้ม ลมอ่อนเดือนตุลาคมพัดโบกเรียวหญ้าสูง ท่ ว มศี ร ษะให้ ไ หวเยื อ กเอนลู ่ ริ้ ว เมฆขาวนวลหลงค้ า งพาดข้ า มโค้ ง ฟ้ า ฟ้าสีครามสดใสจนแทบจะบาดตาหากจ้องไปนาน ลมกระโชกพัดเกรียวผ่าน ทุ่งหญ้าและพุ่มผมของเธอ ก่อนจะลัดลอดเข้าไปในดงไม้ เขย่าพุ่มพฤกษ์ ส่งเสียงกราวเกรียวสะท้อนกลับออกมา เสียงรางเลือนอ้อยอิ่งเคลื่อนมาถึงเรา ประหนึ่งกระซิบผ่านจากทวารของโลกอื่น เราสองไม่ได้ยินเสียงอื่น เราสอง ไม่ได้พบใคร เรามองเห็นนกขนแดงฉานสองตัวตื่นกลัวโผบินขึ้นจากทุ่งหญ้า บินหายลับเข้าไปในป่า ในขณะที่เราก้าวเดิน นาโอโกะเล่าถึงบ่อน�้ำ 8

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


ความทรงจ�ำเล่นกลเหลือร้าย ในตอนทีผ่ มอยูใ่ นฉากนัน้ ผมแทบจะไม่ได้ใส่ใจ ในรายละเอียดอืน่ ใดเลย ผมไม่ได้หยุดคิดว่าเรือ่ งเล็กเกร็ดน้อยจะกลายมาเป็น ภาพประทับติดยืนยาวในชีวติ แน่นอนอยูแ่ ล้ว ผมจะไม่ยอมเชือ่ ว่าในอีกสิบแปด ปีให้หลัง ผมจะทบทวนย้อนนึก ระบุบอกรายละเอียดทุกอย่างออกมาได้ ผม ไม่ได้สนใจห่ะในรายละเอียดของสรรพสิ่งรอบตัว ผมสนใจแต่เฉพาะเรื่องของ ตนเอง สนใจแต่สาวน้อยหน้าสวยทีเ่ ดินเรียงเคียงข้างไปในวันนัน้ ผมคิดถึงเพียง แค่เราสองคน แล้วก็คดิ ถึงตัวเองซ�ำ้ อีกรอบ ในช่วงวัยนัน้ ในห้วงเวลานัน้ ของ ชีวติ ในยามทีท่ กุ อย่างทีม่ องเห็น ทุกอย่างทีร่ สู้ กึ ทุกเรือ่ งของความคิด บิดม้วน ย้อนกลับมาหาเหมือนบูมเมอแรง และซ�ำ้ ร้าย ผมตกอยูใ่ นห้วงรักหัวปักหัวป�ำ รักซ้อนซ่อนรัก ภาพทิวทัศน์เป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะเสียเวลาไปนึกถึง มาบัดนี้ ภาพทุ่งหญ้าเป็นฉากแรกที่ผุดขึ้นในใจ กลิ่นกรุ่นของทุ่งหญ้า ลมเย็นค่อนไปทางหนาวผิว เส้นขอบหยักโค้งของเทือกเขา เสียงสุนขั เห่า นัน่ เป็นกลุ่มแรกที่เคลื่อนมาทักทาย เดินทางมาเยือน สวยสดชัดใส ผมรู้สึก ประหนึง่ ว่าถ้าผมยืน่ มือออกไปข้างหน้า ปลายนิว้ น่าจะแตะสัมผัสได้ แต่ใสสด แจ่มชัดปานนั้นในภาพไม่มีผู้ใดอยู่เลย...ไม่มีใคร ไม่มีนาโอโกะ ผมเองก็ ไม่อยู่ในนั้น เราสองเลือนหายไปที่ไหนกัน? เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทุกอย่างทีถ่ อื เป็นสาระส�ำคัญในตอนนัน้ นาโอโกะ, ตัวผมในวัยนัน้ และโลกที่ ผมมีอยู่...หายไปได้อย่างไร? เป็นเรื่องจริง ผมน�ำภาพใบหน้าของเธอกลับมา ไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด นึกให้ออกในทันทีไม่ได้ สิ่งเดียวที่ผมคว้าจับได้ เหลือ แต่เพียงทิวทัศน์อันเป็นฉากหลัง ทิวทัศน์เพียงอย่างเดียว ไม่มีผู้ใดในฉาก จริง, ให้เวลาสักนิด ผมจดจ�ำใบหน้าของเธอได้ ผมสานเศษเสี้ยวของ ภาพของเธอทีละชิน้ มือเรียวเล็กเย็นเฉียบ ผมยาว เส้นตรง ด�ำขลับ นุม่ เย็น จากสัมผัสของปลายนิว้ ติง่ หูนมุ่ กลมมน แต้มด้วยไฝเม็ดเล็กจิว๋ เสือ้ แจ๊กเก็ต ผ้าสักหลาดที่เธอสวมในวันนั้น ลักษณะเฉพาะตัวของเธอที่จะจ้องมองตาผม ในยามทีต่ งั้ ค�ำถาม เสียงสัน่ แตกพร่าเป็นครัง้ คราว (ประหนึง่ ว่าพูดออกเสียงบน ยอดเนินลมจัด) ในทันใด ใบหน้าของเธอก็ปรากฏ ระลอกแรกจะเป็นเสีย้ วหน้า นพดล เวชสวัสดิ์

9


ด้านข้าง เพราะเธอกับผมจะเดินเคียงกันเสมอ จากนัน้ เธอก็จะหันหน้ามองผม ยิ้มให้ เอียงคอเพียงนิด และเริ่มเปล่งเสียงพูดคุย เพ่งจ้องมองลึกในดวงตา ของผม คล้ายกับจะมองไล่หาเงาวูบวาบของปลาซิวที่ว่ายปราดเปรียวใน บึงน�้ำใสสงบนิ่ง จะต้องรออีกสักระยะ รอให้ใบหน้าของนาโอโกะปรากฏ เวลาผ่านไป หลายปี เค้าหน้าสานเป็นรูปร่างเนิน่ ช้า ทอดเนิน่ นานจากห้าวินาทีกลายเป็นสิบ จากสามสิบวินาทีกลายเป็นหนึง่ นาทีเต็มๆ สักวัน, ผมคิดว่าเงาสลัวรางคงกลืน หายไปในความมืด ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว ความทรงจ�ำของผมเลื่อนเคลื่อน ่ จุดทีซ่ ากร่างในอดีตของผมเคยยืนอยูก่ บั เธอ ห่างจากจุดทีน่ าโอโกะเคยยืนอยู... ที่นั่น ท้ายที่สุด จะไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วนอกจากทิวทัศน์ ทุ่งหญ้าในเดือน ตุลาคม หวนกลับมาหาผมครัง้ แล้วครัง้ เล่า เหมือนฉากสัญลักษณ์บนแผ่นฟิลม์ แต่ละคราวที่โผล่มาเยือน จะสะกิดปลายเท้าเตะห้วงค�ำนึง ตื่น ตื่นได้แล้ว ฉันอยู่ที่นี่ไง ตื่นให้เต็มตา คิดให้หนัก คิดซีว่าท�ำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ การ เตะถีบไม่เคยท�ำให้ผมเจ็บปวด ไม่มีความเจ็บปวดใดเลย เป็นแต่เพียงเสียง สะท้อนก้อง สักวัน, แม้แต่การเตะสะกิดความทรงจ�ำก็คงเลือนหายไปด้วย แต่วนั นี้ ทีท่ า่ อากาศยานฮัมบูรก์ ดูเหมือนว่าการเตะจะยาวนานและหนักหน่วง กว่าปกติ เพราะเหตุนี้ผมจึงต้องมาเขียนหนังสือเล่มนี้ เขียนเพื่อคิด เขียน เพื่อท�ำความเข้าใจ นี่เป็นวิถีเฉพาะตัวของผม ผมจะต้องเขียนทุกอย่างลงบน แผ่นกระดาษ จึงจะประมวลเรื่องราวจนท�ำความเข้าใจได้ ถึงไหนกันแล้ว? อ้อ, นาโอโกะคุยเรื่องราวใดในวันนั้น? อ๋อ, เรือ่ ง บ่อน�ำ้ กลางทุง่ ผมไม่แน่ใจนักว่าจะมีบอ่ น�ำ้ อยูจ่ ริง อาจเป็น เรื่องภาพหรือสัญลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นในใจของนาโอโกะคนเดียวก็เป็นได้ เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่นาโอโกะวาดสร้างขึ้นมาในใจจนกลายเป็นตัวตนใน ความคิดในยุคมืดของเธอ แต่เมื่อเธอบรรยายให้ฟังแล้ว ผมไม่อาจวาดภาพ ทุง่ หญ้าทีป่ ราศจากบ่อน�ำ้ ได้อกี เลย นับจากวันนัน้ เป็นต้นมา ภาพทีผ่ มไม่เคย 10

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


พบเห็นมาก่อนจะผนึกรวมกับทิวทัศน์ที่กวาดสายตาไปพบ ผมบรรยายได้แม้ รายละเอียดเล็กจิ๋ว บ่อน�้ำอยู่ที่นั่น อยู่ที่ขอบปลายทุ่งหญ้าสิ้นสุดและชายป่า เริ่มต้น...ปากปล่องด�ำมืดลึกหายลงไปในดิน เส้นผ่าศูนย์กลางราวหนึ่งเมตร ซ่อนอยู่ในกอหญ้า ไม่มีขอบก่อกั้นใดๆ ไม่มีรั้ว ไม่มีวงก้อนหินก่อโดยรอบ (อย่างน้อยที่สุด ขอบบ่อก็ไม่โผล่พ้นผิวดิน) ไม่มีอะไรอื่นนอกจากหลุมด�ำ ปากเปิดอ้ากว้าง ขอบบ่อผ่านกาลเวลา กัดกร่อนจนเป็นหินขาวขุ่นแปลกตา ก้อนหินแตก บางส่วนหลุดหล่นหายไป จิง้ เหลนสีเขียวตัวเล็กเกาะอยูท่ รี่ อยต่อ ของก้อนหิน เราจะชะโงกมองที่ขอบบ่อ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสีด�ำสนิท เราทราบแต่เพียงว่าบ่อลึกจนน่าสะพรึงกลัว ลึกเกินกว่าจะหยั่งได้ ภายใน ประจุอัดด้วยความมืดมิด ประหนึ่งความมืดทั้งมวลในโลกจะไหลบ่าลงไป ชุมนุมกันเข้มข้นที่ก้นบ่อ “บ่อลึก...ลึกเหลือเกิน” นาโอโกะบอกผม เลือกสรรแต่ละค�ำด้วยความ พิถพี ถิ นั ในบางคราว เธอจะพูดแบบนัน้ ทอดค�ำพูดเนิน่ ช้าจนกว่าจะเลือกค�ำ เหมาะสมที่สุดที่เธอต้องการน�ำมาใช้ “...แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าบ่อน�้ำแห่งนี้อยู่ ที่ไหน เราทราบแน่ชัดเพียงอย่างเดียวว่า บ่อน�้ำอยู่ในบริเวณนี้” มือเล็กเรียวของเธอสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ต เธอยิ้มให้ผม พร้อมกล่าวบอก “เรื่องนี้...เรื่องจริง” “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็อันตรายเป็นที่สุด” ผมบอกเธอ “...บ่อลึก แต่ ไม่มีใครทราบว่าอยู่ที่ไหน คนตกลงไปในบ่อ นั่นก็เป็นจุดจบของชีวิตแล้ว” “จุดจบ...อาาาาา แผละ จบสิ้น” “เรื่องแบบนี้น่าจะเคยเกิดขึ้นแล้ว” “เป็นจริงอย่างนั้น นานๆ ครั้ง อาจจะครั้งในรอบสองหรือสามปี มี คนหายสาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอย คนแถวนี้ก็จะพูดว่า ‘โอ, หมอนั่นหล่น ลงไปในบ่อน�้ำในทุ่งหญ้า’ ” “ตายไม่สวยเลยนะ” “จริงค่ะ, ตายทุกข์ทรมานทีเดียว” นาโอโกะปัดเศษหญ้าออกจากเสื้อ นพดล เวชสวัสดิ์

