เมรัยสีเลือด Proof Dick Francis เขียน นพดล เวชสวัสดิ์ แปล
1
ความทุกข์ทรมานร้าวรานใจเป็นภาพที่สังคมยอมรับไม่ได้ ชายชาตรีไม่ สมควรจะหลั่งน�ำ้ ตา...ชายหน้าตาพอดูได้ อายุสามสิบสองไม่สมควรร�ำ่ ไห้ หลังจากภรรยาเสียชีวิตไปหกเดือน หลังจากที่ผู้คนรอบข้างกระท�ำการ เศร้าโศกเสร็จสิ้นไปแล้ว เสียงพล่ามพูดดังเข้าหู อีกไม่นานก็คลายโศก อีกไม่ช้าก็คงพบสาว คนใหม่ เวลาจะช่วยสมานแผลได้เอง อีกไม่ช้าไม่นานก็คงแต่งงานใหม่ พวกเขาพูดถูก ปราศจากข้อสงสัย พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานเถิด...บ้านซึมเซาว่างเปล่า ความเหงาเปล่า เปลี่ยวที่รอพร้อมจะกระโจนเข้ามาบีบหัวใจ ความเงียบสงัดที่ครั้งหนึ่งเคย เป็นเสียงหัวเราะสดใส เตาผิงเย็นชืดทีเ่ คยมีเปลวไฟสีทองเต้นระริกคุโชน รอรับการกลับบ้านทุกเย็น ร่องว่างเปล่าเคียงข้างกายบนเตียงนอนทิ้งรอย สลักไว้ถาวร หกเดือนเต็มทีค่ วามทุกข์ทรมานเฝ้ากัดกร่อนชีวติ ทุกวินาที จนผมรูส้ กึ ว่าแม้จะเสียชีวติ ปลิดปลงไปทันที ก็คงไม่ถอื เป็นเรือ่ งน่าเศร้า ครึง่ หนึง่ ของ ชีวิตสลายหายไปสิ้นแล้ว กึ่งชีวิตที่เคยประจุด้วยความชื่นมื่น ความสุข 2
ล้นใจ หายวับไปในความมืดมน สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความเจ็บปวด และ ใบหน้าเฉยชาที่ผู้คนทั่วไปมองเห็น นิสัยยาวนานผ่านเวลาท�ำให้ผมเหลียวซ้ายและแลขวาก่อนข้ามถนน ผมยังคงเปิดร้านทุกวัน ขายไวน์ขวดแล้วขวดเล่า ยิม้ ยิม้ และยิม้ ต้อนรับ ลูกค้าที่เดินผ่านเข้ามาในร้าน...
3
2
ลูกค้ามีทุกเพศทุกวัย นับจากเด็กนักเรียนที่โผล่เข้ามาซื้อมันฝรั่งถุงและ น�้ำอัดลม เพราะร้านของผมอยู่ติดกับป้ายรถเมล์ จ่าขี้เมาจากโรงทหาร ในเมือง จากผู้สูงอายุปลดเกษียณเจียดเงินซื้อยินได้คราวละครึ่งขวดไปถึง เศรษฐีทพี่ ร้อมจะสัง่ เหล้าทุกประเภทเติมห้องเก็บให้เต็มในคราวเดียว ลูกค้า ทีแ่ วะเวียนมาปีละครัง้ และทุกวัน ลูกค้าทีไ่ ม่สนใจความแตกต่างของรสชาติ เรื่อยไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญ สรรหาความสุขและรสชาติกลมกล่อม หรือ เลือกหยิบเมรัยไปเสพเพือ่ คลายความทุกข์ระทม ลูกค้ามีทกุ ประเภท จาก น�้ำหวานไปถึงขื่นขม...เหมือนสุราหรือเมรัยที่ตนโปรดปราน ลูกค้ารายใหญ่ของผมในเช้าวันอาทิตย์ของเดือนตุลาคมหนาวเหน็บ เป็นผูฝ้ กึ ม้าแข่ง ต้องการสัง่ สุรานานาชนิดเพือ่ เลีย้ งรับรองแขกกว่าร้อยคน เฉลิมฉลองผลงานความส�ำเร็จในรอบปีที่ผ่านมา เมื่อลุถึงฤดูใบไม้ร่วง ชื่อ ของลูกค้าคนนีจ้ ะติดอันดับเจ้าของม้าแข่งทีไ่ ด้รบั รางวัลบ่อยครัง้ ในแต่ละปี เขาจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณเจ้าของม้า จ๊อกกี้ เพื่อนพ้องทุกสาขา ฉลอง ความส�ำเร็จในอดีตที่ผ่านมา และวางแผนล่วงหน้าไปถึงฤดูใบไม้ผลิที่จะ มาถึง 4
ในเดือนกันยายนของทุกปี เสียงโทรศัพท์กระหืดกระหอบเร่งร้อนจะ ติดต่อเข้ามา “โทนี? สามอาทิตย์ข้างหน้านะ? เหมือนเดิม เต็นท์? คุณ เตรียมแก้วมาด้วย? แล้วก็หักยอดที่ไม่ได้ใช้คืนร้าน ใช่ไหม?” “ครับ” ผมตอบได้เพียงเท่านั้น เขาวางหูก่อนที่ผมจะทันได้สูด ลมหายใจซ�้ำสอง จากนัน้ ก็จะเป็นฟลอรา ภรรยาของเขา เดินยิม้ เข้ามา ในร้าน ตกลงในรายละเอียดอีกครั้ง เช้าวันอาทิตย์ ผมขับรถไปถึงคฤหาสน์ของเขาตอนสิบโมงตรง ผม พยายามหาที่จอดให้ใกล้ทางเดินเข้าบ้านมากที่สุด เต็นท์ขนาดใหญ่ที่ ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีขาวชูยอดเห็นเด่นชัด จับจองพื้นที่สนามหลังบ้าน เรียบร้อยแล้ว เขาวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากบ้านก่อนที่ผมจะทัน ดับเครื่อง ประหนึ่งว่าเขาตั้งตารอคอยผมอยู่ทุกวินาที (อาจจะเป็นเช่นนั้น จริงก็ได้) แจ๊ก ฮอว์ธอร์น อายุราวหกสิบ ร่างเตีย้ อวบอ้วน ฉลาดเป็นกรด “โทนี จัดการได้ยอดมาก” เขาเอือ้ มมือมาตบไหล่ผมเบาๆ เป็นการ ทักทาย นิสยั ประจ�ำตัวทีเ่ ขาใช้หลีกเลีย่ งการสัมผัสมือทักทายในสังคม ผม เคยเดาว่าเขารังเกียจการสัมผัสมือ ไม่อยากติดเชือ้ โรคจากผูค้ น แต่การเดา ของผมผิดไปโดยสิน้ เชิง ผมได้ทราบความจริงจากสตรีปากตะไกรในแวดวง ม้าแข่ง เธอป้องปากนินทากับผมว่า “มือของเขาเหนียวเหนอะเหมือน แมงกะพรุนออกจากช่องแข็ง” แจ๊กไม่อยากเห็นผูค้ นเช็ดมือกับเสือ้ กางเกง หลังจากที่สัมผัสมือกับเขาแล้ว “อากาศปลอดโปร่งเหมาะเหลือเกิน” ผมทักทาย เขาเงยหน้ามองฟ้า “ทีจ่ ริงถ้าฝนตกสักหน่อยก็คงดี พืน้ ดินแข็งยังกับ หิน” คนฝึกม้าก็ไม่ตา่ งไปจากชาวไร่ชาวนา...ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ดา่ “เออ เอาน�ำ้ อัดลมติดมาด้วยหรือเปล่า? ชีกกับสมุนโขยงใหญ่จะยกขบวนมาด้วย ฉันลืมบอกไป” ผมพยักหน้ารับ “น�ำ้ อัดลม แชมเปญ แล้วก็นำ�้ ผลไม้อกี หลายอย่าง” “ยอดไปเลย ฉันมอบภาระทุกอย่างให้คุณก็แล้วกัน สาวเสิร์ฟจะมา 5
ถึงสิบเอ็ดโมง แขกจะมาตอนเที่ยง อ้อ แล้วคุณก็คงอยู่กระมัง...ในฐานะ แขกของฉันนะ ไม่อยู่ไม่ได้” “เลขานุการของคุณส่งบัตรเชิญให้แล้วครับ” “จริงหรือ? พระเจ้าช่วย หมอนีม่ ปี ระสิทธิภาพดีจงั ยอดไปเลย ถ้า มีอะไรขาดเหลือ ไปหาฉันได้เลยนะ” ผมพยักหน้ารับ เขากระหืดกระหอบเดินจากไป ชีวติ ของเขาก็เร่งร้อน เหมือนการย่างเหยาะของม้าหากไม่มีเลขานุการหน้าจืด จมูกเชิดโอ่อ่า หยิง่ ผยอง และขยันขันแข็งพร้อมรับงานในรายละเอียดทุกอย่าง แจ๊กก็คง จัดการงานที่ตนเองต้องการท�ำไม่ได้ ฟลอรา ภรรยาอารมณ์เยือกเย็น ของแจ๊กบอกกับผมว่า “จิมมี (เลขานุการ) ส่งชื่อม้าเข้าแข่ง จิมมีออก ใบเรียกเก็บเงิน จิมมีจัดการงานเอกสารทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว แจ๊ก ไม่จ�ำเป็นต้องท�ำอะไรเลย แม้แต่จะหยิบแสตมป์ น่าจะเป็นนิสัยของ เขา อาการเร่งรีบร้อนรน เป็นแต่เพียงนิสัยประจ�ำตัวเท่านั้น” แน่นอน ที่สุด ส�ำเนียงนั้นก็ไม่ต่างจากผู้คนรายรอบตัว เจือด้วยความเอ็นดูต่อแจ๊ก ฮอว์ธอร์น ความเอ็นดูอาจจะเกิดขึ้นเพราะพลังเหลือเฟือที่ชายผู้นี้พูดคุย กับม้า จนน�ำถ้วยรางวัลมาให้เจ้าของนับครั้งไม่ถ้วน แจ๊กเชิญผมมางานเลี้ยงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงเต็มยศ หรือใน หมู่เพื่อนฝูง แน่นอนที่สุด ส่วนหนึ่งนั้นจะเป็นการดึงผมเข้ามาแก้ปัญหา เฉพาะหน้าเรื่องเครื่องดื่ม แต่อีกส่วน ก็คงเป็นเพราะผมเกิดมาในแวดวง ม้าแข่ง และยังมีผู้ยอมรับนับถืออยู่บ้าง แม้ผมจะปลีกตัวหลบหน้าเข้ามา อยู่ในแวดวงการจ�ำหน่ายสุราปลีกแล้วก็ตาม “ไม่มเี ลือดพ่ออยูเ่ ลย” ส�ำเนียงโอ่อา่ อ้อมค้อม แต่ถา้ จะกล้าดีพอจะ พูดตรงๆ ก็คงเป็นว่า “ขี้ขลาดสิ้นดี” พ่อของผมเป็นทหารกล้า ได้รับอิสริยาภรณ์กล้ากลางสมร และ ถ้วยขี่ม้าข้ามเครื่องดีดขวางของกองทัพบกมาแล้ว พ่อจะไสม้าเข้าหา เครือ่ งกีดขวางอย่างกล้าหาญ ไม่ตา่ งไปจากการน�ำพลจูโ่ จมเข้าไปในแนวรบ 6