11


ของเธอ “...ดีทสี่ ดุ จะเป็นการตกลงไปคอหักตาย แต่ถา้ ขาหัก ก็ชว่ ยตัวเองไม่ได้ อีกต่อไปแล้ว ต่อให้ตะโกนสุดเสียงก็ไม่มีใครได้ยิน จะไม่มีความหวังว่าจะ มีคนมาช่วย เพราะไม่มีใครรู้ว่าบ่ออยู่ที่ไหน กิ้งกือ แมงมุมจะไต่อยู่บนร่าง ต้องนอนทอดร่างอยู่บนกองกระดูกของคนที่ตกมาตายก่อนหน้านี้ พื้นบ่อ เปียกแฉะเย็นชื้น สูงเหนือศีรษะเป็นแต่เพียงวงแสงเล็กๆ เหมือนดวงจันทร์ ฤดูหนาว ใครตกลงไปในบ่อจะตายเชือ่ งช้า ตายทีละน้อย โดดเดีย่ วเดียวดาย” “อี๋ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว” ผมตอบ “...น่าจะมีใครสักคนจัดการล้อมรั้ว กั้นปากบ่อให้มั่นคง” “ท�ำได้ยังไงคะ? ก็ไม่มีใครรู้ว่าบ่อน�้ำอยู่ที่ไหน ท�ำได้แค่เพียงระวังตัว อย่าเดินออกนอกเส้นทาง” “ไม่ต้องห่วง ผมไม่เดินเพ่นพ่านอยู่แล้ว” นาโอโกะดึงมือออกจากกระเป๋าเสื้อ เอื้อมมือมาบีบมือผมไว้แน่น “ไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ คุณไม่เป็นอะไรแน่นอน ถึงคุณจะออกไปวิ่งกลาง ทุ่งหญ้าในคืนเดือนมืด คุณก็ไม่มีทางตกลงไปในบ่อ ตราบเท่าที่ฉันอยู่กับคุณ ฉันเองก็ไม่มีวันตกลงไปในบ่อ” “ไม่เลยหรือ?” “ไม่มีทาง ! ” “คุณแน่ใจได้ยังไง?” ผมถาม “แค่ทราบ” เธอเพิ่มแรงบีบบนมือของผม เดินกันต่อไปในความเงียบ “ฉันทราบเรือ่ งแบบนี้ ฉันไม่เคยพลาด แม้จะไม่มเี หตุผลทีจ่ ะอธิบายเชิงตรรกะ ได้ แต่ฉันก็รู้สึกรับรู้ได้ ยกตัวอย่างก็ได้ ในยามที่ฉันเดินอยู่ขา้ งคุณ ฉันไม่ รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย ไม่มีความมืดหรือปิศาจก็ท�ำอะไรฉันไม่ได้” “นัน่ ไงค�ำตอบ” ผมบอกเธอ “คุณอยูข่ า้ งผมตลอดเวลาก็ปลอดภัยแล้ว” “คุณหมายความอย่างนั้นจริงหรือคะ?” “แน่ที่สุด” นาโอโกะหยุดเท้า ผมหยุดนิง่ รอคอย เธอวางมือบนบ่าของผม เพ่งจ้อง 12

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


เข้าไปในดวงตา ตาด�ำของเธอเหมือนวังน�้ำวนเหนียวหนืดด�ำมืด หมุนคว้าง ด้วยลวดลายแปลกตา ดวงตางดงามของเธอจ้องมองตาผมอยู่นาน เนิ่นนาน เหลือเกิน จากนั้น เธอยืดตัวขึ้น แนบแก้มชิดกับแก้มของผม ไออุ่นทะลัก ในอกจนหัวใจผมหยุดเต้นไปชั่วขณะ “ขอบคุณค่ะ” “ด้วยความยินดี” ผมตอบรับ “ฉันเป็นสุขเหลือเกินทีไ่ ด้ยนิ ค�ำพูดนีข้ องคุณ เป็นสุขจริงๆ” เธอยิม้ เศร้า “...แต่ก็เป็นไปไม่ได้นี่คะ” “เป็นไปไม่ได้? ท�ำไม?” “ไม่ถูกต้อง แย่ที่สุด ไม่...” นาโอโกะยกมือปิดปาก ก้าวเดินต่อไป ผมพอจะเดาได้วา่ ในหัวของเธอ คงมีความคิดหลายหลากแล่นพล่าน แทนที่จะยุ่มย่ามเข้าไปจัดเรียง ผม เก็บปากนิ่ง เดินเคียงข้างเธอต่อไป “เป็นเรื่องผิด...ส�ำหรับคุณ ส�ำหรับฉัน” เธอพูดขึ้นหลังนิ่งอยู่นาน “ผิด ’ไง?” “ไม่เห็นเลยหรือ? เป็นไปได้อย่างไรทีค่ นคนหนึง่ จะเฝ้าดูแลอีกคนไปชัว่ กาลนาน ฉันหมายถึงว่า สมมติเราแต่งงานกัน คุณต้องออกไปท�ำงานใน ตอนกลางวัน หรือไม่คุณก็ต้องเดินทางไปติดต่อธุรกิจต่างเมือง แล้วตอนนั้น ใครจะเป็นคนเฝ้าดูแลฉัน? จะให้ฉันทากาวติดตัวคุณอยู่ทุกนาทีของชีวิตเรา อย่างนัน้ หรือ? ท�ำอย่างนัน้ ดีงามทีต่ รงไหน? นัน่ จะเป็นความสัมพันธ์ประเภท ไหนกัน? ไม่ช้าก็เร็ว คุณก็คงเบื่อฉัน อดสงสัยมิได้ว่าคุณใช้ชีวิตของคุณ เปลืองเปล่าไปอย่างนี้ท�ำไม? ท�ำไมต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตดูแลผู้หญิงคนนี้? ฉัน ทนไม่ได้ นั่นไม่อาจแก้ปัญหาเรื่องใดของฉันได้เลย” “แต่ปญั หาของคุณจะไม่ทอดยาวไปตลอดชีวติ ของคุณนีค่ รับ” ผมแตะ แผ่นหลังของเธอ “...ไม่ชา้ ก็เร็ว ปัญหาก็จะสิน้ ไปในท้ายทีส่ ดุ เมือ่ ถึงเวลานัน้ เราจะได้หยุดและช่วยกันคิดว่าจะท�ำอะไรกันต่อ บางทีคุณอาจจะเป็นฝ่าย นพดล เวชสวัสดิ์

13


ช่วยผมก็เป็นได้ เราไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนบัญชีกระทบยอดนี่ครับ ในช่วงที่คุณ จ�ำเป็นต้องใช้ผม ก็ใช้ให้เต็มที่ ไม่เห็นเลยหรือ? ท�ำไมคุณต้องเคร่งครัดตายตัว แบบนัน้ ? ผ่อนคลายเสียบ้าง ปล่อยตัวตามสบาย คุณเครียดมากไป คุณก็จะ วาดฝันเห็นแต่เรือ่ งเลวร้าย ผ่อนคลายเนือ้ ตัวของคุณ ส่วนทีเ่ หลือของคุณก็จะ เบาสบายตามไปเอง” “คุณพูดอย่างนั้นได้ยังไง?” เสียงของเธอแหลมสูง ไร้ความรู้สึก น�ำ้ เสียงของนาโอโกะปลุกผมให้สะดุง้ เตือนให้ผมทราบว่าผมคงพูดอะไร สักอย่างออกไป เรื่องที่ไม่น่าพูด “คุณพูดอย่างนัน้ ได้ยงั ไง?” เธอพูดย�ำ้ สายตาตกมองพืน้ ดิน “คุณไม่ได้ บอกเรือ่ งใดทีฉ่ นั ไม่เคยทราบแล้ว ‘ผ่อนคลายเนือ้ ตัวของคุณ ส่วนทีเ่ หลือของคุณ ก็จะเบาสบายตามไปเอง’ พูดอย่างนัน้ เกิดประโยชน์อะไร? ถ้าฉันปล่อยตัวให้ ผ่อนคลาย ตัวฉันก็คงแตกกระจายสลายไป ฉันใช้ชวี ติ ของฉันแบบนีม้ าตลอด นั่นเป็นวิธีเดียวที่ฉันทราบ หากต้องการด�ำเนินชีวิตต่อไป ฉันจะแตกกระจาย เป็นชิน้ เล็กชิน้ น้อย พัดกระจายหายไปกับลม คุณไม่เห็นเลยหรือ? คุณจะเฝ้า ดูแลฉันได้ยังไงถ้าคุณมองไม่เห็นในจุดนี้?” ผมนิ่งไม่ตอบ “ฉันสับสน สับสนจริงๆ ทุกอย่างฝังลึก ลึกเกินกว่าที่คุณจะทราบได้ ลึกเหลือเกิน...ลึก...ด�ำมืด...หนาวเยือก บอกอะไรฉันสักอย่าง ในตอนนั้น ท�ำไมคุณถึงได้ร่วมรักกับฉัน? คุณท�ำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง? ท�ำไมคุณต้องมา ยุ่งกับฉันด้วย?” เราสองเดินผ่านเข้าไปในความเงียบสงัดชวนให้ขนลุกของป่าสน ซาก ของจักจั่นที่ตายไปในปลายฤดูร้อนกระจายเกลื่อนบนทางเดิน ให้เสียง กรอบแกรบทุกคราวทีย่ า่ งเหยียบ นาโอโกะกับผมเดินเชือ่ งช้าไปตามเส้นทางนัน้ ประหนึ่งจะค้นหาอะไรสักอย่างที่หายไปจากชีวิตของเรา “ฉันขอโทษ...” เธอพึมพ�ำออกมา คว้าแขนผมไปกอด สัน่ ศีรษะไปมา “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะท�ำให้คุณเจ็บปวด พยายามอย่าเอาเรื่องที่ฉันพูดไปคิดให้ 14

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


ขุ่นเคืองใจเลยนะ ฉันขอโทษ จริงๆ แล้วฉันอาจจะโกรธตัวเองก็เป็นได้” “ผมคิดว่าผมยังไม่เข้าใจในตัวคุณได้มากนัก” ผมตอบรับ “...ผมไม่ใช่ คนฉลาดอะไรนัก พบเรือ่ งใดก็ตอ้ งใช้เวลานานโขก่อนจะท�ำความเข้าใจได้ แต่ ผมก็มีเวลาเหลือเฟือ ผมจะใช้เวลามากเท่าที่จ�ำเป็นท�ำความรู้จักตัวคุณ ไม่ นานนัก, ผมคงเข้าใจในตัวคุณ...รู้จักคุณดีกว่าใครๆ ในโลกนี้” เราหยุดยืน นิ่งงันกลางความเงียบสงัดของป่าสน เงี่ยหูฟัง ผมเหยียบ ผลสนและซากจักจั่นให้พลิกหงายด้วยปลายเท้า เงยหน้ามองหย่อมฟ้าที่ซุก อยู่ในช่องว่างของกิ่งสน นาโอโกะยืนนิ่งครุ่นคิด สายตาเหม่อค้าง ไม่ได้จ้อง มองสิ่งใดเป็นการเฉพาะ “บอกอะไรฉันสักอย่าง, วาตานาเบะ-คุง” เธอถาม “...คุณรักฉันบ้าง ไหม?” “คุณก็ทราบว่าผมรักคุณ” “มีค�ำขอสองข้อ คุณจะท�ำได้ไหม?” “ค�ำขอของท่านมากถึงสามข้อ, มาดาม” นาโอโกะยิ้มออกมา สั่นศีรษะ “ไม่, สองข้อก็พอแล้ว หนึ่งนั้น ขอให้ คุณทราบว่าฉันขอบคุณการมาเยี่ยมเยือนฉันถึงที่นี่ ฉันหวังว่าคุณคงจะเข้าใจ ได้ว่าคุณท�ำให้ฉันสุขใจเหลือเกิน ฉันทราบดีว่าความรู้สึกนี้คงไม่ได้ช่วยอะไร ฉันมากนัก ฉันอาจแสดงออกไม่เหมาะสมนัก แต่ก็เป็นจริง” “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ผมจะมาเยี่ยมคุณอีก...แล้วข้อที่สอง?” “อย่าลืมฉันได้ไหม?...คุณจะจ�ำได้ไหมว่าฉันเคยด�ำรงอยู่ และฉันเคย ยืนอยู่ข้างคุณเหมือนตอนนี้?” “แน่นอนครับ ผมจะจ�ำภาพนี้ไว้ตลอดไป” เธอเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร พระอาทิตย์ของฤดูใบไม้ร่วงทอแสงลอด ทรงพุ่มมาตกต้องบนไหล่ของเธอ เสียงสุนัขเห่าอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนอยู่ ไม่ไกลนัก นาโอโกะเดินขึ้นเนิน เดินออกจากป่าสน เดินลงไปตามเนินลาด ผมเดินตามหลังเธอ ห่างสองสามก้าว นพดล เวชสวัสดิ์

15


“รอเดีย๋ ว เดินกลับมาทีน่ กี่ อ่ น” ผมร้องไล่หลังเธอ “บ่อน�ำ้ อาจอยูแ่ ถวนี้ อยู่ที่ไหนสักแห่งแถวนี้” นาโอโกะหยุดเท้า หันมายิ้มให้ผม กอดแขนผมไว้ แนบอก เราเดินเคียงคู่กันเช่นนี้ไปตลอดทาง “คุณสัญญาได้ไหมว่าจะไม่มวี นั ลืมฉัน?” เธอถามแผ่ว เสียงไม่ดงั ไปกว่า กระซิบ “ผมจะไม่มีวันลืมคุณ” ผมตอบ “...ผมไม่อาจลืมคุณได้” e

แม้จะเป็นเช่นนั้น ความทรงจ�ำของผมเลือนจาง ผมลืมหลายเรื่องหลายราว การเขียนบรรยายความคิดทบทวนความทรงจ�ำของตนเองท�ำให้ผมหวาดสยอง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมลืมเรื่องส�ำคัญที่สุด? เกิดอะไรขึ้นในวังวนแห่งความมืด มิดคลุ้มคลั่ง ความทรงจ�ำส�ำคัญที่สุดจะเกาะกันเป็นก้อน เปลี่ยนสภาพเป็น ดินโคลนเหลวกองบนพื้น? หากเป็นเช่นนั้นจริง ดินโคลนก้อนนี้ก็เป็นสิ่งหลงเหลืออยู่ที่ผมจะกอบ มาปั้นให้เป็นรูปเป็นร่าง กวาดรวบรวมความทรงจ�ำเลือนจางกระจัดกระจาย มากอดไว้แนบอก ผมจะเขียนหนังสือเล่มนี้ต่อไปด้วยความหื่นหฤหรรษ์ของ คนโซที่เฝ้าดูดกระดูกเลี้ยงชีวิต นั่นเป็นหนทางเดียวที่ผมจะรักษาสัญญาที่ให้ ต่อนาโอโกะ กาลครั้ ง หนึ่ ง นานมาแล้ ว เมื่ อ ครั้ ง ที่ ผ มยั ง หนุ ่ ม กว่ า นี้ ในยามที่ ความทรงจ�ำสดใสกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมพยายามบ่อยครั้งที่จะเขียน เรือ่ งราวของเธอ พยายามแต่เขียนไม่ได้แม้สกั บรรทัด ผมทราบดีวา่ ขอเพียง บรรทัดแรกปรากฏบนหน้ากระดาษ เรื่องราวที่เหลือก็จะไหลพรูออกมาเอง แต่ผมไม่เคยท�ำได้ส�ำเร็จ ทุกอย่างสดใสคมชัดเกินกว่าจะเริ่มต้นได้ เหมือน แผนทีท่ เี่ ติมรายละเอียดละลานตาจนไม่อาจหาจุดเริม่ ต้นได้ มาบัดนี,้ ผมเพิง่ ตระหนักว่าผมพอจะจับเค้าของความทรงจ�ำรางเลือนความคิดไม่สมบูรณ์ สือ่ ผ่านการเขียนอ่อนด้อย ความทรงจ�ำต่อนาโอโกะยิง่ เลือนหายมากไปเท่าใด 16

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


ผมก็ยงิ่ เข้าใจในตัวเธอได้มากขึน้ ผมทราบแล้วว่า เพราะเหตุใดเธอจึงคาดคัน้ ขอสัญญาไม่ให้ผมลืมเธอ นาโอโกะทราบเรื่องนี้ดี เธอทราบว่าความทรงจ�ำ ของผมต่อตัวเธอจะเลือนหายไปตามกาลเวลา นีเ่ องทีเ่ ธอเว้าวอนขอให้ผมจดจ�ำ เธอไว้ในใจ...จารึกไว้ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยด�ำรงอยู่ ความคิดนั้นรินเติมความเศร้าแสนสาหัสในใจของผม เนื่องเพราะ นาโอโกะไม่เคยรักผมเลย

นพดล เวชสวัสดิ์

17


บทที่

2

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อหลายปีมาแล้ว เมื่อ 20 ปีก่อน ผมอาศัยอยู่ในหอพัก ผม อายุได้ 18 ปี นักศึกษาปีแรก ผมเดินทางเข้ามาเรียนต่อ โดดเดี่ยวเดียวดาย พ่อกับแม่หาหอพักให้ แทนที่จะเป็นห้องเช่าเดี่ยวที่นักศึกษาส่วนใหญ่เลือกอยู่ อาศัย หอพักมีอาหารเลีย้ งดูและมีเครือ่ งอ�ำนวยความสะดวกอืน่ ๆ ทีน่ า่ จะช่วย ให้เด็กอายุ 18 ปีรอดชีวติ ในโลกกว้างไปได้ ค่าใช้จา่ ยเป็นอีกปัจจัยทีต่ อ้ งน�ำมา พิจารณา หอพักถูกกว่าห้องเช่า ตราบเท่าทีผ่ มมีโคมไฟและเครือ่ งนอน ผมก็ ไม่ต้องซื้อหาเครื่องเรือนอื่นอีกแล้ว หากจะถามตัวผม ผมก็คงอยากจะไปอยู่ ห้องเช่า ใช้ชวี ติ โดดเดีย่ วเป็นส่วนตัว แต่เมือ่ ทราบว่าพ่อแม่ตอ้ งจ่ายเงินก้อนโต เป็นค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ผมเรียนอยู่ ผมก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะ อ้าปากแสดงความเห็นแย้งได้ อีกอย่างหนึง่ ผมไม่สนใจอยูแ่ ล้วว่าจะพักทีไ่ หน หอพักตัง้ อยูบ่ นเนินกลางเมือง มองเห็นภาพมุมกว้างรอบข้าง ชุดอาคาร หอพักวางบนผืนคอนกรีตสีเ่ หลีย่ มกว้างใหญ่ ล้อมรอบด้วยก�ำแพง ต้นเคะยากิ สูงใหญ่ยนื ตระหง่านอยูห่ ลังประตูทางเข้าด้านหน้า เล่ากันว่าต้นไม้ตน้ นีอ้ ายุกว่า 150 ปี หากไปยืนทีโ่ คนต้น ใบเขียวดกหนาจะบดบังท้องฟ้าจนมืดมิด ทางเดิน เข้าอาคารหอพักจะเบี่ยงเป็นสองสายอ้อมไม้ต้นนี้ปูลาดยาวไปในผืนสี่เหลี่ยม ทอดผ่านอาคารหอพักสามชั้นสองหลังหันหน้าหากัน อาคารขนาดใหญ่ติด กระจกนับบานไม่ถ้วนให้ภาพอพาร์ตเมนต์ที่ดัดแปลงมาเป็นเรือนจ�ำ หรือไม่ 18

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


ก็เป็นเรือนจ�ำแปลงโฉมใหม่ให้เป็นอพาร์ตเมนต์ อย่างไรก็ตาม ในอาคารไม่มี ความสกปรก ไม่มซี อกอับมืด ผูค้ นเดินผ่านจะได้ยนิ เสียงวิทยุลอยออกมาจาก หน้าต่าง หน้าต่างทุกบานทีม่ มี า่ นสีครีมกางกัน้ สีครีมทีแ่ สงแดดไม่อาจแผดเลีย ให้เปลี่ยนสีไปได้ เลยจากหอพักสองหลัง ทางเท้าทอดไปสูอ่ าคารสโมสรนักศึกษาสองชัน้ มีโรงอาหาร ห้องอาบน�ำ้ ชัน้ สองจะเป็นห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมย่อย มีแม้ กระทัง่ ห้องพักแขก ใครจะเป็นผูม้ าพ�ำนัก ผมไม่อาจคาดเดาได้ ถัดจากอาคาร สโมสรเป็นหอพักชุดทีส่ าม สูงสามชัน้ เช่นกัน ปลูกอยูก่ ลางสนามหญ้าเขียวขจี สปริงเกลอร์หมุนกวัดแกว่งรดสนามหญ้าจนเขียวเข้ม ฝอยละอองทอรุง้ ล้อแสง อาทิตย์ หลังหอพักชุดทีส่ ามจะเป็นสนามกีฬาเล่นเบสบอลและฟุตบอล สนาม เทนนิสอีกหก อาคารชุดหอพักเตรียมทุกอย่างเท่าทีน่ กั ศึกษาจะใช้ประโยชน์ได้ ปัญหาเพียงเรื่องเดียวของหอพักแห่งนี้คือกลิ่นการเมืองเหม็นหืน ดู เหมือนว่าหอพักแห่งนี้จะด�ำเนินงานโดยมูลนิธิของพวกขวาจัด หากจะถาม ความเห็นของผม ผมคิดว่าบิดเบี้ยวเลอะเลือนสิ้นดี หลักฐานจะพบได้จาก แผ่นพับที่แจกให้นักศึกษาใหม่พร้อมกับกฎระเบียบของหอพัก อ้างว่า “คณะ ผู้ก่อตั้งหอพักแห่งนี้ หวังจะฟูมฟักอบบ่มคนรุ่นใหม่ให้เติบโตเป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติ ผ่านบูรณาการทางการศึกษา” กลุ่มผู้มีอันจะกินที่สนับสนุน แนวคิดนี้ พร้อมใจกันสละเงินบริจาคสร้างหอพักนักศึกษา นีเ่ ป็นเพียงหน้าฉาก ที่สาธารณชนมองเห็น รายละเอียดเบื้องหลังไม่มีผู้ใดทราบ บ้างก็อ้างว่าเป็น การตัดจ่ายเงินเพื่อเลี่ยงหลบภาษี อีกคนมองเห็นเป็นการทุ่มเงินเพื่อหาเสียง แล้ ว ก็ ยั ง มี อี ก กลุ ่ ม ที่ เ ชื่ อ ว่ า น่ า จะเป็ น การกลบเกลื่ อ นในการยั ก ยอกที่ ดิ น สาธารณะกลางเมืองมาสร้างหมูบ่ า้ นจัดสรร สิง่ หนึง่ ทีเ่ ห็นชัดคือ ชุมชนนักศึกษา ที่นี่จะเป็นที่ท�ำการของสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งชาติ คณะกรรมการของ สมาพันธ์จะเดินทางมาประชุมกันหลายครัง้ ต่อเดือน ประชุมร่วมกับบิดาผูก้ อ่ ตัง้ ผูใ้ ดสังกัดสมาพันธ์แห่งนี้ จะได้หลักประกันว่าจะได้งานชัน้ เลิศเมือ่ จบการศึกษา ผมไม่แน่ใจนักว่าทฤษฎีกล่าวอ้างพวกนี้มีมูลความจริงอย่างไร แต่ละเรื่องที่ นพดล เวชสวัสดิ์