ของศัตรู ความกล้าหาญของพ่อเป็นทีเ่ ลือ่ งลือ พ่อเสียชีวติ เพราะคอหักใน สนามซันดาวน์ ในตอนนั้น ผมอายุได้สิบเอ็ดขวบ...ยืนอยู่ข้างสนาม พ่ออายุได้สสี่ บิ เจ็ด และจะยังคงระดับอายุนนั้ ตลอดไปในความทรงจ�ำ ในวงการม้าแข่ง ร่างสูงใหญ่ แผ่นหลังเหยียดตรง ยิ้มกว้างเป็นนิจ กล้า บ้าบิน่ ในสายตาของผม ไม่มศี ตั รูใดในโลกจะหยุดยัง้ พ่อได้ แม้วา่ เรือนกาย ของพ่อจะไม่เหมาะจะเป็นจ๊อกกี้ พ่อก็ทุ่มเทสุดตัวด�ำเนินรอยตามพ่อของ พ่อ ปูข่ องผม ยักษ์ใหญ่อกี ท่านหนึง่ ในครอบครัว ปูไ่ ด้รางวัลรองชนะเลิศ ระดั บ ประเทศ และไล่ ล ่ า เหรี ย ญกล้ า หาญในสงครามโลกครั้ ง ที่ ห นึ่ ง เหรี ย ญกล้ า กลางสมรของพ่ อ วางเรี ย งเคี ย งกั บ วิ ก ตอเรี ย ครอสส์ ข องปู ่ อัดกรอบสวยงามตกเป็นมรดกตกทอดมาถึงผม ความห้าวหาญ ความกล้า บ้าบิ่นของบรรพบุรุษไม่ได้ถ่ายทอดมาถึงผมเลย “หนูโตขึน้ อยากจะเป็นเหมือนพ่อหรือเปล่า?” ส�ำเนียงคาดคัน้ เจือด้วย ความเอ็นดู เฝ้าไถ่ถามผมตลอดเวลาในวัยเด็ก อีกไม่นานนัก ทุกคน (รวมทั้งตัวผมเอง) ก็เริ่มจะรู้ว่าเรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ผมหัดขี่ม้า แต่ ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ผมเข้าเรียนในโรงเรียนเวลลิงตัน โรงเรียนส�ำหรับบุตร นายทหาร แต่กไ็ ม่ได้เข้าเรียนต่อในแซนด์เฮิรสต์เพือ่ สวมเครือ่ งแบบนักเรียน นายร้อย แม่มักจะปลอบใจผมเสมอว่า “ไม่เป็นไรหรอกลูก” ผมทราบดี ว่าแม่เศร้าเสียใจอย่างสุดซึง้ ผมเองก็เกิดปมด้อยติดใจ รูส้ กึ ถึงความต�่ำต้อย อยู่ทุกลมหายใจ แม้ว่าความรู้สึกนั้นจะขัดกับสามัญส�ำนึก จะมี ก็ แ ต่ เ พี ย งเอ็ ม มา เมื่ อ เธออยู ่ เ คี ย งกาย ความรู ้ สึ ก ต�่ำ ต้ อ ย เลือนหายไปสิ้น ขณะนี้ไม่มีเธออีกแล้ว ภาพอดีตขมขื่นคืบคลานเข้ามา กัดกร่อนห้วงความคิดส่วนที่ไร้เกราะปิดบัง ทุกข์ทรมาน ขมขื่น จิมมี เลขานุการของแจ็ก ไม่เคยยื่นมือมาช่วยงานของผม มือล้วง กระเป๋า ยืนมองผมแบกอ่างขนาดใหญ่สามใบออกจากท้ายรถแวน “เอามาท�ำไร?” สายตาของเขาทอดผ่านปลายจมูก ซึง่ ก็คงเป็นเรือ่ ง ธรรมดา เพราะร่างของเขาสูงกว่าหกฟุตสี่ สิ่งที่ท�ำให้ผมรู้สึกถึงมาดโอ่อ่า 7
นั้น ก็คงเป็นส�ำเนียงที่ควบมากับสายตา “น�้ำแข็ง” เสียง “โอ” ของเขาฟังดูเหมือน “อาย-โย” จากการกล�้ำสระ ผมแบกอ่างเข้าไปในเต็นท์ วางเคียงข้างม้ายาวมีผ้าปู กระถาง เบญจมาศกอใหญ่วางบดบังขาโต๊ะทั้งสองด้าน พื้นหญ้ามีพรมสังเคราะห์ ปูทับ ผนังหินสีเทามีริบบิ้นแดงและทองประดับเป็นระยะๆ ที่มุมผนังไกล ออกไป มีเครื่องเป่าความร้อนยังไม่ได้จุด วันนี้อากาศเย็นสบาย ยังไม่ ถึงกับหนาวเหน็บ เต็นท์ใหญ่ไม่หรูหรา อยู่ในระดับใช้งานได้ ก็คงไม่มี ใครต�ำหนิแจ๊กและฟลอรา เพราะทั้งสองไม่จ่ายเงินเปลืองเปล่าไปกับ สิ่งไร้ประโยชน์ ไม่มีเสียงครืนโครมกลางฟ้า ไม่มีลมกระโชกโบกเตือน ไม่มีลาง บอกเหตุวา่ อีกไม่นานจะเกิดภัยพิบตั ใิ หญ่หลวง ทุกอย่างรอบข้างเงียบสงบ เปี่ยมสุข บรรยากาศรอบข้างแม้จะเจือด้วยความคึกคักของงานเลี้ยง แต่ ก็สุขสงบราบรื่น ผมนึกถึงบรรยากาศนี้ได้...ในภายหลัง จิมมียืนล้วงกระเป๋าจับตามองในขณะที่ผมแกะหีบแชมเปญ น�ำขวด จัดเรียงในอ่างบนพื้น ซ่อนมิดชิดหลังโต๊ะยาวปูผ้า ความจริงแล้ว ผมไม่ จ�ำเป็นต้องท�ำหน้าที่นี้ แต่ส�ำหรับแจ๊ก ฮอว์ธอร์น การบริการนอกเหนือ สัญญาว่าจ้างเป็นความเต็มใจของผมเอง ผมท�ำงานในชุดเสือ้ แขนยาว มีเสือ้ กัก๊ ไหมพรมสวมทับ (ชุดยอดนิยม ในวงการม้าแข่ง) เสือ้ นอกของผมแขวนอยูใ่ นรถแวน รอพร้อมให้แปลงตัว เปลี่ยนมาดเป็นแขกรับเชิญ จิมมีสดใสอยู่ในเสื้อสเวตเตอร์คอวีสีเทาอ่อน สวมทับด้วยเบลเซอร์สีน�้ำเงินเข้ม กระดุมทองเหลือง เรียบง่าย งดงาม ไร้การปรุงแต่ง ปัญหาอยู่ตรงนี้เอง หากเขามีการปรุงแต่งเสียบ้าง ผมก็ คงจะหมิ่นเขาอยู่ในทีได้เต็มอกเต็มใจ แทนที่จะอยู่ในสถานการณ์กลับกัน ผมยกแชมเปญหีบที่สอง แกะหีบจัดเรียงขวดลงอ่างอีกครั้ง จิมมี ลดตัวลงมาก้มหยิบขวดขึน้ ดู สายตาจ้องจุกฟอยล์และตราข้างขวดประหนึง่ 8
ว่าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต “มาจากทีไ่ หนกัน?” น�ำ้ เสียงของเขาฉงนฉงาย “ไม่เคยเห็นมาก่อน” ผมตอบด้วยเสียงราบเรียบ “ของจริง มาจากเอแปร์นีย์” “อืม” “ค�ำสั่งของฟลอรา” จิมมี “อาย-โย” ตอบรับด้วยความเข้าใจยิง่ วางขวดกลับลงอ่าง ผม แกะถุงด�ำ เทก้อนน�้ำแข็งลงในอ่าง เกลี่ยให้กระจายล้อมขวด “มีสก็อตช์บ้างไหม?” “เบาะหน้ารถแวน” จิมมีเดินจากไป กลับมาอีกครั้งมีสก็อตช์ติดมือ ยังไม่ได้เปิดขวด “แก้วล่ะ?” ผมเดินย้อนกลับไปยังรถแวน ยกกล่องแก้วหกสิบใบกลับมาวางบน โต๊ะ “ช่วยตัวเองนะ” จิมมีไม่ตอบรับ แกะกล่องแก้ว เลือกหยิบแก้วก้นเหลี่ยมออกมา “น�้ำแข็งนี่กินได้ไหม?” “น�้ำประปาบริสุทธิ์เลยละ” ผมตอบ เขาหย่อนก้อนน�้ำแข็งลงในวิสกี้ แกว่งไปมาก่อนยกขึ้นจิบ “ท่าทางของคุณค่อนข้างจะหงุดหงิดนะเช้านี้?” “อะไรนะ?” ผมเหลือบไปมองเขา ค่อนข้างประหลาดใจ “รถขนเหล้าโดนขโมยไปเมื่อวานนี้เองในสก็อตแลนด์ ทั้งคันรถเลย คุณไม่รู้หรือ?” “แชมเปญ?” “เปล่า...วิสกี้” ผมยักไหล่ “เกิดขึ้นได้” ผมยกหีบที่สาม แกะขวดวางแช่ลงในอ่าง จิมมียังคงล้วงกระเป๋ายืน 9
มอง เสียงก้อนน�้ำแข็งกระทบแก้วกรุกกริก “คุณรู้เรื่องวิสกี้ดีแค่ไหน โทนี?” “ก็ไม่มากนัก” “พอจะแยกตราได้ไหม?” “ถ้าเป็นไวน์ละได้แน่นอน ท�ำไมหรือ?” ผมยืดตัวขึ้นจากการเกลี่ย น�้ำแข็งในอ่างที่สอง ส�ำเนียงของเขายังเครียดขรึมเอาจริงเอาจัง “คุณจะยืนยันได้ไหม ถ้า คุณสัง่ มอลต์ แล้วได้วสิ กีส้ ามัญอย่างขวดนี?้ ” เขายกแก้วชูขนึ้ สูง บุย้ ปาก ไปยังแก้ว “รสชาติแตกต่างกันแน่นอน” ท่ า ทางของเขาดู จ ะผ่ อ นคลายทั น ตาเห็ น ผมเพิ่ ง จะรู ้ สึ ก ว่ า มี ความเครี ย ดซ่ อ นอยู ่ ห ลั ง ค� ำ ถามชวนคุ ย เมื่ อ ครู ่ “คุ ณ พอจะแยกแยะ มอลต์ออกจากกันได้ไหม?” คิ้วของผมขมวด เพ่งจ้องหน้าเขา “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” “บอกได้ไหม?” เขาย�้ำถาม “ไม่ได้ ถ้าเป็นเช้าวันนี้ไม่ได้แน่ๆ ไม่อาจจะบอกชื่อแยกตราได้ ผม จะต้องฝึกซ้อมสักระยะหนึ่งเสียก่อน อาจจะได้หรือไม่ได้” “แต่...ถ้าเคยชินกับรสใดรสหนึ่ง คุณพอจะแยกออกจากแก้วอื่นๆ ที่เรียงแถวเป็นตัวอย่างได้ไหม? หรือบอกเพียงว่าไม่มีอยู่ในแก้วตัวอย่าง บนโต๊ะนั้น?” “คงพอได้” ผมตอบเงยหน้ามองเขา แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะครุ่นคิด ปรึกษาหาข้อสรุปให้ตนเองอยู่ ผมยักไหล่ เดินกลับไปที่รถแวน แบก ถุงน�้ำแข็งกลับมาอีกถุง เทลงไปในอ่างที่สอง แบกหีบแชมเปญหีบที่สี่ ดึงขวดเรียงลงในอ่าง “เรื่องน่าอึดอัด บอกยาก” “เรื่องอะไรกัน?” 10
“อยากให้คุณวางมือสักครู่ ฟังผมก่อนไม่ได้หรือ?” เสียงนั้นแม้จะมีความร� ำคาญเป็นธรรมดา แต่ก็เจือด้วยนความ กระวนกระวายใจ ผมวางมือ ยืดตัวขึ้นรับฟังด้วยความสนใจเต็มที่ “บอกผม” จิมมีอายุมากกว่าผมราวปีหรือสองปี ความรู้จักมักคุ้นจ�ำกัดอยู่ที่ การเดินทางมาเยือนบ้านฮอว์ธอร์นของผมเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแขก หรือ ผูท้ ำ� หน้าทีจ่ ดั หาเครือ่ งดืม่ การต้อนรับของเขาเป็นแต่เพียงพิธกี ารทางสังคม ไร้ความอบอุ่น ผมเชื่อว่าเขาเองก็คงรับรู้ความรู้สึกเช่นเดียวกันจากผม เขาเป็ น บุ ต รชายคนที่ ส ามของลู ก ชายคนที่ สี่ ข องเอิ ร ์ ล เจ้ า ของม้ า แข่ ง ศักดิ์สูงหากแต่ขาดไร้ทรัพย์ ผลงานสร้างชื่อของจิมมี ก็พอจะเรียกได้ เต็มปากว่าอิงอยู่กับพลังสมองเฉียบคมของแจ๊ก ผมไม่สนใจค�ำวินิจฉัย ค�ำรับรองคุณภาพ ไม่ใส่ใจแม้ความชืน่ ชมของฟลอราทีม่ ตี อ่ เลขานุการของ แจ๊กผู้นี้ จะว่ากันไปแล้ว ผมไม่เสียเวลาคิดถึงด้วยซ�้ำไป “เจ้าของม้าคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าของแจ๊กมีภัตตาคาร” จิมมีดูเหมือน จะตัดสินใจได้แล้ว “...ภัตตาคารซิลเวอร์มูนดานซ์ ใกล้เมืองเรดดิง ไม่ได้ หวังจะเป็นภัตตาคารชั้นหนึ่ง เป็นแค่ที่เต้นร�ำ บางคราวก็มีนักร้อง คลับ ของคนสามัญ” ส�ำเนียงเย็นชา แต่ขาดไร้การหยามหมิน่ เป็นแต่เพียงการ กล่าวข้อเท็จจริง ไร้การแทรกทัศนะส่วนตัวเจือเข้าไป ผมรอคอยด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เขาเชิญแจ๊ก ฟลอรา แล้วก็ผม ไปรับประทานอาหารที่นั่น เมื่อ สัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง” “ก็ดีนี่” “ใช่” จิมมีมองผ่านจมูกลงมามองหน้าผม หยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ “ก็ดี อาหารไม่เลว แต่วา่ ...โทนี...ลาร์รี เทรนต์เป็นลูกค้าชัน้ ดีของแจ๊ก มีมา้ อยู่ ในคอกของเราถึง 5 ตัว จ่ายเงินตรงตามเวลาทุกคราว ผมไม่ต้องการจะ ท�ำให้เขาขุ่นเคือง แต่ว่าเหล้าที่เขารินออกจากขวด ไม่ตรงกับฉลากที่ปิด 11
อยู่ข้างขวด” เสียงของเขาสั่นเครือด้วยความขุ่นใจจนผมแทบจะกลั้นยิ้มไม่ได้ “ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ” ผมตอบ “แต่...ผิดกฎหมายไม่ใช่หรือ?” เสียงของเขาแค้นเคือง “แน่นอน ผิดกฎหมายแน่ๆ คุณแน่ใจกล้ายืนยันหรือ?” “กล้ายืนยัน ผมแน่ใจว่ายืนยันได้ ผมเพียงคิดว่าคุณน่าจะลองชิม ก่อน...ก่อนที่ผมจะยกเรื่องนี้ไปคุยกับลาร์รี เทรนต์ ผมคิดว่าลูกจ้างใน ร้านของเขาอาจจะเล่นกลยักยอกเงินของร้าน ผมคิดว่า...เขาอาจจะถูก ฟ้องร้องได้ ใช่ไหม?” “ท�ำไมคุณไม่บอกเขาเองในเย็นวันนั้น?” จิมมีสะดุ้งตาตื่น “เราเป็นแขกรับเชิญ! พูดอะไรไปก็คงไม่เหมาะ คุณก็รู้นี่นา” “อืม แล้วท�ำไมไม่บอกเขาวันนี้ ดึงเขาไปคุยเป็นการส่วนตัว บอกเขา ว่าคุณคิดยังไงกับเหล้าในร้านของเขา เขาอาจจะซาบซึ้งขอบคุณคุณเป็น ที่สุด อย่างน้อยก็เป็นการเตือนกันฉันมิตร ผมไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ จนเขาขอถอนม้าแข่งทั้งห้าออกจากคอก” จิมมีครางเสียงเครือในคอ ยกแก้วสก็อตช์ขึ้นจิบอึกใหญ่ “ผมเล่า เรื่องนี้ให้แจ๊กฟังแล้ว แจ๊กบอกว่าผมน่าจะเข้าใจผิดไปเอง ผมแน่ใจว่าผม ยืนยันได้...รับรองไม่พลาดแน่ๆ” ผมจ้องหน้าเขาด้วยความสนใจยิ่ง “ท�ำไมเรื่องนี้กวนใจคุณนัก?” ผมสอบถาม “อะไรนะ?” จิมมีสะดุ้งสุดตัว ประหลาดใจที่ได้ยินค�ำถามนั้น “ก็ ไม่มีอะไรมาก การฉ้อฉลก็ยังเป็นการฉ้อฉล ไม่ใช่หรือ?” ผมถอนหายใจยาว “ก็ใช่ เหล้าอะไรที่คุณว่าเป็นเหล้าปลอม?” “ถ้าเป็นไวน์ ผมไม่กล้ายืนยันแม้ว่ารสชาติจะพิกลไปนิด แต่นี่เป็น ลาโฟรอิก 12
คิ้วของผมขมวดยุ่ง “มอลต์จากเกาะไอเลย์น่ะหรือ?” “ใช่เลย วิสกี้มอลต์ฉุนเฉียว ปู่ของผมโปรดปรานมอลต์ยี่ห้อนี้ ปู่ มักจะให้ผมจิบเสมอ ไม่ว่าพ่อจะโมโหหน้าเขียวแค่ไหน ปู่ไม่สนใจ ก็น่า แปลกนัก รสชาติที่เคยลิ้มลองเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก จะติดปากติดใจไม่รู้ลืม ระยะหลังผมไม่เคยได้ชมิ อีกเลย คืนนัน้ ผมเห็นมีเหล้าชนิดนีอ้ ยูบ่ นรถเข็น ก็เลยให้เขาริน...เตือนความทรงจ�ำน่ะครับ” “แล้วก็ไม่ใช่ลาโฟรอิก?” “ไม่เลย” “แล้วเป็นเหล้าอะไร?” จิมมีขมวดคิ้ว ลังเล “ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ ถ้าได้ลองจิบ” ผมสั่นศีรษะ “คุณคงจะต้องหาผู้เชี่ยวชาญเสียแล้วละ” คิ้วของจิมมียังขมวดยุ่ง ใบหน้ายังอมทุกข์ “ผมเคยคิดเหมือนกัน แต่เหล้าคืนนั้นก็เป็นเหล้าสามัญ...ไม่น่าจะเรียกว่าเหล้ามอลต์ด้วยซ�้ำไป” “ก็น่าจะบอกคุณเทรนต์...ปล่อยให้เป็นหน้าที่เขาจัดการเอง” คิ้วของจิมมีขมวดมุ่น “วันนี้เขาก็จะมาที่นี่” “อย่างนั้นก็ไม่ยาก” จิมมีอ้าปากค้างอยู่เป็นนาน “จะเป็นไปได้ไหมว่า...เอ้อ...คุณจะชวน เขาคุยในเรื่องนี้?” “ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” ผมยืนยันหนักแน่น “ถ้าคุณเป็นคน ยกเรื่องนี้ขึ้นมา จะเป็นค�ำเตือนฉันเพื่อน แต่หลุดออกจากปากของผม ก็ ไม่ต่างไปจากค�ำหยามหมิ่นรุนแรง เสียใจด้วย จิมมี ยังไงก็ไม่ได้” จิมมีถอนหายใจยาว “ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าคุณคงไม่เล่นด้วย แต่ ลองดูก็ไม่เสียหลาย” จิมมีรินสก็อตช์ลงในแก้ว คว้าน�้ำแข็งหย่อนลงไปใน แก้ว ผมอดจะประหลาดใจไม่ได้ เพราะคอสกอตช์จะถือว่าน�้ำแข็งเป็นสิ่ง ที่น่ารังเกียจเป็นที่สุด ผมนึกต่อไปว่ามาตรฐานการลิ้มรสลาโฟรอิกของจิม มีจะเชื่อถือได้ในระดับใด? 13
ฟลอราพาร่างเจ้าเนื้อ ใบหน้าเปล่งปลั่งอิ่มสุข สวมเสื้อสเวตเตอร์ สีแดงเพลิงเดินเข้ามาในเต็นท์ เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ผงกศีรษะ ด้วยความพึงพอใจ “สดใสดีนะ โทนีที่รัก” “แน่นอนครับ” “ในยามที่แขกเหรื่อมากันพร้อมแล้ว...” “ครับ” เธอเป็นหญิงชาวบ้าน เรียบง่าย อ่อนโยน เป็นคุณแม่ใจดีลูกสาม (มิใช่ลกู ของแจ๊ก) ซึง่ โทรมาคุยกับเธอเป็นระยะๆ เธอยกเรือ่ งนีม้ าคุยในยาม ที่เธอไปที่ร้าน และมักจะสั่งซื้อเหล้ามากเป็นพิเศษถ้าได้รับข่าวดีจากลูกๆ แจ๊กเป็นสามีคนที่สองของเธอ ว่านอนสอนง่าย หลงรักเธอหัวปักหัวป�ำ แต่กเ็ ป็นทีร่ กู้ นั ไปทัว่ ว่าอิจฉาลูกๆ ของฟลอราอย่างไม่ยอมปิดบัง...เรือ่ งราว พิลกึ พิลนั่ เหลือเชือ่ ทีผ่ คู้ นน�ำมาเล่าให้พอ่ ค้าไวน์ฟงั ผมรูเ้ รือ่ งราวหลากหลาย ในชีวิตของผู้คนอีกหลายคน ฟลอราชะโงกหน้ามองลงไปในอ่างน�้ำแข็ง “แช่ไว้สี่ลังหรือเปล่า?” ผมผงกศีรษะรับ “ยังมีเหลืออยู่ในรถแวนอีกหลายลัง ถ้าจ�ำเป็น ต้องน�ำมาเพิ่มเติม” ฟลอรายิ้มหวาน “ก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่ดื่มกันมากขนาดนั้น แต่ ก็ไม่แน่นะ โทนีที่รัก ฉันไม่กล้าลงเดิมพันหรอกนะ...จิมมีที่รัก ยังดื่มวิสกี้ อยูท่ ำ� ไม? เปิดแชมเปญสักขวดสิ รินเผือ่ ฉันสักแก้วก่อนทีแ่ ขกจะเคลือ่ นพล มาถล่มเรา” จิ ม มี ป ฏิ บั ติ ต ามด้ ว ยมาดสง่ า งามหากขาดไร้ ค วามกระตื อ รื อ ร้ น ปลายนิ้วกดจุกให้เคลื่อนออกทีละน้อย เกร็งอุ้งมือรับแรงดันจนไม่มีเสียง ระเบิด ฟลอรายิ้มระรื่นจ้องมองฟองฟู่พลุ่งทะลัก เอียงขอบแก้วทันรับ พวยพลุ่งระลอกแรก เธอคะยั้นคะยอให้ผมกับจิมมีร่วมดื่มด้วย ใบหน้า บิดเบี้ยวของจิมมีบ่งบอกว่าวิสกี้กับแชมเปญไม่ใคร่จะเข้ากันนัก 14
“อืม...เยีย่ ม” ฟลอราอุทานออกมาด้วยความยินดี ผมยกแก้วขึน้ จิบ ไวน์ฟองฟู่รสจืดชืดและฟองเดือดปุดเกินไป แต่รสก็พอเหมาะกับเนื้อเหล้า ผมขายแชมเปญตรานี้ให้งานแต่งงานนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ฟลอราถือแก้วแชมเปญติดมือ เดินยิม้ ระรืน่ ไปปากทางของเต็นท์ใหญ่ หันหน้าออกจากตัวบ้านเปิดสู่สนามหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่ที่แขกเหรื่อจะ เดินเข้ามาในงาน คฤหาสน์และคอกม้าของแจ๊ก ฮอว์ธอร์นสร้างอยู่ใน แอ่งเขามีเนินสูงของเทือกเบิรก์ เชียร์ดาวน์โอบโดยรอบ ผูม้ าเยือนจะไม่เห็น ตัวบ้านจนกว่าจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ แขกส่วนใหญ่คงจะใช้ถนนใหญ่ ข้าม เทือกเขาลงมาสู่ด้านหลังของบ้าน จอดรถไว้บนเนินหญ้า แล้วเดินเท้าตัด ทุง่ ลงมายังประตูรวั้ เตีย้ ๆ ทีม่ กี หุ ลาบพุม่ ปลูกเป็นแนวแทนรัว้ กัน้ หลังจาก การจัดงานเลีย้ งบ่อยครัง้ ฟลอรากลายเป็นผูเ้ ชีย่ วชาญในการควบคุมฝูงชน เปลี่ยนการจัดงานเลี้ยงให้กลายเป็นศิลปะ โดยวิธีนี้ แขกผู้มาเยือนจะไม่ ท�ำให้ม้าในคอกตื่นตระหนกตกใจ ฟลอราวิง่ กระหืดกระหอบกลับเข้ามาในเต็นท์ อุทานละล�่ำละลักด้วย เสียงอันดัง “แย่แล้ว จิมมี ท่านชีกเดินทางมาถึงแล้ว รถเพิ่งจะข้ามเนินมา เมื่อครู่ใหญ่นี่เอง จิมมีรีบไปต้อนรับเร็วเข้า แจ๊กยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย พาท่านชีกเดินชมสวน หรืออะไรก็ได้...แย่จริง อ้อ บอกแจ๊กด้วยว่าท่าน เดินทางมาถึงแล้ว” จิมมีผงกศีรษะรับ วางแก้วลงอย่างไม่เร่งรีบนัก เดินตัวตรงออกไป รับแขกผู้สูงศักดิ์จากตะวันออกกลาง และคณะผู้ติดตาม ฟลอราลังเล ประหนึ่งว่ายังตัดสินใจลงความเห็นไม่ได้ ขยับจะก้าวเท้าจากไป แต่ก็ไม่ ไหวกาย เธอพูดกับผมโดยไม่ลืมช�ำเลืองแลไปรอบข้าง “จะว่าไปแล้ว ฉันไม่คอ่ ยชอบขีห้ น้าท่านชีกตัวนีเ้ ท่าไหร่ ก็ชว่ ยไม่ได้ นี่ น า ทั้ ง อ้ ว นทั้ ง น่ า เกลี ย ด แล้ ว ก็ ว างท่าเจ้าใหญ่นายโตเหมือนเป็น เจ้าของบ้านเสียเอง แล้วฉันก็ไม่ชอบเปลือกตาครึ่งหลับครึ่งตื่น ปรายตา 15