19


เล่าลือกันยืนยันได้อย่างเดียวว่า ‘มีอะไรไม่ชอบมาพากล’ ที่นี่ ช่างเถอะ, ผมใช้ชวี ติ อยูใ่ นหอพักเพีย้ นแห่งนีเ้ พียงสองปี จากฤดูใบไม้ผลิ ปี 1968 ถึงฤดูใบไม้ผลิของปี 1970 ท�ำไมอยูไ่ ด้นานขนาดนัน้ ผมเองก็ไม่อาจ ระบุได้ ในการด�ำเนินชีวติ ประจ�ำวัน กิจกรรมทัง้ หลายไม่อาจแผ่มากระทบชีวติ ของผมได้ ไม่ว่าจะเอียงขวา เอียงซ้าย...หรือเอียงไปทางไหน เป็นประจ�ำทุกวัน วันใหม่เริม่ ต้นด้วยพิธเี ชิญธงชาติขนึ้ สูย่ อดเสา แน่นอน อยูแ่ ล้ว ต้องมีการเปิดเพลงชาติประกอบพิธนี ี้ จะขาดอย่างใดอย่างหนึง่ ไปไม่ได้ เสาธงสูงตระหง่านปักอยูก่ ลางลานหอพัก มองเห็นได้จากอาคารหอพักทุกหลัง หัวหน้าหอพักฝั่งตะวันออก (หอพักของผม) เป็นผู้อัญเชิญธงชาติ ชาย ร่างสูงใหญ่ ตาหยีเรียวเล็กเหมือนตานกอินทรี อายุปลายห้าสิบหรือต้นหกสิบ เส้นผมมีสีขาวแทรกแซม ล�ำคออวบหนา ผิวคล�้ำอาบแดด มีรอยแผลเป็น พาดยาว นักศึกษากระซิบกระซาบบอกกันว่า หมอนี่ส�ำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนสายลับในนากาโนะ ไม่มีผู้ใดยืนยันเรื่องนี้ได้ ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ขา้ งกาย เป็นนักศึกษา ไม่มใี ครรูจ้ กั ไอ้หมอนีเ่ ช่นกัน หนุม่ นักศึกษาผูน้ จี้ ะตัดผมเกรียน ติดหนังศีรษะ สั้นที่สุดในโลก จะสวมเครื่องแบบนักศึกษาสีน�้ำเงินเป็นนิจ ผมไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ห้องไหน ไม่เคยเห็นเขาในสโมสร ใน โรงอาหาร หรือในห้องอาบน�ำ้ ผมไม่แน่ใจด้วยซ�ำ้ ว่าเขาเป็นนักศึกษา ใครเห็น ก็คงคิดว่าเป็นนักศึกษา ในเมื่อแต่งเครื่องแบบนักศึกษา ก็ไม่นา่ เป็นอื่นไปได้ ไม่นานนักหมอนี่ก็ได้ชื่อเล่นว่า ‘ชายในเครื่องแบบ’ ลักษณะต่างกันคนละขั้ว กับเซอร์นากาโนะ เพราะชายในเครือ่ งแบบ อ้วนเตีย้ ใบหน้ากลมแป้น คูพ่ สิ ดาร จะปฏิบัติการอัญเชิญธงอาทิตย์อุทัยขึ้นเสาทุกเช้า เวลาหกนาฬิกาตรง ช่วงแรกทีผ่ มเข้ามาพักในหอพักแห่งนี้ ผมจะตืน่ เช้าขึน้ มารับชมพิธกี รรม รักชาติ ทั้งสองจะเดินออกมายังลานกว้างในทันทีที่เสียงบี๊บบี๊บตั้งเวลาของ สถานีวิทยุสิ้นสุดลง แน่นอน, ชายในเครื่องแบบอยู่ในเครื่องแบบสีน�้ำเงินเข้ม รองเท้าหนังสีด�ำ เซอร์นากาโนะสวมแจ๊กเก็ตและรองเท้าผ้าใบสีขาว ชาย ในเครื่องแบบถือกล่องบรรจุธงชาติ ส่วนเซอร์นากาโนะจะหิ้วเครื่องเล่นเทป 20

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


โซนีกระเป๋าหิว้ เขาวางเครือ่ งเล่นเทปลงทีโ่ คนเสาธงในขณะทีช่ ายในเครือ่ งแบบ เปิดกล่อง ส่งมอบธงชาติให้ในท่าแสดงความเคารพสูงสุด ท่านเซอร์น�ำไปผูก กับเส้นเชือก ปล่อยให้ธงสยายเห็นจุดแดงฉานกลางผืนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ ชาย ในเครื่องแบบกดปุ่มเล่นเพลงชาติ “ขอมหาอาณาจักรขององค์จักรพรรดิ” ธงชาติไต่ขึ้น “จนกรวดกลายเป็นหินใหญ่...” ไต่ไปได้ครึ่งเสา “ปกคลุมด้วยมอสส์” ธงชาติอยูป่ ลายยอดเสา ทัง้ สองยืนชิดเท้าท�ำความเคารพ เงยหน้ามอง ธงชาติ ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งในวันฟ้าโปร่งลมพัดจัด การเชิญธงลงจากเสาด�ำเนินด้วยพิธกี รรมเช่นเดียวกัน หากแต่กลับทิศ ธงชาติพับเก็บกลับเข้ากล่อง ธงประจ�ำชาติไม่สะบัดโบกยามราตรี ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าท�ำไมจะต้องเชิญธงลงจากยอดเสา ในเมื่อ ประเทศของเรายังด�ำรงอยูแ่ ม้ความมืดจะโรยตัวมาห่มคลุม ทุกหัวระแหงจะมี ผู้คนท�ำงานกันตลอดราตรี ไม่ว่าจะเป็นคนงานวางรางรถไฟ คนขับแท็กซี่ สาวบาร์ พนักงานผจญเพลิง และยาม ผมคิดว่าไม่ยตุ ธิ รรมเลยทีผ่ คู้ นเหล่านี้ จะไม่ได้การคุ้มครองจากธงชาติ หรืออาจเป็นไปได้ว่าไม่ใช่สาระส�ำคัญแต่ อย่างใด หรือนอกจากตัวผมแล้ว ไม่มใี ครสนใจถามไถ่? จะว่าไปแล้ว ผมเองก็ ไม่สนใจห่ะเหมือนชาวบ้านทัว่ ไป เป็นแต่เพียงความคิดทีว่ าบผ่านเข้ามาในหัว กฎของหอพัก นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งและสองจะอยู่ห้องคู่ ส่วนปีที่สาม และสีจ่ ะครอบครองห้องละคน ห้องคูย่ าวกว่าและแคบกว่าห้องเดีย่ ว ขนาดคง ราวสิบตารางเมตร มีหน้าต่างกรอบอะลูมเิ นียมอยูต่ รงข้ามประตูหอ้ ง โต๊ะสองตัว วางข้างหน้าต่างให้นกั ศึกษาหันหลังชนกันอ่านต�ำรา ทางซ้ายของประตูหอ้ งจะ เป็นเตียงเหล็กสองชัน้ เครือ่ งเรือนทีจ่ ดั ให้จะต้องทนไม้ทนมือ และเรียบง่าย มี ตูเ้ หล็กสองลูก โต๊ะเตีย้ และชัน้ วางของติดผนัง แม้แต่ผสู้ งั เกตการณ์ปากหวาน นพดล เวชสวัสดิ์

21


ที่สุดก็ยากจะหลุดปากออกมาว่า ห้องประเภทนี้เฉียดใกล้บทกวี ชั้นวางของ เกือบทุกห้องจะเป็นที่วางกองสุมของวิทยุกระเป๋าหิ้ว เครื่องเป่าผม เตาไฟฟ้า หม้อต้มน�ำ้ ไฟฟ้า กาแฟส�ำเร็จรูป ชาถุงน�ำ้ ตาลก้อน และหม้อกับถ้วยใช้ตม้ โซบะ ด่วนทันใจ ผนังห้องจะประดับด้วยสตรียากไร้ไม่มอี าภรณ์หม่ คลุมร่าง หรือไม่ก็ เป็นใบปิดทีข่ โมยมาจากภาพยนตร์ ‘สวาท’ มีหอ้ งเดียว ติดรูปหมูสองตัวเริงรัก ซึ่งก็ถือว่าแปลกแยกจากมวลหมู่ผู้นิยมติดสาวเปลือย ดาราภาพยนตร์ หรือ ดารานักร้อง หิ้งหนังสือจะเป็นที่เก็บต�ำราเรียน พจนานุกรม และนิยาย ความสกปรกสะสมในห้องพักนักศึกษา จัดอยูใ่ นขัน้ สยองขวัญ เปลือก ผลไม้ราขึ้นเขียวเกาะติดก้นถังทิ้งผง กระป๋องเปล่าเปิดปากใช้เป็นที่เขี่ย บุหรี่ ก้นบุหรี่ล้นพูนสูง หากลุกโพลงติดไฟ กาแฟ เบียร์จะราดรดให้กลิ่น เหม็นเปรี้ยวอบอวล คราบไคลและวัสดุที่มิอาจระบุประเภทได้เกาะติดถ้วย บนพืน้ ห้องมีซองโซบะ กระป๋องเบียร์ และฝากระปุกหลากขนาดเกลือ่ นกลาด ไม่เคยสักครั้งที่ผู้อาศัยในห้องจะคิดว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะเก็บกวาดขยะ รวมทิ้งลงถัง ยามเมื่อลมพัดหวน ฝุ่นผงบนพื้นจะคลุ้งกระจาย บิดม้วนตัว ก่อนจะโรยลงอาบบนพื้นดังเดิม แต่ละห้องจะมีกลิ่นเหม็นหืนเฉพาะตัว แค่องค์ประกอบก�ำเนิดกลิ่นไม่ต่างกันนัก จะเป็นกลิ่นเหงื่อ กลิ่นตัว ผสม เข้ากับกลิ่นขยะ เสื้อผ้าสกปรกกองสุมบนเตียงนอน ไม่มีผู้ใดสละเวลาและ แรงกายลากเสือ่ ออกไปผึง่ แดด เหงือ่ ฝังลึกโชกทีน่ อน ส่งกลิน่ ทีไ่ ม่อาจไถ่บาปได้ มองย้อนกลับไปในยุคนั้น น่าประหลาดใจเหลือเกินที่หล่มหมูทั้งหอพักไม่ก่อ ให้เกิดโรคระบาดนักศึกษาล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ห้องของผม ในทางตรงกันข้าม สะอาดหมดจดเหมือนห้องเก็บศพ พืน้ ห้องและกระจกหน้าต่างไร้ไฝฝ้าราคี ฟูกนอนจะยกออกไปผึง่ แดดเป็นประจ�ำ สัปดาห์ละครั้ง ดินสอทุกแท่งปักอยู่ที่โถเก็บดินสอ แม้แต่ผา้ ม่านยังซักทุก เดือน เพือ่ นร่วมห้องของผมเป็นนายสะอาด ไม่มนี กั ศึกษาคนใดในอาคารนีเ้ ชือ่ ค�ำอวดอ้างของผมเรือ่ งผ้าม่านหน้าต่าง พวกนัน้ ไม่เชือ่ ว่าม่านหน้าต่างถอดไป ซักล้างได้ ตรงกันข้าม หนุม่ หอเชือ่ สนิทใจแล้วว่าผ้าม่านเป็นส่วนควบกึง่ ถาวร 22

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


ของหน้าต่าง มิอาจแยกเคลื่อนย้ายออกจากที่ได้ “ไอ้หมอนั่นท่าจะเสียสติไป แล้ว” นัน่ เป็นความเห็นเอกฉันท์ของสมาชิกในหอ ตีตราด่วนทันใจว่านายสะอาด หากมิใช่นาซี ก็คงเป็นสตอร์มทรูปเปอร์ลูกสมุนของดาร์ธเวเดอร์ ห้องของผมไม่มีรูปสาวงามติดผนัง ผมเคยน�ำรูปเช่นว่านั้นมาติด แต่ นายสะอาดฉีกกระชากลงมาทันที “ไม่ชอบ ไม่โปรด...ไม่สุภาพ” ไม่มีการ ลงความเห็นตามวิถปี ระชาธิปไตย นายสะอาดน�ำเอาภาพคลองในอัมสเตอร์ดมั มาติดแทนที่ ผมเองก็ไม่ได้ฝากชีวติ ทัง้ มวลไว้กบั สาวไร้เสือ้ ผ้า ผมจึงไม่สง่ เสียง ประท้วง “เฮ้ย, นี่มั่นห่ะอะไรกัน?” นั่นเป็นความเห็นหลุดจากปากทุกคนที่ เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องของผม “โอ, สตอร์มทรูปเปอร์ชอบ ว่าว ริมคลองอัมสเตอร์ดมั ” ผมอรรถาธิบาย ผมเล่นลิน้ คิดว่าเป็นเรือ่ งตลก แต่ทกุ คนเชือ่ สนิทใจ เชือ่ เอาเป็นเอาตาย จนผมเองก็ชักจะเชื่อตามไปอีกคน เพือ่ นร่วมหอทุกคนเห็นใจผมสุดซึง้ ทีม่ นี ายสะอาดเป็นเพือ่ นร่วมห้อง แต่ ผมไม่เศร้าสะเทือนใจอะไรมากนัก ตราบเท่าที่ผมเก็บกวาดปริมณฑลรอบตัว ของผมให้สะอาด เขาไม่เคยกวนใจผม จะว่าไปแล้ว การมีนายสะอาดเป็น เพื่อนร่วมห้องก็ช่วยให้ชีวิตของผมง่ายขึ้นในหลายทาง เขาเป็นคนรับหน้าที่ ท�ำความสะอาดทั้งหมด น�ำเสื่อออกผึ่งแดด และเอาขยะไปเท เขาจะท�ำจมูก ฟุดฟิดและเสนอแนะว่าผมควรไปอาบน�้ำได้แล้ว ในตอนผมมีงานยุ่ง แค่ลืม อาบน�้ำสองสามวันเอง เท่านั้นยังไม่พอ เขาใส่ใจเป็นผู้เตือนให้ผมไปแวะร้าน ตัดผม หรือขริบเส้นขนในจมูกเสียบ้าง เรื่องเดียวที่กวนประสาทผมที่สุด จะเป็นการฉีดยาฆ่าแมลง ขอเพียงมีแมลงวันบินเข้ามาสักตัวจะต้องฉีด ใน สถานการณ์เช่นนี้ ผมต้องลี้ภัยไปอาศัยในหล่มหมูห้องอื่น สตอร์มทรูปเปอร์เรียนภูมิศาสตร์ในมหาวิทยาลัยของรัฐ ค�ำของเขาเองตอนทีแ่ จ้งให้ผมทราบครัง้ แรกสุด “ฉันเรียนผ-ผ-แผนที”่ “แกชอบแผนที่อย่างนั้นหรือ?” ผมถาม นพดล เวชสวัสดิ์