มามองเหมือนผู้หญิงไม่มีค่าอะไรในสายตา...โทนีที่รัก เธอไม่ได้ยินเรื่อง ทั้งหมดที่ฉันเพิ่งจะพูดออกไปนะ เข้าใจไหม? ฉันไม่ชอบวิธีที่คนอาหรับ ปฏิบัติต่อผู้หญิง” “แต่ม้าของเขาก็ได้ถ้วยรางวัลบ่อยๆ นี่ครับ” ผมแย้ง ฟลอราถอนหายใจยาว “ก็นั่นแหละ การเป็นภรรยาของคนฝึกม้า ใช่ว่าจะราบรื่นเปี่ยมสุขแสนหวานเสียเมื่อไหร่ เจ้าของม้าบางคนท�ำให้ฉัน คลื่นเหียน” เธอหันมายิ้มให้ผม แล้วบ่ายหน้าเดินกลับเข้าบ้าน ผมหัน กลับมายกลังน�้ำอัดลม น�้ำผลไม้ น�ำมาจัดเรียงให้เป็นระเบียบ บนเนินเขา สารถีในชุดเครือ่ งแบบมาดเครียดขรึม น�ำเอารถเมอร์เซดีส กระจกด�ำสนิทคันยาวเหยียดจอดเข้าที่ เล็งตรงเป็นแนวเต็นท์ใหญ่ อีก อึดใจเดียว รถราเพิม่ จ�ำนวนในแถวจอดหนาตา พาสาวเสริฟแ์ ละผูช้ ว่ ยงาน คนอื่นๆ มาเป็นกลุ่มใหญ่ เวลาผ่านไปอีกไม่กี่อึดใจ รถยนต์แล่นตามกัน มาเป็นสาย แขกนับร้อยคนหลั่งไหลเข้ามาในงาน บ้างก็มาโดยโรลสรอยซ์ เรนจ์โรเวอร์ มินิคูเปอร์ หรือไม่ก็ฟอร์ด สามีภรรยาคู่หนึ่งนั่งรถม้า อีกคู่ซ้อนท้ายจักรยานยนต์ บางครอบครัวพา ลูกๆ บ้างก็พาสุนขั เพือ่ นคูย่ ากมาร่วมงาน ส่วนใหญ่กม็ กั จะทิง้ สุนขั ไว้ในรถ เสื้อผ้าหลากสีหลายรูปแบบ ทั้งเสื้อหนังแคชเมียร์ กางเกงลูกฟูก บ้างก็ สวมเชิรต์ ลายหมากรุก เครือ่ งประดับตกแต่งจากผ้าพันผูกจนถึงเครือ่ งเพชร ระยิบระยับ แขกเดินกันมาเป็นกลุ่ม ผ่านซุ้มกุหลาบและประตูรั้วเตี้ยๆ ผ่านสนามหญ้า เดินเข้ามารวมกันในเต็นท์ใหญ่ เช้าวันอาทิตย์ฟ้าใส อากาศอุน่ สบาย ทุกรายยิม้ เริงร่า เสียงหัวเราะสดใส หากจะมีทกุ ข์ตรมใจ ก็คงทิ้งไว้เบื้องหลังไปสิ้น ในงานเลี้ยงของวงการม้าแข่ง ทุกคนก็ดูเหมือนจะรู้จักทุกคน เสียง พูดคุยดังเซ็งแซ่ออกรสขึ้นทุกขณะ หากจะคุยกันโดยไม่ต้องตะโกน ก็คง ต้องปลีกตัวเดินลับเหลี่ยมก�ำแพงไปหามุมสงบ ชีกจากตะวันออกกลางใน เครื่องแบบเจ้าอาหรับเต็มยศ ผู้คุ้มกันหน้าเหี้ยมยืนรายล้อมอยู่ไม่ห่างนัก 16
ผมสังเกตเห็นชีกผู้นี้เป็นอันดับแรก เพราะเสื้อผ้าผิดแผกแตกต่างจาก ผู้อื่น เขาจะยืนหันหลังให้ก�ำแพง ในมือถือแก้วน�้ำส้ม ตาคมเหมือน เหยีย่ ว ใต้เปลือกตาครึง่ หลับครึง่ ตืน่ กวาดมองแขกในงาน จิมมีตอ้ นรับแขก ผู้ทรงเกียรติเต็มความสามารถ และได้รับการผงกศีรษะตอบเป็นครั้งคราว แขกที่มาในงานเลี้ยงแวะเวียนมากล่าวทักทายกับแขกผู้ทรงเกียรติในชุด ผ้าโพกศีรษะ แต่กเ็ ห็นได้ชดั ว่า การทักทายพูดคุยขาดไร้ความเป็นกันเอง... ในจ�ำนวนนี้ไม่มีสตรีเฉียดกรายมาใกล้แม้แต่รายเดียว จิมมีปลีกตัวมาจากแขกจากแดนไกลได้ส�ำเร็จ ผมหันมาเห็นเขายืน อยู่ห่างแค่มือเอื้อม “คงจะอึดอัดน่าดูนะ ถ้าต้องรับรองท่านชีกคนนี้?” “ก็ไม่เลวนักหรอก ท่านเป็นคนใช้ได้ เพียงแต่ขาดมารยาทงามในการ สมาคมแบบตะวันตกไปหน่อย แล้วก็ระแวงการลอบสังหารทุกลมหายใจ เท่าที่เคยได้ยินมา ตะแกไม่ยอมนั่งในเก้าอี้หมอฟันด้วยซ�้ำไป เว้นแต่จะ มีผู้คุ้มกันอยู่ในห้องนั้นด้วย คุณน่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขายืนอยู่หลัง เหลีย่ มตึกนีเ่ อง พอมีคนเข้าไปใกล้ ตาครึง่ หลับครึง่ ตืน่ ของแกโชนประกาย เจิดจ้าขึน้ มาในทันทีเลยละ” จิมมีกวาดสายตามองไปรอบๆ อุทานออกมา เบาๆ ว่า “นั่นไง เห็นคนที่สวมสูทลายทางที่ก�ำลังคุยอยู่กับฟลอราไหม? นั่นละ ลาร์รี เทรนต์” “เจ้าของลาโฟรอิกที่ไม่มีกลิ่นมอลต์น่ะหรือ?” จิมมีผงกศีรษะรับ คิ้วขมวดหยักย่นประหนึ่งว่าไม่อาจตัดสินใจลง ความเห็นได้ เพียงครู่เดียว เขาเดินผละไปทางอื่น ผมยืนนิ่งกับที่ จ้อง มองคูส่ นทนาของฟลอรา ชายวัยกลางคนผมสีเข้มหนวดด�ำขลับ เป็นหนึง่ ในจ�ำนวนไม่กคี่ นทีส่ วมสูทเต็มยศ สูทลายทางสีนำ�้ เงินเข้ม ผ้าเช็ดหน้าไหม สีสดเสียบประดับไว้ในกระเป๋าเสื้อ แขกขยับเคลื่อน เทรนต์เลือนหายไป จากสายตาของผม ผมพูดคุยกับผูค้ นกึง่ รูจ้ ัก...คุน้ หน้าแต่ไม่เคยมีเวลานาน พอจะรูจ้ กั กัน เหมือนเช่นผูค้ นในวงการม้าแข่งทีม่ โี อกาสได้พบเจอกันเพียง 17
ปีละไม่กคี่ รัง้ การสนทนาจะยกเรือ่ งราวคราวล่าสุดทีเ่ คยคุยกันไว้มาสานต่อ ด้วยเหตุนี้เอง มารยาทงามตามสังคมจึงมักมีค�ำไถ่ถาม “เอ็มมา...ภรรยา ของคุณเป็นไงบ้าง?” ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะชินกับความปวดแปลบ เพียงเอ่ยชื่อนี้ก็ ไม่ ต ่ า งไปจากการปั ก หนามแหลมทะลวงลึ ก เข้ า ไปในปลายประสาท ความรวดร้าวทางอารมณ์กลายเป็นความเจ็บปวดที่ร่างกายสัมผัสซับซาบ ได้ เอ็มมา...พระเจ้าช่วยด้วย “เธอตายไปแล้วครับ” ผมตอบด้วยเสียงราบเรียบ ค้อมศีรษะให้ เพียงนิดประหนึ่งว่าจะให้อภัยและปลอบประโลมความอับอายที่จะปรากฏ ให้เห็นบนใบหน้าของคูส่ นทนาในอีกไม่กวี่ นิ าทีถดั มา ผมพร�ำ่ พูดเช่นนีบ้ อ่ ย ครั้ง...บ่อยเกินไปจนเกินจะทน เวลาล่วงมาถึงขณะนี้แล้ว ผมทราบวิธี ที่จะเปิดเผยข้อมูลให้ผู้ฟังได้รับทราบโดยไม่ถึงกับเสียหน้าหรืออับอายจน แทบจะแทรกแผ่นดินหนี ทักษะขมขื่นความเชี่ยวชาญพิเศษของพ่อหม้าย ...พยายามปลดความอึดอัดขัดข้องใจให้ผู้อื่น โดยซ่อนความอ้างว้างว่าง เปล่าไว้ในใจตน “โอ...เสียใจด้วยครับ” น�้ำเสียงแสดงความหมายตามค�ำพูดอย่างเต็ม เปีย่ มในวินาทีนนั้ เหมือนเช่นผูค้ นอืน่ ๆ ทีเ่ คยถามค�ำถามเดียวกัน “ไม่เคย ได้ข่าวเรื่องนี้เลย เอ้อ...เมื่อไหร่ครับ?” “หกเดือนที่ผ่านมา” “โอ...” น�ำ้ เสียงปรับให้ลกึ ซึง้ เปีย่ มด้วยความจริงใจ “เสียใจด้วยครับ” ผมค้อมศีรษะรับ เขาถอนหายใจยาว โลกก็ยังคงหมุนต่อไป การ สันถวะสิน้ สุดไปอีกราย จนกว่าจะถึงคราวหน้า...มักจะมีคราวหน้าอยูเ่ สมอ อย่างน้อยทีส่ ดุ เขาก็ไม่ได้สอบถามว่า “เป็นอะไรตายหรือครับ?” ผมไม่ได้ บอกเขา ไม่อยากจะคิดถึงความเจ็บปวดทรมานของเธอ ภาวะโคมาไม่รบั รู้ เรื่องราวจากโลกภายนอก และทารกตัวน้อยในครรภ์ที่ไม่มีโอกาสลืมตา มาดูโลก 18
แขกส่วนหนึ่งของแจ๊กเป็นลูกค้าประจ�ำร้านของผม ดังนั้น ใน งานเลี้ยงของวงการม้าแข่ง ผมจึงมีโอกาสได้พูดคุยเรื่องไวน์มากเท่ากับ พูดคุยเรือ่ งม้าและม้า ในระหว่างทีห่ ญิงชราใจดีชวนคุย สอบถามความเห็น ของผมระหว่างไวน์โกต์ดูโรนกับโกต์เดอนุย ผมเหลือบไปเห็นจิมมียืนคุย กับลาร์รี เทรนต์ เขาพยักเพยิดให้ผมเดินไปสมทบ แต่การสนทนาก�ำลัง ออกรส หากผมชี้แจงแยกแยะความแตกต่างของรสชาติได้ หญิงชราใจดี ผู้นี้มีทีท่าว่าจะซื้อยกลัง ผมยกนิ้วโบก “รอก่อน” ให้สัญญาณแก่จิมมี ซึ่งเขาก็ตอบรับโดยการโบกมือแจ้งว่าไม่เป็นไร สาวเสิร์ฟเดินโฉบเข้ามาในมุมบริการของผมถี่ยิบ ในมือถือถาดแก้ว แชมเปญ และไส้กรอกปักไม้ ผมค�ำนวณคร่าวๆ ในใจว่ามีคอแห้งผากมา งานเลีย้ งไม่ตำ�่ กว่าร้อย หากความกระหายด�ำเนินไปในอัตราเร็วนี้ แชมเปญ สี่ลังที่ผมแช่ไว้ก็คงเหือดหายไปในอีกไม่นานนี้ ผมเดินออกไปถึงปากทาง ของเต็นท์ ใกล้ตัวบ้าน แจ๊กโผล่พรวดพราดมาคว้าแขนเสื้อของผมไว้มั่น “ต้องแช่แชมเปญอีก สาวเสิร์ฟบอกว่ารถแวนของคุณล็อกกุญแจ” เสียงของเขายังกระหืดกระหอบร้อนรน “งานเลี้ยงด�ำเนินไปด้วยดี จริง ไหม?” “ดีมากเลยครับ” “เยีย่ ม ยอดไปเลย มอบให้เป็นหน้าทีข่ องคุณเลยนะ” แจ๊กหันขวับ เดินจากไป ทักทาย ตบไหล่แขกในงาน อิ่มเอมใจไปกับฐานะเจ้าบ้าน ผมชะโงกหน้าดูในอ่างน�้ำแข็ง เหลือแชมเปญเพียงสองขวดลอย เท้งเต้งในทะเลน�้ำแข็ง ผมเดินตรงไปยังรถแวน มือล้วงกระเป๋ากางเกง ควานหากุญแจ ผมเงยหน้ามองแถวรถยนต์บนเนินเขา เมอร์เซดีสของ ท่านชีก เรนจ์โรนเวอร์ รถม้า รถลากม้า แถวจอดรถยังไม่มชี อ่ งว่าง ไม่มี ใครกลับไปก่อนงานเลิก เจ้าหนูตัวจ้อยวิ่งเล่นกับสุนัข ผมไขกุญแจประตูหลัง ลากแชมเปญอีกสามหลังที่เตรียมมาเผื่อ แชมเปญเย็นพอควรเพราะมีถุงน�้ำแข็งวางซ้อนทับ ผมเดินกลับมาจนถึง 19