23


“เออ, เรียนจบแล้ว ฉันจะไปท�ำงานทีส่ ถาบันรังวัดภูมศิ าสตร์ จะได้ทำ� ผ-ผ-แผนที่” ผมประทับใจเป็นล้นพ้นกับเป้าหมายและความฝันทีช่ วี ติ ประทานให้ผคู้ น นีเ่ ป็นความประทับใจครัง้ ใหญ่อกี ครัง้ ทีผ่ มได้ประสบในการเดินทางเข้ามาเรียน ในโตเกียว วาบความคิดแรก ผมคิดว่า เออ, ก็ดเี หมือนกัน สังคมของเราต้องการ คนทีม่ คี วามฝันแปลกๆ คนทีห่ ลงใหลเรือ่ งพิลกึ คนทีโ่ ปรดปรานการท�ำแผนที่ เป็นชีวติ จิตใจสักคนสองคน น่าประหลาด คนอยากจะไปท�ำงานในสถาบันรังวัด ภูมศิ าสตร์แห่งชาติจะต้องติดอ่างทุกครัง้ ทีพ่ ดู ค�ำว่า ‘แผนที’่ สตอร์มทรูปเปอร์ พูดไหลรื่น จะติดอ่างแต่เฉพาะค�ำว่า ‘แผนที่’ เพียงค�ำเดียว วัดผลได้เต็ม ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เคยพลาดสักครา “แกเรียนอะไร?” เขาถาม “การละคร” “อยากจัดละครเวทีอย่างนั้นหรือ?” “ไม่อยาก, ก็แค่อ่านบท ท�ำงานวิจัย ราซีน อีเออเนสโก เชกสเปียร์ เรื่องพวกนี้ละ” เขาบอกผมว่าเคยได้ยนิ ชือ่ เชกสเปียร์ แต่ไม่เคยได้รจู้ กั คนอืน่ ๆ ผมเองก็ ไม่คนุ้ หูชอื่ คนพวกนี้ เพียงแต่เหลือบเห็นชือ่ บนส�ำเนากระดาษบรรยายทีอ่ าจารย์ แจกให้ “แกชอบละครหรือ?” “ก็ไม่ใคร่นัก” ค�ำตอบของผมท�ำให้เขาสับสน เมือ่ ใดทีเ่ ขาสับสน เขาก็จะติดอ่างหนัก กว่าเดิม ผมเสียใจที่ท�ำให้เขาเกิดอาการเช่นนั้น “ฉันเลือกเรียนอะไรก็ได้ ชาติพันธุ์วิทยา ประวัติศาสตร์เอเชีย ฉันเจอ ชื่อสาขาการละคร ก็จิ้มเลือก เพียงเท่านั้นเอง” ไม่ใช่ค�ำอธิบายขยายความ ที่เข้าท่านัก “ไม่เข้าใจ...” มิใช่เพียงค�ำ สีหน้าของเขาแถลงออกมาว่าไม่เข้าใจ 24

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


จริงๆ “...ฉันชอบผ-ผ-แผนที่ ฉันเลยตัดสินใจเดินทางเข้าโตเกียว ให้พ่อแม่ ส่งเงินมาให้เพื่อมาเรียนวิชาท�ำผ-ผ-แผนที่ แต่แกไม่ได้ท�ำแบบนั้น?” มุมมองของเขาเข้าท่า มีเหตุผลกว่าของผม ผมเลิกพยายามจะอธิบาย เรื่องทั้งหมดให้เขาเข้าใจ จากนั้น เราจับไม้สั้นไม้ยาว (ก้านไม้ขีด) เลือกเตียง เขาได้นอนเตียงบน หนุ่มร่างสูง ผมลานบินสั้นเกรียน โหนกแก้มเด่น เขาจะสวมเสื้อผ้า แบบเดียว เสือ้ ขาว กางเกงด�ำ รองเท้าหนังสีดำ� และเสือ้ กัก๊ สีนำ�้ เงิน หากไปเรียน ก็จะเพิ่มเสื้อแจ๊กเก็ตเครื่องแบบทับ และถือกระเป๋าเอกสารสีด�ำติดมือไปด้วย เครือ่ งแบบนักศึกษาเอียงขวา ซึง่ ก็คงเป็นเพราะเหตุนกี้ ระมังทีน่ กั ศึกษาคนอืน่ ๆ จะเรียกชือ่ เล่นเขาว่า ‘สตอร์มทรูปเปอร์’ แท้จริงแล้ว เขาไม่สนใจเรือ่ งการเมือง เหตุผลเดียวทีใ่ ช้เสือ้ ผ้าแบบเดิม เพราะไม่อยากเสียเวลาเลือกเสือ้ ผ้า เรือ่ งเดียวที่ เขาสนใจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของแนวเขตชายฝั่ง หรือโครงการขุดเจาะ อุโมงค์รถไฟสายใหม่ มีเพียงเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นอีกเลย หากให้เขาเริ่มเล่า เรื่องพวกนี้ เขาจะพล่ามได้น�้ำลายแตกฟอง หากไม่หลับให้พ้นความทรมาน ผมก็ต้องวิ่งหนีไปลี้ภัยในคอกหมูห้องอื่น สตอร์มทรูปเปอร์จะตื่นนอนหกโมงเช้าทุกวัน ตื่นพร้อมกับ ‘ขอมหา อาณาจักรขององค์จกั รพรรดิ’ ซึง่ ก็พอจะกล่าวได้อกี อย่างหนึง่ พิธเี ชิญธงขึน้ เสา ไม่ถงึ กับเปลืองเปล่าไร้ประโยชน์ เขาจะเปลีย่ นชุดไปเข้าห้องน�ำ้ และใช้เวลาใน ห้องน�ำ้ ...นานชัว่ นิรนั ดร์ ในบางคราว ผมเกือบจะเชือ่ ว่าเขาน่าจะถอดฟันออกมา ทีละซี่ แปรงให้หมดจด ก่อนจะสวมปักกลับเข้าเหงือก เมือ่ ย้อนกลับมาก็จะรีด รอยยับย่นของผ้าเช็ดตัว วางพาดให้แห้งบนเครือ่ งท�ำความร้อน น�ำเอาแปรงสีฟนั และกล่องสบู่วางกลับเข้าที่บนหิ้งวางของ ล�ำดับท้ายที่สุด ก็จะเป็นการฝึก กายบริหารทางวิทยุพร้อมกับประชาชนคนอื่นๆ ทั่วประเทศ ผมอ่านหนังสือจนดึกดืน่ และจะนอนให้เต็มตาจนกว่าจะถึงเวลาแปดโมง เช้า แม้เขาจะขยับตัวเหวี่ยงแขนกางขาไปมา ผมก็ยังคงหลับไม่ได้สติ จน ถึงช่วงที่เขาจะกระโดดขึ้นลง หมอนี่เอาจริงเอาจังกับการกระโดด กระโดด นพดล เวชสวัสดิ์

25


ตกถึงพืน้ ทุกครัง้ เตียงนอนจะกระดอนขึน้ จากพืน้ ผมทนเก็บปากค�ำได้สามวัน เต็มๆ เพราะเคยอ่านผ่านตาว่า การใช้ชวี ติ ในคอมมูน จ�ำเป็นต้องสละความเห็น ส่วนตัวไปบางส่วน เมื่อถึงเช้าวันที่สี่ ผมทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว “เฮ้ย, แกไปเต้นบนดาดฟ้าไม่ได้เลยหรือไง? ฉันนอนไม่ได้” “ตอนนี้ 6.30 น. แล้วนะ?” สตอร์มทรูปเปอร์อ้าปากค้างด้วยความพิศวง “เออ, ฉันรู้ แต่ฉนั ยังไม่ถงึ เวลาตืน่ ฉันไม่รวู้ า่ จะอธิบายยังไงดี แต่ระบบ ของฉันไม่เหมือนคนอื่น” “ฉันไปเต้นบนดาดฟ้าไม่ได้ คนทีอ่ ยูห่ อ้ งใต้ดาดฟ้าต้องโวยวายเอาเรือ่ ง ไม่เหมือนห้องเรา อยู่เหนือห้องเก็บของ” “ลงไปกระโดดบนถนนหรือสนามหญ้า” “ไม่ได้เหมือนกัน ฉันไม่มวี ทิ ยุทรานซิสเตอร์ ต้องเสียบปลัก๊ อย่างเดียว จะออกท่ากายบริหารได้ยังไงถ้าไม่มีวิทยุ?” จริงของมัน, วิทยุของเจ้าหมอนีเ่ ป็นวิทยุหลอด ต้องเสียบไฟ ไม่มชี อ่ งให้ ใส่ถ่าน วิทยุของผมเป็นกระเป๋าหิ้ว มีแต่คลื่นเอฟเอ็ม ใช้ฟังเพลงอย่างเดียว “เอาเหอะ, พบกันครึง่ ทางก็ได้วะ แกออกท่ากายบริหารต่อไปได้ แต่ตดั ไอ้ส่วนที่ต้องกระโดดทิ้งไป ห้องจะได้ไม่เหมือนแผ่นดินไหว ตกลงไหม?” “กระ-กระโดดอะไรกัน?” “กระโดด ก็คือการส่งตัวลอยขึ้น แล้วตกลงมากระแทกพื้น” “แต่การฝึกกายบริหารไม่มีการกระโดดนี่นา” ผมปวดขมับ เกือบยอมแพ้มันอยู่แล้ว แต่เพื่อให้สมประโยชน์การ อภิปราย ผมลุกจากเตียง กระโดดขึน้ ลง แล้วแหกปากร้องเพลงไปกับท่อนน�ำ ของการฝึกกายบริหารเคล้าดนตรีของสถานีวิทยุเอ็นเอชเค “นี่ละที่ฉันพูดถึง” “โอ, นั่นเอง แกพูดถูก ฉันไม่ได้สังเกตเห็นตอนนี้” “เห็นไหม ว่าแล้ว” ผมย้อนกลับไปนั่งขอบเตียง “ตัดไอ้ส่วนนี้ทิ้งไป ฉันพอจะทนรับส่วนที่เหลือทั้งหมดได้...ห้ามกระโดด ฉันจะนอนต่อ” “แต่...แต่เป็นไปไม่ได้” สตอร์มทรูปเปอร์ครางเสียอ่อย “ออกกายบริหาร 26