เต็นท์ โยนถุงน�้ำแข็งโยนลงบนพื้นหญ้า หันมองหาที่วางลังแชมเปญ การเคลื่อนไหวจากการมองเห็นทางหางตาท�ำให้ผมหันขวับไปทันที ในอีกเสี้ยววินาทีถัดมา วันฟ้าใสกลายเป็นฝันสยองกลางแดด รถบรรทุกม้าควบตะบึงลงมาตามลาดเนิน ปลายทางมุ่งมายังเต็นท์ใหญ่ ความเร็วเพิ่มขึ้นทุกขณะ รถบรรทุ ก ม้ า แล่ น มาถึ ง แปลงกุ ห ลาบ ล้ อ บดทั บ กิ่ ง ก้ า นสี เขี ย ว แหลกลาญ ขยี้ดอกสีชมพูรุ่นสุดท้ายปลายฤดูใบไม้ร่วง รถบรรทุกม้ายัง แล่นตะบึงผ่านสนามหญ้าสีเขียว ผมกระโจนออกทางปากประตูเต็นท์ ตะโกนร้องเตือนออกมาสุดเสียง แต่เสียงเตือนภัยก็คงเลือนหายไปในเสียงพูดคุยเซ็งแซ่...แม้จะร้องเตือนก็คง สายเกินไปเสียแล้ว ในห้วงวินาทีที่โลกหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ผมมองเห็นใบหน้าสดใส ปาก อ้าค้างพูดคุยกันออกรส แก้วเครื่องดื่มเย็นเฉียบยกขึ้นจรดริมฝีปาก...ชีวิต ที่ยังมีลมหายใจ และไม่รู้สึกรู้สมถึงมหันตภัยคุกคาม รถบรรทุกม้าแล่นตะลุยเข้าไปในเต็นท์ เปลี่ยนเรื่องราวหลากหลาย ให้กลับกลายไปชั่วนิรันดร์
20
3
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่เงียบกริบไปชั่วขณะ ความงุนงงประหลาดใจล้นพ้นกิน เวลานานราว 5 วินาที จากนั้นก็เป็นเสียงกรีดร้อง ประสานด้วยเสียงร้อง โหยหวนด้วยความสยดสยอง รถบรรทุกม้าพุ่งเข้าไปในเต็นท์ บดขยี้ผู้คนล้มคว�่ำใต้ล้อ รถพุ่งต่อไป ชนเสากระโจมกลางหักสะบั้น เต็นท์ที่เคยตั้งตระหง่าน บัดนี้ทรุดเข้าไป ภายใน กองราบอยู่บนพื้น ภัยพิบัติเกิดขึ้นที่ปลายเท้าของผม ภาพของแขกใบหน้าสดใสพูดคุยกันเซ็งแซ่ ขณะนี้เป็นแต่เพียงผ้าใบ สีเทาหนาหนักห่มคลุมก้อนเนื้อปูดโปนเป็นก้อนที่กระเพื่อมขึ้นลงด้วยการ หอบหายใจ รถบรรทุกม้ายืนสงบนิ่งอยู่กึ่งกลางซากปรักหักพัง ไร้ภาวะคุกคาม ไม่มีแม้รอยขีดข่วน เป็นแต่เพียงกล่องสี่เหลี่ยมน่าสะพรึงกลัวขนาดมหึมา ยืนเด่นแน่วนิง่ เห็นได้ชดั ว่าไม่มผี ขู้ บั ขี่ หากจะเข้าไปยังทีน่ งั่ คนขับ ก็ตอ้ ง เดินอ้อมรถ ฝ่าซากคนตายและคนเป็นที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นหญ้า เลยไกลไปจากรถบรรทุกม้า เสากระโจมต้นทีส่ องยังปักหลักชูผา้ เต็นท์ ผู้คนดิ้นรนมุดออกมาจากปากทางออก บ้างก็แหวกช่องฉีกขาด หลุดออก 21
มาสู่โลกกว้างภายนอกทีละคนสองคน ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่ายังถือลังแชมเปญอยู่ในมือ ผมวางลังลงบนพื้น รีบ วิ่งเข้าไปใช้โทรศัพท์ในบ้าน บ้านเงียบสงัด สงบนิ่งเป็นระเบียบ มือข้างที่ถือกระบอกโทรศัพท์ สั่นระริก ต�ำรวจ รถพยาบาลมายังคอกม้าของฮอว์ธอร์น หมอ เครื่องมือ กู้ภัย ปั้นจั่น ก�ำลังจะมาแล้ว เสียงนั้นตอบกลับมาเข้าหู ทุกอย่างก�ำลัง จะเดินทางมาถึง ผมกลับออกมาภายนอก พบปะผู้คนที่ลืมตาเบิกกว้างด้วยค�ำถามเร่ง ร้อนในใจ “พวกเขาก�ำลังมา...ก�ำลังมา” ผมแจ้งให้ทราบ ทุกคนสั่นเทิ้ม ไม่เพียงแต่ตัวผมเท่านั้น เสียงกรีดร้องขาดห้วงไปสิ้นแล้ว จะมีก็แต่เพียงเสียงตะโกน สามี ร้องเรียกหาภรรยา มารดาเรียกหาบุตร ใบหน้าทุกผู้ทุกคนขาวซีด ปาก อ้าค้าง ลมหายใจหอบแทบจะขาดห้วง ผู้ที่หลุดมายืนอยู่ภายนอกหาทาง กรีดผ้าเต็นท์ด้วยมีดพกให้ขาดเป็นทางเพื่อปลดปล่อยผู้ที่ถูกกักอยู่ภายใน สตรีนางหนึ่งใช้กรรไกรตัดผ้าเต็นท์ด้วยท่าทางมุ่งมั่น น�้ำตาหยาดไหล เป็นทางบนสองแก้ม ความพยายาม ความช่วยเหลือดูจะมีผลเพียง น้อยนิด ภารกิจใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ไขได้ ฟลอรา แจ๊ก และจิมมี อยู่ในส่วนของเต็นท์ที่หุบยุบลงไป เสียงม้าร้องอยูไ่ ม่ไกลนัก เสียงเกือกม้าเตะผนังไม้ ผมเย็นวาบไปทัว่ ตัว อีกครัง้ เพิง่ จะรูส้ กึ ว่าเสียงนัน้ ดังออกมาจากรถบรรทุกม้า...ในรถบรรทุกม้า ที่แล่นลงเนินเขามายังเต็นท์ มีม้าอยู่ในนั้นด้วย! ผมเดินตรงไปยังส่วนของเต็นท์ทยี่ งั ตัง้ ชูยอดอยู่ มุดผ่านช่องฉีกขาดที่ มีคนเดินออกมา เสากระโจมยังชูยอดอยูไ่ ด้ กระถางเบญจมาศสีเหลืองสด ยังคงตั้งประดับที่โคนเสา รายรอบข้างมีแก้วแตกเกลื่อนกระจาย มีคน 22
พยายามยกผ้าเต็นท์หนาหนักให้ลอยสูงเพือ่ ให้ผคู้ นกักอยูภ่ ายในคลานออก มาได้ “เราช่วยกันสร้างอุโมงค์ดีกว่า” ผมหันไปบอกชายคนหนึ่ง เขา พยักหน้ารับ เราช่วยกันยกเพียงส่วนเดียว ค่อยๆ เดินไปจนพบคนอื่นๆ เมื่อเรียงต่อกันเป็นแถวยาว อุโมงค์ใต้ผ้าเต็นท์สูงพอจะเป็นทางออกให้ ผู้คนเกือบสามสิบคนที่ยังดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใน ผู้คนใต้ผ้าเต็นท์ลุกขึ้นยืน ฝ่ามือและใบหน้ามีรอยบาดของเศษแก้ว มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สอง คนในจ�ำนวนนี้เป็นเด็ก ผมมองเห็นฟลอราอยู่ไกลๆ เดินตรงไปหาหย่อมเสื้อสเวตเตอร์สีแดง เพลิง ก้มลงพยุงเธอให้ลกุ ขึน้ ยืน ฟลอราเกือบสิน้ สติแล้ว เธอล้มคว�่ำหน้า ฟาดพื้น ลมหายใจแทบจะขาดห้วง ผมอุ้มเธอตรงไปยังช่องเปิด ส่งให้คนที่อยู่นอกเต็นท์ แล้วเดินกลับ เข้ามาภายในอีกครั้ง ดูเหมือนว่าไอเดียเรื่องอุโมงค์จะได้ผล เพราะมีคนยืนต่อแแถว ยก ผ้าเต็นท์เป็นทางออกอีกหลายสายแทนเสากระโจม มีคนอีกสองสามคน เดินตระเวนตรวจดูว่าไม่มีผู้คนใกล้รถบรรทุกม้าถูกกักอยู่ใต้ผ้าเต็นท์ ทุก คนเดินออกไปสูดอากาศภายนอก...เดินได้ หายใจได้ รถบรรทุกม้า... บริเวณนั้นไม่มีใครอยากจะเฉียดไปใกล้ ผมหันหน้าไปหาเพื่อนคนที่ ช่วยสร้างอุโมงค์คนแรก เราสบตากันชัว่ ครู่ และแล้วก็หนั ไปบอกคนอืน่ ๆ ว่า ถ้าไม่ตอ้ งการเข้าไป จะออกไปข้างนอกเสียก็ได้ ผมกับคนอีกสามสีค่ นช่วย กันยกผ้าเต็นท์เป็นอุโมงค์สนั้ ๆ เคลือ่ นเข้าไปยังด้านข้างของรถบรรทุกม้าที่ หันข้างให้ส่วนของเต็นท์ที่ยังยืนตั้งตรงอยู่ คนแรกทีเ่ ราพบเป็นกลุม่ ผูค้ มุ้ กันชาวอาหรับ หากอยูใ่ นสถานการณ์ อื่น ก็คงเป็นเรื่องน่าขัน เพราะในทันทีที่ผ้าเต็นท์ยกสูงปลดปล่อยให้เป็น อิสระ เขาเริม่ ตะโกนโหวกเหวก ดึงปืนกลมือออกจากเสือ้ คลุม กวัดแกว่ง 23
ปืนส่ายปากกระบอกไปมา สิง่ สุดท้ายทีเ่ ราต้องการ ผมคิดในใจ ก็คอื ห่าฝนของลูกตะกัว่ ร้อนๆ ผมคิดในใจว่า ท่านชีกคงจะปลอดภัย เพราะยืนหันหลังให้กำ� แพง ด้านข้างของตัวบ้าน เราพบคนรอดชีวิตอีกสอง เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ใบหน้าซีดขาว เสื้อผ้า ฉีกขาด คนหนึง่ แขนหัก เราพยุงทัง้ สองให้ลกุ ขึน้ ยืน ส่งต่อออกไปภายนอก แล้วมุ่งหน้าลึกเข้าไปภายใน ผมคลานรุดหน้าต่อไป พบเท้าคู่หนึ่ง ปลายเท้าชี้ขึ้นบน จากนั้นก็ เป็นขากางเกง แน่นงิ่ ไม่ไหวติง แม้จะมีเพียงแสงสลัวลอดผ่านผ้าเต็นท์ ก็ ยังพอจดจ�ำได้...กางเกงลายทาง สีน�้ำเงินเข้ม ผมยกผ้ า เต็ น ท์ รุ ก คื บ ต่ อ ไปจนมองเห็ น กระดุ ม ทองเหลื อ ง และ ผ้าเช็ดหน้าไหมปักทีก่ ระเป๋าเสือ้ มือเหวีย่ งออกไปด้านข้างยังคงก�ำแก้วแตก เสีย้ วไว้แน่น เลยสูงขึน้ ไปกว่านัน้ รอยล้อหนาหนักพาดผ่านล�ำคอ ทิง้ ร่อง เลือดพาดเป็นรอยสีแดงแนวยาว ผมปล่อยให้ผ้าเต็นท์ตกคืนกลับที่ ขย้อนในช่องท้องจนแทบกลั้นไว้ ไม่ได้ “ไม่มีประโยชน์” ผมหันไปบอกคนที่อยู่ข้างหลัง “ผมคิดว่าล้อแล่น ทับหัวเขาพอดี ตายสนิทแล้ว” สายตาของเขาเบิ่งค้าง คงไม่แตกต่างไปจากสายตาของผมที่เขามอง เห็น เราเคลือ่ นย้ายไปทางท้ายรถบรรทุกม้า คลานเข่ามุดผ้าเต็นท์หนาหนัก ม้าในรถเหลือกตาขาว ถีบเตะข้างรถและร้องไม่หยุด ตื่นตระหนก สุดชีวิต โดยธรรมชาติแล้ว ม้าจะหวาดกลัวสุดขีดเมื่อได้กลิ่นเลือด จาก สถานการณ์ที่เป็นอยู่ คงไม่มีใครเปิดทางลาดท้ายรถให้ม้าเดินออกมาได้ เราพบอาหรับอีกคนนอนหงายแผ่หรา แขนสองข้างโชกเลือด ปาก พร�่ำสวดมนต์อ้อนวอนพระอัลลาห์ เราดึงเขาขึ้นจากพื้น เมื่อส่งออกไปยัง ที่ปลอดภัยแล้ว จุดที่เราพบเขามีปืนกลวางอยู่บนพื้น 24