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


ไม่ครบไม่ได้ ฉันฝึกกายบริหารทุกเช้ามาสิบปีเต็มๆ แล้ว เมือ่ เริม่ ต้นท�ำ ก็ทำ� ท่า ต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องคิด ถ้าให้ตัดตรงนั้น ตรงนี้ออก ฉันจะท�ำ ถูกจังหวะได้ยังไง?” ผมเถียงไม่ออก ไม่มอี ะไรจะขยายความต่อได้อกี แล้ว หนทางแก้ปญั หา ทีง่ า่ ยทีส่ ดุ จะเป็นการรอให้ไอ้หมอนีอ่ อกจากห้อง โยนวิทยุของมันทิง้ ออกไปนอก หน้าต่าง แต่นนั่ ก็แก้ปญั หาได้เพียงบางส่วน ปัญหาทีจ่ ะตามมาหนักหนากว่านัน้ สตอร์มทรูปเปอร์หวงแหนสมบัติทุกชิ้นที่มี มันจะต้องเดือดเป็นไฟแน่นอน มันส่งยิ้มปลอบประโลมเมื่อเห็นผมนั่งอ้าปากค้างอยู่บนขอบเตียง พยายาม ปลอบโยนให้คลายเศร้า “เฮ้ย, วาตานาเบะ ท�ำไมแกไม่ลุกจากเตียงมาออกก�ำลังกายตอนเช้า ด้วยกัน?” พูดจบ มันผลุนผลันออกจากห้องไปรับประทานอาหารเช้า e

นาโอโกะหัวเราะในยามทีผ่ มเล่าเรือ่ งของสตอร์มทรูปเปอร์กบั การฝึกกายบริหาร ย�ำ่ รุง่ ให้ฟงั ผมไม่ได้ยกเรือ่ งนีข้ นึ้ มาเพือ่ ประจบยิม้ จากเธอ แต่ทา้ ยทีส่ ดุ ผมเป็น ฝ่ายหัวเราะเสียเอง รอยยิ้มของนาโอโกะเหือดหายไปเร็วพอกับตอนมา ผม อุ่นใจวาบเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเบิกบานครั้งแรกของเธอ เราลงรถไฟที่ยตซึยะ เดินบนสันเขื่อนของสถานี บ่ายวันอาทิตย์กลาง เดือนพฤษภาคม ฝนซู่กลางเช้าขาดเม็ดเมื่อถึงเที่ยงวัน ลมใต้พัดปอยเมฆ ห้อยระเรีย่ ให้กระเจิง ใบเขียวมันขลับของต้นซากุระไหวเอนในแรงลม สะท้อน แสงอาทิตย์ไปทุกทาง ห้วงเวลาต้นฤดูรอ้ น ผูค้ นพาดเสือ้ กัก๊ เสือ้ แจ๊กเก็ตไว้บนบ่า หรือหอบในอ้อมแขน ผูค้ นหน้าชืน่ แย้มยิม้ ในอากาศอุน่ สบายในบ่ายวันอาทิตย์ ฟ้าใส เด็กหนุม่ เล่นเทนนิสในคอร์ตเลยไกลจากสันเขือ่ น เหลือเพียงกางเกงขาสัน้ จะมีก็แต่นางชีในชุดเสื้อคลุมนักบวชผ้าขนสัตว์ที่นั่งคุยกันบนม้ายาวในสวน สาธารณะบริเวณที่แดดส่องไม่ถึง ทั้งสองคุยกันออกรสประหนึ่งว่าออกมานั่ง นพดล เวชสวัสดิ์

27


พูดคุยกันกลางแดดอุ่น การเดินเท้าสิบห้านาที เหงือ่ ของผมโชกร่างจนต้องถอดเสือ้ เชิต้ ผ้าฝ้าย เนื้อหนาออก เหลือแต่เพียงเสื้อยืด นาโอโกะพับแขนเสื้อกีฬาสีเทาจางขึ้นไป จนถึงข้อศอก เสือ้ ยืดซีดสี ผ่านการซักล้างหลายครา ผมรูส้ กึ คล้ายกับว่าเคยเห็น เธอสวมเสื้อตัวนี้มาก่อน เป็นแต่เพียงความรู้สึก ไม่มีความทรงจ�ำชัดเจน ผมไม่มีเรื่องราวของนาโอโกะมากพอ “คุณชอบไหม การไปใช้ชีวิตในคอมมูน มีเพื่อนอยู่เยอะ สนุกดีออก” เธอถาม “ไม่รู้ซีครับ ผมไปอยู่ที่นั่นได้เดือนเศษๆ ก็ไม่เลวนัก พอทนรับได้” เธอหยุดทีก่ อ๊ กน�ำ้ ก้มลงดืม่ น�ำ้ เช็ดริมฝีปากด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวจาก กระเป๋ากางเกง เธอนั่งลงผูกเชือกรองเท้าเสียใหม่ “คุณคิดว่าฉันจะอยู่ได้หรือเปล่า?” “อะไรครับ? อยู่ในหอพักน่ะหรือ?” “ค่ะ” “ก็แล้วแต่ทศั นะของเรานะครับ ถ้าเราเปิดรับมากไป อะไรต่อมิอะไรก็มา กวนใจเราได้ เช่น กฎบ้าๆ คนง่าวทีค่ ดิ ว่าตัวเองเด่นสุด เพือ่ นร่วมห้องทีล่ กุ ขึน้ มา กระโดดท�ำกายบริหาร 6.30 น. ทุกวัน แต่ทไี่ หนก็เหมือนกัน คุณจัดการได้อยูแ่ ล้ว” “คงเป็นงัน้ ” เธอพยักหน้ารับ คิว้ ขมวดเหมือนพลิกหมุนหามุมมองใหม่ ของเรื่องที่คิด จากนั้น เธอเพ่งจ้องมองตาผมประหนึ่งว่าเป็นวัตถุประหลาด ผมเห็นชัดถนัดตาว่าตาของเธอเหมือนบ่อน�้ำลึก สดใส หัวใจผมกระตุก ไม่เป็นจังหวะเมือ่ นึกขึน้ มาได้ว่าผมไม่เคยจ้องมองตาของเธอแบบนีม้ าก่อน นี่ นับเป็นคราวแรกที่เราสองคนออกมาเดินด้วยกันและพูดคุยกันยาวขนาดนี้ “คุณคิดจะไปพักหอพักอย่างนั้นหรือ?” “ค่ะ, ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าชีวิตในคอมมูนจะเป็นยังไง แล้วก็...” เธอ พยายามเฟ้นหาค�ำเหมาะสม ค�ำที่แทนค่าความหมายได้ตรงที่สุด จากนั้น เธอก้มมองพื้น ถอนหายใจยาวออกมา “โอ, ไม่รู้สิ...ช่างเถอะ” 28

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


จุดจบของบทสนทนา เธอออกเดินมุ่งหน้าไปทางตะวันออก ผมเดิน ตามหลังไม่ห่างนัก เวลาผ่านไปเกือบขวบปีเต็มแล้วนับจากที่ได้พบนาโอโกะคราวท้ายสุด ในตอนนัน้ เธอน�ำ้ หนักลดจนแทบจะจ�ำไม่ได้ แก้มย้อยเป็นพวงเปล่งปลัง่ ทีเ่ ป็น ลักษณะเด่นของเธอไม่เหลืออีกแล้ว ล�ำคอของเธอผอมเพรียว เธอก็ไม่ได้ลด เสียจนรูปร่างผอมแห้งหรือมีเค้าหน้าอมโรค ภาพใหม่กลายเป็นความสง่าสุขสงบ เป็นธรรมชาติ ประหนึง่ ว่าเธอซ่อนตัวอยูใ่ นซากเรียวเล็กนัน้ จนร่างสะโอดสะอง งดงามยิง่ กว่าทีผ่ มเคยจ�ำได้ ผมอยากจะบอกเล่าข้อสังเกตนัน้ แต่ไม่อาจหาวิธี เหมาะสมที่จะแจ้งให้เธอทราบได้ เราไม่ได้นัดพบกัน หากแต่เป็นการพบเจอกันโดยบังเอิญบนรถไฟสาย จูโอ เธอมุง่ หน้าไปดูภาพยนตร์คนเดียว ผมจะไปร้านหนังสือทีค่ นั ดะ ทัง้ สองฝ่าย ไม่มีความด่วนเร่งร้อน เธอเสนอแนะให้เราลงรถไฟ เราลงที่ยตซึยะ สันเขื่อน เขียวขจีรอบปราสาทเก่า เหมาะแก่การเดินเล่น ในยามที่เราสองอยู่กันตาม ล�ำพัง ไม่มีเรื่องราวใดจะยกมาคุยกันได้ ผมไม่แน่ใจนักว่าท�ำไมนาโอโกะจึง ชวนลงรถไฟกลางทาง เราไม่เคยมีเรื่องใดจะยกมาคุยกันยาวๆ มาก่อน นาโอโกะออกเดินในทันทีทเี่ รามาถึงถนน ผมเร่งฝีเท้าตามหลัง ห่างจาก เธอสองสามก้าว ผมอาจจะเดินชิดกว่านัน้ แต่มอี ะไรสักอย่างสะกิดเตือน ผม เดินตามหลัง สายตาจ้องจับบ่าไหล่และปลายเส้นผมสีดำ� ยาวสลวย เธอติดกิบ๊ สีนำ�้ ตาลขนาดใหญ่ ในยามทีเ่ ธอเบือนหน้ากลับมา ผมพอจะมองเห็นใบหูเล็กๆ สีขาวนวล บางครัง้ เธอหันหน้ากลับมา พูดอะไรสักอย่าง อาจเป็นข้อสังเกตที่ ผมตอบรับ หรือบางเรื่องที่ผมไม่รู้เหนือรู้ใต้ตอบไม่ถูก บางคราวผมไม่ได้ยิน เลยว่าเธอพูดอะไร แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาส�ำหรับเธอ เมื่อใดที่เธอ พูดจบ เล่าเรื่องที่ต้องการแล้ว ใบหน้าจะหันกลับ เท้าก้าวเดินต่อไป โอ, ผมพร�่ำบอกตัวเอง วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การเดินเล่นอยู่แล้ว ส�ำหรับนาโอโกะ นีไ่ ม่ใช่เพียงแค่การเดินเล่น พิจารณาจากเส้นทาง เธอ เลี้ยวขวาที่อีดะบาชิ โผล่พ้นคลองรอบปราสาท เดินตัดข้ามสี่แยกที่จิมโบโฉะ นพดล เวชสวัสดิ์

29


ปีนไต่เนินที่โอจะโนะมิซึ โผล่ออกมาที่ฮงโงะ เส้นทางสาหัสเอาการ เมื่อเรา เดินไปถึงโคมะโงะเมะ อาทิตย์จมดวงลงขอบฟ้า อากาศเย็นโปร่งสบายของ ฤดูใบไม้ผลิโรยตัวแทรกมากับแสงสลัว “เราอยู่ที่ไหน?” นาโอโกะหันมาถาม เพิ่งสังเกตสภาพแวดล้อม รอบตัวเป็นครั้งแรก “โคมะโงะเมะ” ผมตอบ “...คุณไม่ทราบเลยหรือ เราเดินกันเป็น วงกว้าง” “เรามาที่นี่ท�ำไมคะ?” “คุณเป็นผู้น�ำทาง...ผมเดินตาม” เราเข้าไปในร้านใกล้สถานี สัง่ โซบะคนละถ้วย ผมกระหายจัด ดืม่ เบียร์ หมดทั้งขวด สองคนไม่ได้ปริปากพูดอะไรนับจากสั่งอาหารจนกินโซบะหมด ถ้วย ผมเหนือ่ ยขาแทบหลุดออกจากตัว เธอนัง่ ต่อหน้า สองมือประสานบนโต๊ะ คงครุน่ คิดเรือ่ งอะไรสักอย่างอีกแล้ว รายงานข่าวทีวแี จ้งว่าจุดพักผ่อนหย่อนใจ ทุกทีม่ ผี ไู้ ปชุมนุมกันแน่นขนัด ผมพึมพ�ำบอกกับตัวเองว่าเราเดินกันจากยตซึยะ มาถึงโคมะโงะเมะ “คุณแกร่งเหลือเชือ่ เลย” ผมเงยหน้าให้ความเห็นเมือ่ กลืนโซบะลงท้อง ไปแล้ว “ประหลาดใจหรือคะ?” “อือ” “ฉันเป็นนักวิง่ ระยะไกลของโรงเรียน ฉันคงลืมเล่าให้คณุ ฟัง ฉันเคยเป็น นักวิ่ง 10,000 เมตร วันอาทิตย์ พ่อจะพาไปปีนเขา นับตั้งแต่ฉันจ�ำความได้ คุณรู้จักบ้านของฉันใช่ไหม? บ้านที่อยู่ติดเขา ฉันมีขาแกร่ง” “ดูจากภายนอกไม่บ่งบอกเลย” “ฉันทราบ ทุกคนคิดว่าฉันเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กเปราะบาง...เรา ไม่อาจตัดสินหนังสือจากปกหน้าได้” เธอเสริมด้วยรอยยิ้มเพียงแวบเดียว “เป็นอย่างนั้นจริง...ผมขาแทบหลุด” 30