“พวกนี้ท่าจะบ้า” เพื่อนร่วมงานของผมออกความเห็น “มีอาวุธครบมือแต่ก็คุ้มครองเจ้านายไม่ได้” ผมตอบ เราสองคนหันมามองหน้ากัน เลยไกลออกไปเป็นร่างของท่านชีก ผ้า โพกศีรษะสีขาวโยงระย้าด้วยฟั่นเชือกสีทอง บัดนี้แดงฉาน หยักผ้าเต็นท์ ที่คลุมทับร่างมีหย่อมเลือดสีแดงกินวงกว้างขึ้นทุกขณะ เพื่อนร่วมทางยุด ข้อมือผมไว้ “ไม่ต้องดูหรอก ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” ผมอดนึกถึงบุรษุ พยาบาลและต�ำรวจทีจ่ ำ� เป็นจะต้องเปิดผ้าชันสูตรศพ ตามหน้าที่ แต่ผมก็ปฏิบัติตามค�ำบอกกล่าวของเพื่อนร่วมทางอย่างว่าง่าย เราคลานเข่าออกไปยังเต็นท์สว่ นทีย่ งั ยืนตระหง่านอยู่ จากนัน้ ก็มดุ อุโมงค์ เข้าไปยังอีกฟากหนึ่งของรถบรรทุกม้า ที่จุดนั้นเองที่เราพบแจ๊กกับจิมมี ทั้งสองยังมีชีพจรเต้นแผ่ว สิ้นสติ ไปทั้งคู่แล้ว และมีเสากระโจมใหญ่พาดทับ เสาหนาหนักทับอยู่บนขา ของแจ๊ก และพาดอยู่บนอกของจิมมี เราไม่พยายามเคลื่อนย้ายเสาใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวของเราคงจะปลุกแจ๊กให้ได้สติ เริ่มส่งเสียงครวญคราง “ห่ะ” เพื่อนร่วมทางของผมสบถออกมาเบาๆ ผมหันไปบอกเขา “ผมจะอยู่ที่นี่ก่อน คุณไปหาอะไรสักอย่างมาค�้ำ ยกผ้าเต็นท์ขึ้น” เขาพยักหน้ารับ คลานหายลับไปจากสายตา ผ้าเต็นท์ หนาหนักห่มคลุมกดทับลงมา ใบหน้าของจิมมีซีดขาว ตาทั้งสองข้างบนจมูกโด่งเป็นสันปิดแน่น เลือดไหลออกมาเป็นสายที่มุมปาก แจ๊กร้องครางต่อไป ผมกางแขนสองข้างพยุงผ้าเต็นท์ให้ยกสูงเหมือน แอตลาสแบกโลกไว้แต่เพียงผู้เดียว อีกไม่นาน เพื่อนร่วมทางของผมก็ ย้อนกลับมา พาผู้ช่วยมาอีกสองคน และโต๊ะอีกตัวเพื่อใช้คำ�้ ยันผ้าเต็นท์ เป็นหลังคาชั่วคราว “เราจะท�ำยังไงดี?” เพื่อนผู้ช่วยสร้างอุโมงค์คนแรกสอบถาม “ช่วยกันยกเสาเต็นท์ขนึ้ ก่อน” ผมบอก “อาจจะท�ำให้แจ๊กเจ็บปวด... 25
แต่จิมมีอาจถึงตายได้” ทุกคนพยักหน้าเห็นพ้อง เราช่วยกันยกเสาออกจากผู้ได้รับบาดเจ็บ ด้วยความระมัดระวังยิ่ง เราวางเสาไว้บนพื้นหญ้า เสียงครางของแจ๊ก ขาดหายไป จิมมีนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ แต่ทั้งสองยังคงหายใจแผ่ว ผม เอือ้ มมือไปแตะชีพจรบนข้อมือทีละคน ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เรายกโต๊ะเตีย้ วางครอบคนทัง้ สองพอให้มที วี่ า่ งให้หายใจได้ เราคลาน ต่อไป พบหญิงสาวคนหนึง่ นอนหงาย มือทัง้ สองข้างยกปิดหน้า กระโปรง ของเธอฉีกขาดรุ่งริ่ง เนื้อจากสะโพกข้างซ้ายจนถึงหัวเข่าขาดหลุดจาก กระดูก ผมยกผ้าเต็นท์ออกจากใบหน้าของเธอ และพบว่าเธอยังได้สติ “สวัสดีครับ” คงไม่มีค�ำทักทายใดดีไปกว่านี้ เธอเหม่อมองผมด้วยสายตาเลือ่ นลอย “เกิดอะไรขึน้ ?” เธอสอบถาม “อุบัติเหตุน่ะครับ” “อ้อ...” เปลือกตาของเธอหรุบต�่ำพร้อมจะหลับใหล ผมแตะปลาย นิ้วบนใบหน้าของเธอ ผิวหน้าเย็นเฉียบ “ผมจะไปยกโต๊ะมาอีกตัว” นักสร้างอุโมงค์คนแรกพูดขึ้น “หาพรมมาสักผืน เนื้อตัวของเธอเย็นเฉียบเลย” เขาพยักหน้ารับ “คงเป็นอาการช็อก” ทัง้ สามคลานจากไป การยก โต๊ะลอดอุโมงค์จ�ำต้องใช้คนอย่างน้อยสามคน ผมหันไปมองขาของหญิงสาว เธอเป็นคนเจ้าเนื้อ เนื้อที่ฉีกหลุดจาก กระดูกเห็นมัดกล้ามเนื้อสีแดงสดแยกจากแผ่นไขมันสีครีมได้อย่างชัดเจน เหมือนหนังสือการแพทย์กางอ้าเปิดให้ศึกษา ผมไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มา ก่อนในชีวติ ก็นา่ แปลกทีบ่ าดแผลไม่มเี ลือดไหลโชกอย่างทีค่ าดว่าจะได้เห็น ร่างกายมนุษย์ปิดการท�ำงานโดยอัตโนมัติ ผมคิดในใจ ซึ่งก็คง อันตรายถึงชีวิตได้พอๆ กับบาดแผลที่ปรากฏ ไม่มที างช่วยเธอได้มากไปกว่านี้ ผมควานเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ดึง มีดพกออกมา ในมีดพกมีกรรไกรอันเล็ก ผมถอนหายใจยาว ถอดเสือ้ เชิรต์ 26
ออกจากตัว ตัดเนื้อผ้าออกให้เหลือเพียงคอเสื้อ และแผงหน้า หากสวม กลับเข้าที่ ก็คงจะดูเหมือนว่าผมยังมีเสื้อสมบูรณ์ทั้งตัว แม้ผมจะรู้สึกว่าดู พิลึกไปหน่อย แต่ก็ตัดจนแล้วเสร็จ เนื้อผ้าที่ตัดออกมาพอจะใช้เป็นผ้าพันแผลชั่วคราวได้ ผมสอดแขน เสือ้ ลอดท่อนขาของเธอ วางตัวเสือ้ ทาบทับก้อนเนือ้ ทีห่ ลุดฉีกออกจากร่าง มัดแขนเสือ้ ให้แน่นประหนึง่ เป็นการเข้าเฝือกเนือ้ ท่อนขา ผมเงยหน้าสังเกต อาการบนใบหน้าของเธอเป็นระยะ แต่ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมกระท�ำลงไป ไม่มผี ลใดๆ ต่อตัวเธอเลย สายตาของเธอยังคงเหม่อลอยไร้ประกาย แขน ของเธอพับวางเหนือศีรษะ อีกไม่นานเธอก็ถามขึน้ มาว่า “ทีน่ ที่ ไี่ หนกัน?” จากนั้นก็เป็น “ฉันไม่เข้าใจเลย” “ไม่เป็นไรแล้ว ท�ำใจให้สบาย” ผมตอบรับ “หือ? จริงหรือ? ดีจังเลย” อุโมงค์เปิดอีกครั้ง พร้อมทั้งโต๊ะเตี้ย พรมผืนย่อม และผ้าเช็ดตัว นักสร้างอุโมงค์คนแรกเอ่ยขึ้น “ผมเอาผ้าเช็ดตัวมาด้วย เผื่อจะใช้ พันแผล...อ้อ คุณจัดการเรียบร้อยแล้ว” เราน�ำเอาผ้าเช็ดตัวพันทับบนบาดแผลอีกชั้น วางโต๊ะครอบร่างของ เธอไว้ คลานต่อไปเพื่อค้นหาผู้บาดเจ็บ แต่ก็ไม่พบผู้ใดอีกที่เราจะช่วย เหลือได้ เราพบสาวเสิร์ฟเสียชีวิตไปแล้ว นอนคว�่ำหน้าบนพื้นทับถาด ของแกล้ม ใบหน้าของเธอซีดขาว เราพบขาของคนอาหรับอีกคน ใต้รถ บรรทุกม้ามีร่างโชกเลือดที่เราไม่อาจจะเอื้อมมือเข้าไปช่วยเหลือได้ถึง...แม้ เราตั้งใจจะท�ำเช่นนั้น ไม่มอี ะไรต้องท�ำอีกต่อไปแล้ว พวกเราทัง้ สีค่ นคลานออกจากผ้าเต็นท์ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไซเรนโหยหวนดัง เคลื่อนมาใกล้ ผมเดินตรงไปหาฟลอรา เธอนั่งบนเก้าอี้ครัวที่มีผู้น�ำออกมาให้ สตรี วัยกลางคนนัง่ เป็นเพือ่ นปลอบประโลม แต่ฟลอรานัง่ หน้าหมอง เหม่อลอย 27
ร่างของเธอสั่นเทิ้ม “แจ๊กปลอดภัย เสากระโจมโค่นทับ ขาอาจจะหัก แต่ก็ไม่เป็น อะไร?” เธอหันหน้ามาจ้อง แต่สายตาที่มองมาไม่มีแววว่าจดจ�ำได้ ผมถอด เสื้อนอกคลุมไหล่เธอ “ฟลอรา แจ๊กยังมีชีวิตอยู่” “ผู้คนทั้งหลาย...แขกที่มาในงาน” เสียงของเธอแผ่วระโหย “คุณ แน่ใจหรือว่าแจ๊กไม่เป็นอะไร?” ไม่มถี อ้ ยค�ำอืน่ ทีจ่ ะปลอบประโลมเธอได้ ผมตอบรับ เอือ้ มมือไปโอบ เธอมากอดไว้แนบอก โยกตัวไปมาเหมือนกล่อมเด็ก เธอเอนศีรษะพิงไหล่ ของผม ตระหนกตกใจสุดชีวิตจนไม่มีน�้ำตาร้องไห้ เหตุการณ์หลากหลายเกิดต่อเนื่อง เวลาเคลื่อนผ่านไปด้วยอัตรา เร็วด่วน แต่ก็ดูเหมือนเข็มนาฬิกาจะไม่กระดิกเคลื่อน ต�ำรวจน�ำเอาเครื่องมือนานาชนิดติดมาด้วย อีกไม่นานนัก ผ้าเต็นท์ ส่วนทีค่ ลุมรถบรรทุกม้าถูกตัดเป็นช่องใหญ่ แผงกัน้ กันสายตาติดตัง้ ขึน้ เพือ่ บดบังภาพน่าอนาถใต้รถบรรทุกม้า แจ๊กได้สติแล้ว นอนบนเปลหาม ได้รับมอร์ฟีนสะกดความเจ็บปวด แจ๊กโวยวายไม่ขาดระยะว่าไม่อาจทอดทิง้ แขกเหรือ่ ทีม่ าในงานไปได้ ไม่อาจ ทิง้ ม้าในคอก และไม่ควรทิง้ ภรรยาให้ดแู ลจัดการเรือ่ งราวทัง้ หมดตามล�ำพัง แม้จะถูกยกขึน้ รถพยาบาลแล้ว แจ๊กก็ยงั ประท้วง เปลของเขาวางเคียงข้าง จิมมี รถพยาบาลเคลื่อนออกจากที่ แขกกระซิบคุยกันเป็นกลุม่ บ้างก็เดินเข้าไปชุมนุมกันในครัว ส่วนหนึง่ นั่ ง พิ ง รถยนต์ อี ก กลุ ่ ม ก็ อ ยากกลั บ บ้ า น เสียงโทรศัพท์ติดต่อเซ็งแซ่ รายงานเรือ่ งการเสียชีวติ ของชีก ต�ำรวจในเครือ่ งแบบแจ้งให้ทกุ คนทราบว่า ยังไม่สามารถปล่อยให้ใครกลับบ้านไปได้จนกว่าคณะผูส้ อบสวนจะเดินทาง มาสอบปากค�ำแล้วเสร็จเสียก่อน วุน่ วายไปไร้ประโยชน์ ผมคิดในใจ ไม่มใี ครแน่ใจยืนยันได้วา่ ชีกยืนอยู่ 28
ทีใ่ ดในตอนทีเ่ กิดเหตุ ไม่มใี ครสามารถเล็งรถบรรทุกม้าให้ตรงต�ำแหน่งทีช่ กี ยืนอยู่ หากมีเจตนาจะสังหารชีก ห้ามล้อของรถบรรทุกม้าคงจะถูกปลด รถบรรทุกม้าแล่นลงมาตามเนินเขา...เลือกเหยื่อผู้เสียชีวิตได้ไม่ต่างไปจาก แผ่นดินไหว สามีภรรยาเจ้าของรถบรรทุกม้าผู้ขับรถคันนั้นมาจอดบนเนินเขา น�ำ้ ตาไหลอาบสองแก้ม ผูเ้ ป็นสามีพร�ำ่ พูดซ�ำ้ ไม่ขาดปาก “ผมใส่เกียร์คา้ งไว้ และดึงห้ามล้อขึน้ เรียบร้อย ผมแน่ใจว่าท�ำเช่นนัน้ ...ไม่เคยลืม ระวังเรือ่ งนี้ ทุกครัง้ เรือ่ งนีเ้ กิดขึน้ ได้อย่างไร? เกิดขึน้ ได้อย่างไร?” ต�ำรวจในเครือ่ งแบบ ผู้จดค�ำให้การไม่ได้มีความเห็นใจในแววตา ผมเดินกลับไปยังรถแวน แชมเปญลังที่ห้าที่วางอยู่นอกรถ ลังที่หก และเจ็ดที่ยังอยู่ใต้ถุงน�้ำแข็งหายไปแล้ว เหล้ายินและวิสกี้ที่น�ำมาส�ำรอง วางไว้ที่เบาะหน้าหายไปด้วย เลวไม่มีที่ติ ผมคิดในใจ ยักไหล่ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ยังมีโจรกรรม เกิดขึน้ ได้อกี พฤติกรรมด้านมืดของมนุษย์ คนพวกนีไ้ ม่มหี วั ใจเลยหรือไร? หากให้ผมแจกจ่ายให้เปล่า ก็คงจะสบายใจยิ่งไปกว่าการถูกขโมย ฟลอราเอนหลังอยูใ่ นบ้าน มีคนถือเสือ้ นอกกลับมาคืนให้ผม ผมสังเกต เห็นว่ามีหย่อมเลือดติดปลายแขนเสื้อ เลือดเปื้อนบนแขนเสื้อสเวตเตอร์ ...เลือดแห้งกรังบนฝ่ามือทั้งสองข้าง รถตีนตะขาบแล่นลงเนินอย่างเชื่องช้า เมื่อถึงที่หมาย ใช้เคเบิลเส้น ใหญ่ยกรถบรรทุกม้าสีเขียวลอยขึ้นจากพื้น ลอยนิ่งเพียงอึดใจเดียว ก็ยก ขึ้นสูง แล้วหมุนวางรถบรรทุกม้าลงบนพื้นสนามห่างออกไป ม้าในรถยังคงเตะตัวถังข้างรถเป็นระยะ ท้ายที่สุด ประตูท้าย เปิด ลงเป็นทางลาด เด็กคอกม้าของแจ๊กจูงม้าออกจากรถ ประตูท้ายปิดกลับ อีกครั้ง ต�ำรวจในเครื่องแบบสองนายยืนประจ�ำที่คุ้มกันหลักฐานส�ำคัญ คนอีกกลุ่มใหญ่ยืนนิ่ง รอคอย สายตาเบิ่งจ้องแผงกั้นด้วยความหวัง ไม่มใี ครส่งเสียงพูดคุย ทุกคนรอคอย ต้องรูค้ วามจริงให้ได้วา่ ญาติทหี่ ายไป 29
ยังปลอดภัยหรือเสียชีวิตไปแล้ว ทุกใบหน้าไร้น�้ำตา แววตาเหม่อลอยยัง ประจุด้วยความหวัง รถบรรทุกม้าน�้ำหนักกว่าห้าตันแล่นลงเนินพุ่งเข้าไป ในฝูงชนแออัด แต่พวกเขาก็ยังไม่ละทิ้งความหวัง หนึ่งในจ�ำนวนนั้นหันหน้ามาเห็นผม เขาเดินตรงเข้ามาหา ซวนเซ แทบจะล้มคว�่ำประหนึ่งว่าขาทั้งสองข้างยังไม่ยอมรับค�ำสั่ง เสื้อยืดสกปรก กางเกงยีน ท่าทางไม่ได้เหมือนแขกที่มาในงานเลี้ยง น่าจะเป็นคนงานใน คอกม้าของแจ๊ก “คุณเข้าไปข้างในใช่ไหม? คุณเป็นคนน�ำเครื่องดื่มมาจัดงาน? มีคน บอกผมว่าคุณเป็นคนเข้าไปในนัน้ ...” เขาบุย้ ปากไปทางแผงกัน้ “คุณเห็น ภรรยาของผมไหม? เธออยู่ข้างในหรือไม่? อยู่ไหม?” “ไม่รู้สิครับ” “เธอเป็นคนแบกถาดเสิร์ฟ ถาดเครื่องดื่ม ของแกล้ม เธอชอบงาน เช่นนี้...ได้พบเห็นผู้คนมากดี” หนึง่ ในกลุม่ สาวเสิรฟ์ เขาคงสังเกตเห็นอาการผิดปกติบนใบหน้าของ ผม เขาแปลความหมายได้ในทันที “เธออยู่ในนั้น?” เขากระหืดกระหอบถาม ผมไม่ตอบ เขาเล่าต่อ ไปด้วยเสียงภาคภูมิใจเจือระคนกับความเศร้าสร้อย “เธอสวยมากรู้ไหม? สวยมาก” ผมผงกศีรษะรับ “เธอหน้าตาดีมาก” “ไม่นะ...” ความทุกข์ประจุแน่นในใจ หลั่งไหลออกมาเป็นเสียง คร�่ำครวญ “ไม่...” ผมละล�่ำละลักปลอบโยน “ภรรยาของผมก็เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อไม่ นานมานี้ ผมรู้ดีว่า...ผม...ผมเสียใจด้วย” เขาเหม่อจ้องหน้าผมด้วยตาไร้แวว หันกลับไปรวมกลุ่ม ยืนจ้องแผง กัน้ ต่อไป ผมรูส้ กึ เหมือนคนไร้คา่ ไม่สามารถท�ำประโยชน์ให้ใครได้อกี แล้ว ความสงสารเอ่อท้นท่วมใจ 30
รถบรรทุกม้าแล่นลงเนินฝ่าเข้าไปในฝูงชนในเวลาบ่ายโมงครึง่ คณะผู้ สอบสวนใช้เวลาอีกนาน ก่อนจะปล่อยให้แขกแยกย้ายกันกลับบ้านในราว ห้าโมงเย็น ต�ำรวจประกาศให้ทราบทั่วกันว่าทุกคนกลับบ้านได้ แต่ขอให้ ชะลอรถที่ด่านตรวจ แจ้งชื่อลงไว้เป็นหลักฐาน แขกที่เคยหัวร่อต่อกระซิกในเครื่องแต่งกายงดงามเดินลงจากเนิน เขา บัดนี้กลายเป็นกลุ่มคนเหนื่อยล้า หิวโหย รุ่งริ่งไปทั้งตัว หลายคนมี ผ้าพันแผล เดินโซเซปีนไต่กลับขึ้นเนินเป็นแถวยาวเหยียด...เหมือนคน อพยพ ผมคิดในใจ เหมือนถูกขับไล่ให้ทิ้งถิ่นฐานเดิมเดินทางไปสู่อนาคต มืดมน อีกเพียงไม่กี่อึดใจ เสียงสตาร์ตรถดังกระหึ่มประสานกันเป็นเสียง เดียว ล้อรถเคลื่อนออกจากลานจอดทีละคันสองคัน ปลายนิ้วเอื้อมมาแตะที่ข้อศอก นักสร้างอุโมงค์คนแรกนั่นเอง ชาย ร่างสูง วัยกลางคน มีผมขาวแซมที่ตีนผม สายตาเจิดจ้าแสดงถึงพลังมัน สมองภายใน “คุณชื่ออะไรครับ?” “โทนี บีช” ผมตอบ “แม็กเกรเกอร์...เจอร์ราด แม็กเกรเกอร์ครับ” เสียงนัน้ ไร้ส�ำเนียงถิน่ แต่ก็ยังเหลือเค้าว่าเป็นคนสก็อต เขายื่นมือออกมาสัมผัสมือกับผม “ยินดี ที่ได้รู้จัก” เรายิ้มให้กัน ตอบรับประสบการณ์ร่วมกันที่เพิ่งจะผ่านมา เขาละ จากไป หันไปโอบไหล่สตรีหน้าตาดีวัยกลางคน ผมมองตามหลังมองคน ทั้งสองเดินผ่านประตูรั้วเตี้ยๆ คนน่าคบ ผมคิดในใจ ความคิดสะดุดอยู่ เพียงแค่นั้น ผมย้อนกลับเข้าไปในบ้านเพื่อดูว่าจะมีอะไรอย่างอื่นที่พอจะช่วย ฟลอราได้กอ่ นผมจะกลับ ในบ้านทีเ่ คยเป็นระเบียบกลายเป็นซากปรักหักพัง เหมือนลมสลาตันเพิ่งพัดผ่าน ถ้วยแก้วจานรองทุกใบหลุดออกจากตู้เก็บ มาใช้งาน ขวดทุกขวดในถาดเหล้าว่างเปล่าเหือดแห้ง ที่เขี่ยบุหรี่พูนสูง 31
จนทะลักล้น เศษอาหารกระจายเกลื่อนบนจานทุกใบ เบาะพิงถูกบดทับ จนบี้แบน ในครัวก็มีสภาพไม่ต่างจากฝูงตั๊กแตนเคลื่อนผ่าน แขกเหรื่อที่ไม่มี อาหารเที่ยงตกถึงท้อง กินทุกอย่างที่หาได้ในครัว กระป๋องซุบอัดแน่น ในถังขยะ เปลือกไข่กองพูนในอ่างล้างจาน ซากไก่ถูกแทะกระดูกจน เกลี้ยงเกลา ถุงขนมปังกรอบขย�ำเป็นก้อนบนพื้น ของที่กินได้หายไปจาก ตู้เย็น หม้อสกปรกวางเกลื่อนบนเตาไฟ เสียงอุทานเบาๆ ดังมาจากประตู ผมหันกลับไป มองเห็นฟลอรา ใบหน้าของเธอยังหมอง มีรอยหยักย่นเป็นริ้วรับกับเสื้อสเวตเตอร์สีแดง เพลิง ผมผายมือไปทางขยะเกลือ่ นในห้องครัว เธอหันมองตามด้วยใบหน้า เรียบเฉย “ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาต้องหาอะไรรองท้อง” “ผมจะช่วยเก็บ” “ไม่ต้องหรอก รอถึงพรุ่งนี้ได้” เธอเดินลากเท้าเข้ามาในห้องครัว ทรุดตัวลงนั่งกองบนเก้าอี้ไม้ “ช่างมันเถอะ ฉันเป็นคนบอกให้พวกเขาหา อะไรกินกันเอง” “แต่ก็น่าจะเก็บกวาดให้เรียบร้อย?” “คุณยังรู้จักผู้คนในวงการม้าแข่งน้อยเกินไป” “ถ้าอย่างนั้น มีอะไรให้ผมช่วยได้ไหม?” “ไม่...ไม่มีอะไรแล้ว” เธอถอนหายใจยาว “คุณรู้ไหมว่าตายกันไปกี่ คน?” เสียงของเธอเหนื่อยล้า ไร้ชีวิตชีวา พลังทุกอณูในร่างเหือดหายไป พร้อมกับความสยดสยอง ผมสัน่ ศีรษะ “ชีกกับผูค้ มุ้ กันคนหนึง่ ลาร์รี เทรนต์ แล้วก็สาวเสิรฟ์ ภรรยาของเด็กคอกม้าของคุณคนหนึ่ง แล้วก็อีกหลายคนที่ผมไม่รู้จัก” “คงไม่มีเจนีย์นะ?” “ไม่รู้สิครับ” 32