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


“โอ, ฉันเสียใจ ฉันพาคุณมาเดินพล่านทั้งวัน” “ไม่เป็นไร ผมดีใจทีเ่ รามีโอกาสได้พดู คุยกัน เราไม่เคยได้คยุ กันนานๆ แบบนี้มาก่อน...คุยกันสองคน” ผมพยายามเค้นสมองนึก แต่ก็ไม่อาจรีด ออกมาได้ว่าเราคุยกันเรื่องใดบ้าง เธอบิดหมุนที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะเล่น “จะเป็นไปได้ไหม?” เธอเปรยขึน้ “ไม่ทราบว่าคุณจะรังเกียจหรือเปล่า? ...ฉันหมายถึงว่า ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณมากเกินไป...คุณคิดว่าเราจะเจอกัน อีกได้ไหม? ฉันทราบดีว่าฉันไม่มีสิทธิที่จะร้องขอจากคุณในเรื่องนี้” “มี สิทธิ?...คุณหมายความว่ายังไงกัน?” ใบหน้าของเธอแดงเรือ่ ดูเหมือนว่าปฏิกริ ยิ าตอบสนองต่อค�ำขอของเธอ คงจะกร้าวจนบาดหู “ฉันไม่ทราบนะ...ฉันไม่อาจอธิบายได้” เธอตอบเบาๆ ดึงแขนเสือ้ กีฬา ขึ้นเหนือข้อศอก ก่อนจะดึงกลับลงมาอีกครั้ง ขนอ่อนบนท่อนแขนของเธอ เป็นสีนำ�้ ตาลทองใต้แสงไฟในร้าน “ฉันไม่ได้หมายถึงค�ำว่า ‘สิทธิ’ ฉันเพียงแค่ ต้องการใช้ค�ำอื่นที่มีความหมายดีกว่านั้น” “ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบ “ผมคิดว่าผมทราบว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร ผมเองก็ไม่มีทางเลือกค�ำที่เหมาะสมได้เหมือนกัน” “ฉันไม่อาจหาค�ำมาแทนความคิดทีฉ่ นั อยากจะบอกออกมา” นาโอโกะ พูดต่อ “...ระยะหลังเป็นแบบนีจ้ นน่าประหลาดใจ ฉันอยากจะพูดเรือ่ งหนึง่ แต่คำ� ทีห่ ลุดออกมามีความหมายในทางตรงกันข้าม หากไม่ใช่คำ� ผิด ก็ตรงข้ามไปเลย ฉันพยายามจะเลือกค�ำใหม่มาใช้ แต่ยงิ่ พยายามอธิบายเท่าใด ก็ยงิ่ ผิดหนักกว่า เดิม คล้ายกับว่าตัวฉันแตกเป็นสองเสีย่ ง เล่นซ่อนหากัน วิง่ อ้อมเสาอวบอ้วน ขนาดใหญ่ ซีกร่างหนึง่ พยายามวิง่ ไล่จบั อีกซีก ซีกทีซ่ อ่ นตัวอยูม่ คี ำ� เหมาะสมที่ ควรใช้ แต่ซีกร่างที่นั่งอยู่กับฉันในขณะนี้หาซีกนั้นไม่เจอ” เธอเงยหน้าขึ้น มองตาผมแน่วนิง่ “...คุณพอจะเข้าใจไหมคะว่าฉันพยายามพูดถึงเรือ่ งอะไร?” “คนเราทุกคนรู้สึกแบบนั้นเป็นครั้งคราว” ผมตอบ “...พยายามที่จะ นพดล เวชสวัสดิ์

31


บอกความในใจออกมา แต่ก็อึดอัดขัดข้องใจเหลือเกินถ้าบอกความหมายที่ แท้จริงออกมาไม่ได้” นาโอโกะนิว่ หน้า ดูท่าจะผิดหวังในค�ำตอบของผม “...นัน่ ก็ไม่ใคร่ตรง นัก” เธอพูดออกมา โดยไม่มีค�ำอธิบายขยายความมากไปกว่านี้ “ถึงอย่างไร ผมก็ดีใจที่ได้พบคุณ ผมว่างเสมอทุกวันอาทิตย์ และ การเดินเล่นน่าจะดีส�ำหรับผม” เราจับรถไฟสายยามะโนเทะ นาโอโกะเปลี่ยนรถไปสายจูโอที่สถานี ชินจูกุ เธออาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์หลังเล็กในเขตชานเมืองของโคคุบุนจิ “บอกฉัน...” เธอพูดขึ้นในตอนที่จะแยกจากกัน “...วิธีพูดคุยของฉัน เปลี่ยนไปจากเดิมหรือเปล่า?” “ไม่ค่อยเหมือนเดิมนะ” ผมตอบ “...แต่ผมก็ไม่อาจแน่ใจได้ บอกกัน ตามตรง เมื่อก่อนนี้เราเจอกันบ่อยครั้ง แต่ผมจ�ำไม่ได้เลยว่าเราเคยคุยกัน ยาวๆ หรือไม่” “นั่นก็จริง” เธอตอบรับ “...วันเสาร์ฉันโทรไปหาคุณได้ไหม?” “แน่อยู่แล้ว ผมจะรอรับโทรศัพท์จากคุณ” e

ผมพบนาโอโกะครั้งแรกในตอนที่เรียนในชั้นมอห้า เธอเรียนชั้นเดียวกันใน โรงเรียนหรู โรงเรียนสอนศาสนา หรูจนกระทั่งถ้าใครเรียนหนักเกินไปก็ ถือว่า ‘ไร้หรู’ นาโอโกะเป็นเพื่อนหญิงของเพื่อนสนิท (เพื่อนเพียงคนเดียว) ของผม, คิซึกิ ทั้งสองสนิทกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก บ้านของสองครอบครัว ห่างกันไม่ถึง 200 เมตร เฉกเช่นคนทีร่ จู้ กั กันดีตงั้ แต่เยาว์วยั คิซกึ กิ บั นาโอโกะมีสมั พันธ์เปิดเผย และไม่ร้อนรนหนีไปคุยกันสองต่อสอง ทั้งสองไปเยี่ยมบ้านของอีกฝ่าย ร่วม โต๊ะอาหารหรือเล่นจับนกกับสมาชิกในครอบครัวคนอืน่ ๆ ผมเคยออกเดตซ้อน กับทั้งสองบ่อยครั้ง นาโอโกะจะพาเพื่อนจากโรงเรียนมาค้างที่บา้ น เราสี่คน 32

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


ออกไปดูหนัง ไปเที่ยวสวนสัตว์ หรือไม่ก็เล่นบิลเลียด เพื่อนสาวที่นาโอโกะ พามาเป็นคู่เดตของผมสวยหยาดเยิ้มทุกคน แต่หรูเกินรสนิยมของผม ผม พูดคุยเป็นปกติสุขกับนักเรียนหญิงในโรงเรียนรัฐของผม ผมไม่มีทางเข้าใจได้ เลยว่าความคิดอะไรแล่นพล่านอยูใ่ นหัวของสาวชัน้ สูงเพือ่ นของนาโอโกะ ก็คง ไม่แปลกนัก เพราะเธอเองก็คงเข้าใจในตัวผมไม่ได้เหมือนกัน ไม่นานนัก คิซกึ กิ ล็ ม้ เลิกความตัง้ ใจที่จะหาคูเ่ ดตให้ผม เราสามคนจะ ออกไปเทีย่ วไหนต่อไหนด้วยกัน...คิซกึ ิ นาโอโกะ กับผม พิลกึ แต่กเ็ ป็นส่วนผสม ที่เหมาะเจาะที่สุด การน�ำคนที่สี่เข้ามาในกลุ่มท�ำให้กระดากกระเดื่องกัน ถ้วนหน้า เราสามคนเหมือนรายการโทรทัศน์ คิซึกิเป็นพิธีกรเปี่ยมด้วย พรสวรรค์ นาโอโกะเป็นผูช้ ว่ ยพิธกี ร ส่วนผมเป็นแขกรับเชิญของรายการ คิซกึ ิ เป็นดาราดวงเด่น เป็นศูนย์กลางแห่งความสนใจเสมอ จริงอยู,่ คิซกึ อิ าจมีวาจา เสียดเย้ยถากถางจนคนทัว่ ไปเข้าใจผิดว่าเป็นคนก้าวร้าวระราน แต่แท้จริงแล้ว เขาเป็นคนมีนำ�้ ใจ ใส่ใจความรูส้ กึ ของผูค้ นรอบข้าง เขาจะเกลีย่ เรือ่ งตลก การ พูดคุยระหว่างนาโอโกะกับผมเท่าเทียมกัน ใส่ใจดูแลตลอดเวลาว่าไม่มคี นหนึง่ คนใดหลุดออกไปเดียวดายอยูน่ อกกลุม่ หากใครนิง่ เงียบไปชัว่ ระยะ เขาจะหัน เรื่องสนทนาไปทางผู้นั้น ค่อยๆ ดึงเข้ามาร่วมกันอภิปรายสามคนอีกครั้ง ฟัง ผาดเผินอาจเหมือนเป็นเรื่องยากที่ต้องตรวจวัดระดับความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา และปรับละเอียดคลี่คลายบรรยากาศ นาทีต่อนาที แต่คิซึกิท�ำได้อย่างไม่มี ที่ติ ยิ่งไปกว่านั้น คิซึกิยังมีพรสวรรค์ในตัวที่จะคุ้ยหาแง่มุมธรรมดาสามัญที่ ซ่อนอยู่ในค�ำพูดของคนอื่น ยกมาเป็นจุดเด่นของบุคคลผู้นั้น จนผู้ที่พูดด้วย รู้สึกว่าตนเองเป็นคนพิเศษ มีชีวิตโดดเด่น เมื่ออยู่ร่วมวงกับคิซึกิ แต่ก็แปลกที่คิซึกิไม่ใช่คนที่ชอบสังสรรค์สนทนากับผู้อื่น ในโรงเรียน เขามีแต่ผมเป็นเพื่อน ผมไม่เข้าใจเลยว่า คนฉลาด ช่างเจรจาแบบเขาท�ำไม ไม่น�ำเอาพรสวรรค์ในตัวไปใช้ในโลกกว้าง แทนที่จะสนใจแต่เพียงกลุ่มเพื่อน สามคน ผมไม่เข้าใจเช่นกันว่าท�ำไมเขาเลือกผมเป็นเพื่อนสนิท ผมเป็น แต่เพียงคนธรรมดาสามัญที่ชอบอ่านหนังสือ ฟังเพลง ไม่มีลักษณะเด่น นพดล เวชสวัสดิ์