“สาวรุ่น หน้าสวย เพิ่งจะแต่งงานกับทอม วิกเก็นส์เมื่อฤดูร้อนที่ ผ่านมานี้เอง คงไม่ใช่เธอ” “คงจะใช่นะครับ” “ตายแล้ว...” ฟลอราอุทานออกมา ใบหน้าซีดขาวยิ่งไปกว่าเดิม “ฉันไม่แคร์หรอกว่าท่านชีกคนนัน้ จะตายดับไป แม้จะฟังดูนา่ เกลียดก็เถอะ เราอาจจะเสียม้าของเขาไปจากคอกของเรา ฉันเพิ่งจะรู้จักท่านชีกได้ไม่กี่ ชั่วโมง ฉันไม่แคร์ แต่เจนีย์...” “ผมคิดว่าคุณพอจะช่วยปลอบใจทอม วิกเก็นส์ได้” เธอจ้องหน้าผมนิ่งชั่วอึดใจใหญ่ ลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องเข้า ไปในสวน จากหน้าต่างห้องครัว ผมเห็นฟลอราเดินตรงไปหาชายใน กางเกงยีนและเสือ้ ยืดสกปรกคนนัน้ เธอยกมือโอบกอดชายผูน้ นั้ เขาตอบ รับด้วยความตื้นตันใจยิ่ง ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าระหว่างคนทั้งสอง ใคร จะเป็นผู้ที่ปลดความอึดอัดขัดข้องใจให้พ้นอกไปได้ ผมเก็บขยะชิ้นโตอัดลงไปในถุงขยะ ทิ้งที่เหลือไว้ตามที่เธอบอก ผม เดินกลับไปที่รถแวน และพบต�ำรวจหนุ่มอยู่ข้างกายในตอนที่เปิดประตูรถ “ขออภัยด้วยครับ” เขาเอ่ยทักทาย ปากกาและสมุดพกพร้อมใช้งาน “มีอะไรหรือ?” “ขอชื่อด้วยครับ” ผมให้ทั้งชื่อ นามสกุล และที่อยู่ เขาจดบันทึกลงไป “คุณอยู่ที่ไหนตอนที่เกิดเหตุ?” เกิดเหตุ? พระเจ้าเป็นพยานเถอะ “ผมไม่ได้อยู่ในเต็นท์ ผมยืนอยู่หลังรถแวนนี่เอง” “โอ...” ตาของเขาเบิกกว้าง “รอที่นี่สักครู่ได้ไหมครับ?” เขาผละ จากไป เดินไปพูดคุยกับชายนอกเครื่องแบบ ชายผู้นั้นเดินตรงมาหาผม ไหล่งองุ้ม “คุณ...เอ้อ...บีช?” ชายวัยกลางคน ร่างไม่สูงใหญ่นัก ไม่มีทีท่า 33
คุกคาม ผมพยักหน้ารับ “คุณอยู่นอกเต็นท์ในตอนเกิดเหตุ?” “ใช่ครับ” “จะเป็นไปได้ไหมว่า...คุณมองเห็นรถบรรทุกม้าในตอนที่แล่นลง เนินมา?” เขาเปล่งเสียงเชื่องช้า เน้นน�้ำหนักแต่ละพยางค์ชัดถ้อยชัดค�ำ ประหนึ่งว่าก�ำลังพูดเพื่อให้คนอ่านริมฝีปากท�ำความเข้าใจได้ ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง เขาครางออกมาด้วยความพอใจ เหมือนค�ำ ตอบรับนั้นเป็นค�ำเฉลยปริศนาที่เขาค้นหาอยู่เป็นนาน รอยยิ้มปรากฏบน ใบหน้า เขาชวนผมเข้าไปนัง่ คุยกันในบ้าน(อุน่ สบายกว่ายืนคุยกันข้างนอก) ต�ำรวจในเครื่องแบบเดินตามหลังเพื่อจดบันทึก ผมนั่งตอบค�ำถามเป็นชุดในซากปรักหักพังของห้องรับแขก เขาแจ้งให้ทราบว่า เขาชื่อ วิลสัน เขาผิดหวังอย่างยิ่งที่ผมไม่ได้เห็น รถบรรทุกม้าเริม่ ไหลเลือ่ นลงเนิน และผิดหวังซ�ำ้ อีกครัง้ ทีผ่ มไม่ได้เห็นคนอยู่ ใกล้รถบรรทุกม้าก่อนจะแล่นลงเนิน “สิง่ หนึง่ ทีผ่ มกล้ายืนยัน...” ผมให้การ “รถยนต์ทมี่ าในงานไม่ได้จอด ในต�ำแหน่งทีม่ กี ารก�ำหนดไว้ลว่ งหน้า ผมเห็นรถจ�ำนวนหนึง่ แล่นมาบนเนิน เขา รถบรรทุกม้าอยูใ่ นแถวนัน้ ด้วย รถคันไหนมาก่อน ก็จอดก่อน อยูใ่ น ล�ำดับตามการมาถึง” ผมนิง่ ไปชัว่ ครูก่ อ่ นจะกล่าวต่อ “...ชีกมาถึงงานก่อน แขกคนอืน่ ๆ เกือบชัว่ โมง เพราะเหตุนเี้ องรถเบนซ์ของชีกจึงเป็นคันแรกใน แถวจอด เมื่อมาถึงงาน ชีกเดินไปดูรอบๆ บ้าน เดินไปดูม้าในคอก เมื่อ แขกกลุม่ หนึง่ มาถึง ชีกกลับเข้ามาในเต็นท์ ไม่มใี ครชวนเขาเดินไปให้ไปอยู่ ในต�ำแหน่งเฉพาะเจาะจง ผมอยูใ่ นเต็นท์ตอนทีช่ กี มาถึง เขาเดินคุยกับแจ๊ก ฮอว์ธอร์น และจิมมี...เลขานุการของแจ๊กน่ะครับ อาจเป็นเหตุบงั เอิญก็ได้ ทีช่ กี ยืนอยูท่ จี่ ดุ นัน้ อ๋อ แน่นอนทีส่ ดุ ชีกไม่ได้ปกั หลักยืนอยูท่ เี่ ดียวตลอด เวลา เขาน่าจะเดินย้ายไปย้ายมาในเวลากว่าชั่วโมงก่อนเกิดเรื่อง” 34
เงียบไปครู่ใหญ่ วิลสันหันไปถามต�ำรวจว่าจดบันทึกแล้ว “ครับผม” “จากชื่อข้างรถแวนของคุณ คุณเป็นพ่อค้าไวน์ใช่ไหม คุณบีช? คุณ เป็นผู้จัดเครื่องดื่มส�ำหรับงานเลี้ยงครั้งนี้?” “ใช่ครับ” ผมผงกศีรษะรับ “คุณเป็นคนช่างสังเกต...” เสียงของเขาไร้ความรู้สึก หากจะเจืออยู่ บ้างก็คงเป็นความกังขา “อืม...” “คุณบีช พอจะบอกได้ไหมว่าแขกคนอืน่ ยืนอยูใ่ นต�ำแหน่งไหนบ้าง?” “บางคนก็ได้ คนทัว่ ไปจะสังเกตเห็นชีกเป็นอันดับแรก ในงานจัดเลีย้ ง ของผม ผมมักจะสังเกตทีย่ นื ของผูค้ นก�ำหนดไว้ให้มนั่ เช่น เจ้าภาพ เผือ่ ว่าเขามีอะไรจะเรียกใช้ผมเป็นพิเศษ” วิลสันจ้องหน้าผมนิ่งโดยไม่ได้เสนอความเห็นใด จากนั้นก็สอบถาม “ชีกดื่มอะไร?” “น�้ำส้มคั้นผสมน�้ำแร่และน�้ำแข็ง” “แล้วผู้คุ้มกัน?” “คนหนึ่งดื่มน�้ำมะนาว อีกสองดื่มโคคาโคลา” “จดลงไปหรือยังจ่า?” “ครับผม” วิลสันเพ่งมองปลายเท้าของตนเองอยูน่ าน สูดลมหายใจยาวเข้าปอด ประหนึ่งว่าตัดสินใจลงความเห็นได้แล้ว “ผมจะบรรยายเสื้อผ้า คุณพอจะบอกได้ไหมว่าใครเป็นผู้สวมเสื้อผ้า ชุดนี้” “ถ้ารู้จักก็บอกได้ครับ” “เสื้อนอกลายทาง สีน�้ำเงินเข้ม?...” 35
ผมนิ่งรับฟังค�ำบรรยายจนแน่ใจ “ลาร์รี เทรนต์ เป็นเจ้าของม้า จ�ำนวนหนึ่งในคอกของแจ๊ก เขามีภัตตาคาร...ภัตตาคารซิลเวอร์มูนดานซ์ ใกล้เมืองเรดดิง” “จดลงไปหรือยังจ่า?” “ครับผม” “อ้อ คุณบีช ยังมีอีก กระโปรงลูกฟูกสีน�้ำเงิน เสื้อขนสัตว์สีฟ้า สวมสร้อยไข่มุก และต่างหูมุก?” ผมเค้นสมองครุ่นคิด วิลสันกล่าวต่อไปว่า “กางเกงขนสัตว์สเี ขียวเข้ม สเวตเตอร์สมี ะกอก สวมทับเชิร์ตสีมัสตาร์ด เนกไทสีน�้ำตาลมีริ้วสีมัสตาร์ด...” “โอ...” “คุณรู้จักเขาหรือ?” “ทั้งคู่เลยครับ ผู้การและมิสซิสฟูลแลม คุยกันชั่วครู่ ทั้งสองเป็น ลูกค้าประจ�ำที่ร้าน” “หมดแล้วครับ คุณบีช ไม่มีใครอื่นอีก ที่เหลือมีผู้ชี้ตัวได้ครบถ้วน” ผมกลืนน�้ำลายลงคอ “ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ?” “ทั้งหมด? แปดคน ที่จริงน่าจะเลวร้ายกว่านี้ น่าจะมากกว่านี้อีก เยอะ” วิลสันลุกขึ้นยืน สัมผัสมือผมพลางกล่าวว่า “อาจมีการไต่สวน ทางการเมืองเพิ่มเติมอีก ผมยังไม่ยืนยันว่าจะมีการสอบปากค�ำเพิ่มเติม แค่ไหน ผมจะน�ำค�ำให้การทั้งหมดน�ำเสนอในรายงาน ขอบคุณมากครับ คุณบีช” วิลสันเดินไหล่งองุ้มออกจากห้อง จ่าในเครื่องแบบเดินตามหลัง ผม เดินตามออกไปสู่สนามหญ้า ความมืดโรยตัวลงมาเป็นม่านบาง แสงไฟสว่างจ้าฉายจับเป็นจุด แผงกั้ น กั น สายตาปลดเก็ บ ไปแล้ ว รถพยาบาลสองคันถอยหลัง ผ่านแนวรั้วกุหลาบที่รถบรรทุกม้าไถแหวกเป็นทาง เปลสนามเจ็ดเปลมี 36
ผ้าเปื้อนเลือดห่มคลุมแยกวางเป็นแถว เปลที่แปดแยกจากกลุ่ม เปลนั้น น่าจะเป็นชีกผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้คุ้มกันยืนที่หัวเปลและท้ายเปล ยังคงคุ้ม กันเจ้าชายของตนอย่างซื่อสัตย์ ในความมืดสลัวของยามย�่ำสนธยา กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตยังยืนนิ่ง ความหวังสิ้นไปแล้ว ไม่มีใครส่งเสียงพูดคุย สายตาจับจ้องมองเปลทั้งเจ็ด ที่ถูกล�ำเลียงขึ้นรถพยาบาล ฟลอรายืนรวมอยู่ในกลุ่มนั้น ผมเดินกลับไป ที่รถแวน นั่งนิ่งประจ�ำที่คนขับอยู่เป็นนาน จนกระทั่งรถเคลื่อนไปหมด สิ้นแล้ว บนสนามเหลือแต่เพียงเปลของชีก...เจ้าชายจากตะวันออกกลาง ที่ยังด�ำรงศักดิ์สูงสง่า โดดเด่นเหนือสามัญชนแม้ยามสิ้นใจ รอคอยขบวน เกียรติยศขนพระศพ ผมเปิดไฟหน้า บิดกุญแจสตาร์ตเครื่อง แล่นรถตามหลังรถพยาบาล ทั้งสองบนถนนเนินเขา มุ่งหน้ากลับบ้าน บ้านมืดมิด บ้านว่างเปล่า ผมเปิดกุญแจบ้านเข้าไปในความมืด เดินขึน้ ชัน้ บน เปลือ้ งเสือ้ ผ้า แต่ เมื่อเดินผ่านห้องนอน ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยไม่เปิดไฟ จากความเหนือ่ ยล้า ความตระหนกตกใจกลัว ความสงสาร และจาก ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวและความทุกข์เศร้าล้นใจ...ผมร�่ำไห้
37