33


จากฝูง ไม่สะดุดตาพอที่คิซึกิจะเลือกผมจากกลุ่ม คัดมาเป็นเพื่อนสนิทเพียง คนเดียว เพียงพูดคุยกันในคราวแรก เราก็สนิทกัน ผมทราบแต่เพียงว่าบิดา ของเขาเป็นทันตแพทย์ เลื่องชื่อในฝีมือและค่ารักษาสูงลิบ “ไปออกเดตด้วยกันไหม?” คิซึกิชวนผมหลังจากการเจอกันคราวแรก “เพือ่ นหญิงของฉันมีเพือ่ นมาค้างทีบ่ า้ น เธอจะเลือกสาวหน้าสวยมาเป็นคูเ่ ดต ของแก” “ได้เลย” ผมจะตอบอะไรได้ นั่นเป็นคราวแรกสุดที่ผมพบนาโอโกะ เราสามคนใช้เวลาร่วมกันมากโข แต่เมื่อใดที่คิซึกิเดินออกจากห้อง ผมกับนาโอโกะจะมีปัญหาในการพูดคุยกัน เราไม่ทราบว่าจะยกเรื่องราวใด มาคุยกัน จะว่าไปแล้ว ไม่มีเรื่องราวใดที่เราสนใจร่วมกันพอจะยกมาคุย กันได้ เราสองคนนั่งปิดปากนิ่ง หากไม่ยกน�้ำขึ้นจิบ ก็จะหมุนอะไรสักอย่าง บนโต๊ะ รอคอยจนกว่าคิซกึ จิ ะย้อนกลับมาท�ำหน้าทีเ่ ป็นผูจ้ ดุ ประกายการสนทนา รอบใหม่อีกครั้ง นาโอโกะไม่ใช่คนช่างพูด ผมเองก็ถนัดเป็นผู้รับฟัง ดังนั้น ผมจะรู้สึกอึดอัดใจเสมอถ้าอยู่กับนาโอโกะตามล�ำพัง ใช่วา่ เราจะเข้ากันไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่าเราหาเรื่องมาคุยกันไม่ได้ นาโอโกะกับผมพบกันอีกเพียงครัง้ เดียวหลังงานศพของคิซกึ ิ สองสัปดาห์ หลังการตายของเขา ในตอนนั้น เราพบกันที่ร้านกาแฟ หลังจากจัดการเรื่อง เล็กน้อย เสร็จงานนั้น เราก็ไม่มีอะไรจะคุยกัน ผมพยายามยกหลายเรื่องมา ชวนเธอคุย แต่ก็ไม่ประสบความส�ำเร็จ ในยามที่นาโอโกะพูดออกมา เสียง ของเธอดูเหมือนจะมีส�ำเนียงแหลมคมประหนึ่งว่าเธอโกรธแค้นในตัวผม ผม ไม่มีทางทราบเลยว่าผมท�ำอะไรลงไปแล้ว หลังจากนั้น เราไม่ได้พบหน้ากัน อีกเลย จนกระทั่งพบกันโดยบังเอิญบนรถไฟสายจูโอในโตเกียว นาโอโกะอาจจะโกรธผมเพราะผมเป็นคนสุดท้าย, มิใช่เธอ, ที่ได้ พูดคุยกับคิซึกิ ค�ำกล่าวนี้ไม่เข้าท่านัก แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกของเธอได้ หากเป็นไปได้ ผมอยากจะแลกทีก่ บั เธอ แต่เรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ...ก็เกิดขึน้ แล้ว ไม่มี ทางผันแปรเป็นอื่น ผมไม่มีทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นอื่นไปได้ 34

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


บ่ายวันนั้น กลางเดือนพฤษภาคม ฟ้าโปร่ง อากาศเย็นสบาย คิซึกิ ชวนผมโดดเรียนไปเล่นบิลเลียดหรือท�ำอะไรสักอย่าง ผมไม่สนใจเนือ้ หาของวิชา ภาคบ่ายอยูแ่ ล้ว ดังนัน้ เราสองคนก็เดินออกจากโรงเรียน ลงเนิน มุง่ หน้าตรง ไปยังโรงบิลเลียดที่ทา่ เรือ เล่นบิลเลียดกันสี่เกม ผมชนะเกมแรก ชนะง่ายๆ แต่คิซึกิหน้าเครียดเอาจริงเอาจังเหลือเกิน เล่นชนะทั้งสามเกมที่เหลือ นั่นก็ หมายถึงว่าผมเป็นคนจ่ายเงินตามกติกาของเรา คิซึกิไม่ได้ท�ำตลกถากถาง ท้าทายคนพ่ายแพ้ในตอนที่เล่นกันอยู่ จบเกม เราจุดบุหรี่สูบ “ท�ำไมหน้าเครียดนัก?” ผมถาม “วันนี้...ฉันไม่อยากแพ้” คิซึกิตอบยิ้มๆ คิซึกิเสียชีวิตในโรงรถคืนนั้น เอาสายยางต่อท่อไอเสียของรถเอ็น-360 เสียบเข้าหน้าต่างรถ เอาเทปปิดรอยต่อให้สนิท เร่งเครือ่ งยนต์ ผมไม่ทราบว่า กินเวลานานเพียงใดก่อนเขาสิน้ ลม พ่อแม่ของเขาออกไปเยีย่ มญาติทปี่ ว่ ย เมือ่ กลับมาถึงบ้าน เปิดประตูโรงรถเพือ่ น�ำรถเข้าเก็บก็พบลูกชายเสียชีวติ แล้ว วิทยุ เปิดลั่น ใบเสร็จรับเงินจากสถานีบริการน�้ำมันเสียบอยู่ใต้ที่ปัดน�้ำฝน คิซึกิมิได้ทิ้งจดหมายลาตายไว้ ไม่มีผู้ใดทราบว่าท�ำไมเขาเลือกที่จะ จบชีวิตตนเอง ผมเป็นคนสุดท้ายที่พบเขาก่อนเสียชีวิต ต�ำรวจเรียกตัวไป สอบถาม ผมเล่าให้ต�ำรวจฟังว่า คิซึกิไม่มีค�ำกล่าวใดที่จะชี้ให้เห็นว่าเขาจะ ตัดสินใจเด็ดขาด ในคืนนั้น เขาก็ยังมีท่าทางเป็นปกติเหมือนเคย ต�ำรวจมี ความประทับใจในแง่ลบต่อผมและคิซกึ ิ ประหนึง่ ว่าเป็นเรือ่ งปกติ สาสมอยูแ่ ล้ว ที่คนโดดเรียนสองคน หนีโรงเรียนไปเล่นบิลเลียด จะตัดสินใจฆ่าตัวตาย มี ข่าวในหนังสือพิมพ์เพียงกรอบเล็กๆ ปิดคดีนี้ พ่อแม่ของเขาขายรถเอ็น-360 สีแดงทิ้งไป...มีดอกไม้ขาววางบนโต๊ะของคิซึกิในห้องเรียน สิบเดือนเต็มหลังการเสียชีวิตของคิซึกิกับการสอบเทอมปลายของผม ผมหาที่หยั่งเท้าในโลกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผมมีสัมพันธ์หลับนอนกับสาวใน โรงเรียนเดียวกัน ความสัมพันธ์ทยี่ ดื ยาวไม่ถงึ หกเดือน ไม่มอี ะไรในตัวเธอทีจ่ ะ มัดใจผมไว้ได้ ผมยืน่ ใบสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึง่ ในโตเกียว นพดล เวชสวัสดิ์

35


มหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องอ่านหนังสือมากนักในการสอบเข้า ผมสอบผ่านโดย ปราศจากความยินดี เพื่อนหญิงของผมขอร้องไม่ให้ผมเดินทางไปเรียนที่ โตเกียว “อย่าไป, ได้ไหม? ห่างจากทีน่ ตี่ งั้ 500 ไมล์แน่ะ” เธอวิงวอน แต่ผม ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในโกเบอีกต่อไปแล้ว ผมอยากจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ใน เมืองที่ไม่มีผู้ใดรู้จักผม “คุณไม่สนใจห่ะในตัวฉันอีกต่อไปแล้ว ได้ฉันแล้วก็ทิ้ง” เธอร�่ำไห้ “ไม่จริง” ผมตอบยืนยัน “...ผมเพียงแค่ไม่อยากอยู่ในเมืองนี้อีกแล้ว” เธอตั้งใจมั่นแล้วว่าจะไม่ยอมเชื่อค�ำพูดของผม ดังนั้น เราแยกทางกัน ตลอดทาง ผมครุ่นคิดถึงความพิเศษของเธอที่ท�ำให้เธอพิเศษกว่าคนอื่นๆ บนรถชิงกันเซ็งมุ่งหน้าไปยังโตเกียว ผมรู้สึกย�่ำแย่ เศร้าเสียใจในสิ่งที่ท�ำ ลงไป แต่ในเมื่อไม่มีหนทางแก้ไขให้เป็นอื่นได้แล้ว ผมพยายามลืมเธอ นั่นเป็นเรื่องเดียวที่ผมท�ำในตอนที่เริ่มชีวิตใหม่ในหอพักนักศึกษา... เลิกใส่ใจจริงจังกับทุกเรื่องราว ทิ้งระยะทอดห่างระหว่างตัวผมกับสรรพสิ่ง รอบข้าง พยายามลืมผ้าสักหลาดสีเขียวของโต๊ะบิลเลียด รถยนต์เอ็น-360 สีแดงสดคันนั้น และดอกไม้ขาวบนโต๊ะเรียน ลืมควันสีด�ำที่ลอยจากปล่อง เตาเผาศพ และที่ทับกระดาษก้อนใหญ่บนโต๊ะของร้อยเวร ในระยะแรก ดูเหมือนว่าจะได้ผล ผมพยายามอย่างหนักทีจ่ ะลืมให้ได้ แต่กม็ มี ดั ปมอากาศ จุกอยู่ในช่องอก เมื่อเวลาผ่านไป มัดปมอากาศเริ่มกระจ่างชัดขึ้นทุกขณะ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมองเห็นได้ชัดเจน จนผมเขียนออกมาเป็นวลีได้ดังนี้ ความตายด�ำรงอยู่, มิใช่ภาคตรงข้าม, หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ผดิ หรอก, ค�ำเฝือทีแ่ ปลมาเป็นตัวอักษร ในช่วงนัน้ ผมไม่ได้รสู้ กึ ว่า เป็นเพียงค�ำ หากแต่เป็นมัดปมอากาศแน่นอยู่ในหน้าอก ความตายด�ำรงอยู่ ...อยู่ในที่ทับกระดาษ อยู่ในลูกบิลเลียดขาวหนึ่งแดงสี่บนโต๊ะสักหลาดสีเขียว เราด�ำเนินชีวิตต่อไป สูดความตายเข้าไปในปอดเหมือนฝุ่นละเอียด...อยู่ทุก ลมหายใจ ก่อนหน้านี้ ผมมองความตายเป็นเพียงแค่อีกภาคหนึ่ง มีตัวตน 36

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย


มีรูปทรงเฉพาะตัว อยู่อีกฟากตรงข้ามของชีวิต แน่นอนอยู่แล้ว เงื้อมมือ มัจจุราชจะเอื้อมมาปลิดชีวิตเราสักวัน แต่ทว่า หากยังไม่ถึงวันสิ้นอายุขัย ความตายก็จะไม่เข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตของเรา แนวคิดเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็น ตรรกะเข้าใจง่าย สัจธรรมกระจ่างชัด...ชีวิตอยู่ที่นี่ ความตายอยู่ที่โน่น ผม อยู่ที่นี่...มิใช่อยู่ที่ฟากโน้น ในค�่ำคืนที่คิซึกิเสียชีวิต ผมไม่เหลือความคิดแจ่มชัด ไม่อาจแยกแยะ ชีวิตกับความตายให้แยกกันอยู่อย่างหมดจดอีกต่อไปแล้ว ความตายมิใช่ ภาคตรงข้ามของชีวิต หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความตายแฝงอยู่ใน ร่างของผมแล้วในขณะนี้ ความตายด�ำรงอยู่ที่นี่ อยู่ในชีวิตของผมตั้งแต่ แรกเริ่มแล้ว ไม่ว่าจะดิ้นรนผลักไสมากเพียงใด ก็ไล่ความตายออกจากตัว ไปมิได้ ในคืนเดือนพฤษภาคม เมื่อความตายยื่นหัตถ์มาปลิดชีวิตของคิซึกิ เด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ความตายยื่นมือมาเกาะชีวิตของผมด้วยเช่นกัน ผมดิน้ รนสุดฤทธิ์ พาชีวติ ผ่านมาจนฤดูใบไม้ผลิจนผมอายุได้ 18 ปี ในอก มีมัดปมอากาศอัดแน่น ผมต่อสู้ดิ้นรน พยายามคิดให้หนัก เอาจริงเอาจัง แต่การคิดหนัก คิดให้เป็นเรื่องเป็นราว มิใช่เรื่องเดียวกับการค้นหาสัจธรรม ผมไม่พบค�ำตอบใดๆ นอกจากความคลุมเครือ แต่ความตายก็เป็นข้อเท็จ จริงชัดแจ้ง ไม่วา่ จะมองในแง่ไหน ก็มองเห็นได้ชัด ความตายปักอยู่ในอก ส่งความขัดแย้งทรมานทุรนทุราย ผมวนเวียนหมุนเป็นวงไม่มีที่จบสิ้น ใน ยุคนั้นเป็นวันวารแปลกประหลาด แม้จะมองย้อนกลับไปในตอนนี้ ในกระไอ ของชีวิต ผมก็ยังมองเห็นว่าสรรพสิ่งโคจรรอบความตาย

นพดล เวชสวัสดิ์

37


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.