Reflex

Page 1




รางวัล Edgar Allen Poe Mystery Prize for 1981

ปริศนาหลังภาพ Reflex Dick Francis เขียน นพดล เวชสวัสดิ์ แปล


1

จุกเสียด มึนงง ไอจนตัวโยน ผมนอนทิ้งน�้ำหนักตัวบนศอกข้างหนึ่ง ถ่มโคลนดินและเศษหญ้าออกจากปาก ม้าที่ผมขี่หยัดตัวลุกขึ้นยืน พา น�้ำหนักตัวยกไปจากข้อเท้าของผม ยืนโงนเงนโซเซครู่เดียวก็ออกวิ่งเหยาะ จากไป ผมนอนนิง่ รอคอยให้โลกคมชัด อกกระเพื่อมหอบหายใจ กระดูก ทัว่ ร่างยังลัน่ เปรียะจากแรงกระแทก สมดุลในหูชนั้ ในเริม่ คืนกลับเข้าทีจ่ าก การตีลงั กาหลายม้วน หล่นมากระแทกพืน้ เห็นดาวระยิบระยับ ไม่บาดเจ็บ ไม่มีชิ้นส่วนใดหัก…ก็แค่การหล่นจากหลังม้าอีกหน เวลาและสถานที่ : รั้วหมายเลขสิบหก การแข่งม้ากระโดดข้าม เครื่องกีดขวางระยะทางสามไมล์ สนามแข่งแซนด์ดาวน์พาร์ก วันศุกร์ เดือนพฤศจิกายน ฟ้าสลัว ฝนฝอยละเอียดโปรยปรายเป็นหมอกขาว เมือ่ ลมหายใจเป็นปกติ พลังงานคืนกลับมาในอณูเนื้อเยื่อ ผมลุกขึ้นยืนช้าๆ ความคิดหนึ่งเดียวที่แล่นเข้ามาในหัวก็คือ ช่างเป็นเรื่องงี่เง่าเหลือเกินที่ ชายวัยฉกรรจ์จะต้องมาใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ ความคิดนั้นกระตุกผมให้สะดุ้งวาบ มิใช่หนแรกที่ผมคิดเช่นนี้ การ 3


ขี่ม้าเร่งให้เร็วสุดฝีเท้า กระโจนข้ามเครื่องกีดขวางเป็นเรื่องเดียวที่ผมรู้จัก เป็นหนทางเดียวในการท�ำมาหากินเลีย้ งปากท้อง งานอาชีพทีไ่ ม่นา่ จะมีใคร ท�ำได้ถ้าไม่ทุ่มเทหัวใจและวิญญาณทั้งมวล ความหนาวเหน็บที่แล่นวาบ ผ่านไขสันหลัง ไม่ต่างไปจากความเสียววูบปวดแปลบของอาการปวดฟัน ไม่คาดคิด ไม่อยากให้เกิด แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยชี้ให้เห็นถึงความ เจ็บปวดทรมานที่ก�ำลังจะตามมา ผมกดข่มความคิดนั้น ย�้ำเตือนตนเองอีกครั้งว่าผมชื่นชอบชีวิตบน หลังม้า ชอบเหมือนที่เคยหลงใหลมานานแสนนาน เตือนตนเองให้เชื่อว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นเพียงแค่อากาศเลวร้าย สี่เท้ายังรู้พลาด ตกโหม่ง กระแทกพื้น ชวดโอกาสได้ชัยชนะ เรื่องเล็กน้อย แค่งานธรรมดาสามัญ ในชีวิตประจ�ำวัน…อีกวัน ผมกัดฟันเอนตัวเดินไต่ขึ้นเนิน มุ่งหน้าตรงไปยังอัฒจันทร์ รองเท้า บู๊ตขี่ม้าบางเฉียบเหมือนแผ่นกระดาษ ไม่เหมาะนักส�ำหรับการเดิน ผม ล้างความคิดทั้งมวล ทุ่มเทไปยังม้าตัวที่ขี่ เรียบเรียงค�ำพูดที่จะบอกแก่ ผู้ฝึกม้า…และค�ำพูดที่จะไม่ยอมให้หลุดออกจากปาก ไม่ว่าจะเป็น “คุณ จะให้ผมดึงมันกระโดดข้ามรั้วได้ยังไงถ้าไม่ฝึกให้ดเี สียก่อน” น่าจะใช้ค�ำว่า “ประสบการณ์จะสอนมันเอง” ตัดค�ำว่า “ไอ้ขตี้ นื่ หัวแข็ง ไอ้มา้ ขีเ้ รือ้ น” ทิ้งไปเสีย จะใช้อะไรแทนที่ดี? อ้อ “น่าจะลองส่งวิ่งทางเรียบนะครับ” ป่วยการ เมื่อใดที่ม้ากระโดดไม่ข้ามเครื่องกีดขวาง ผู้ฝึกม้าจะกล่าว โทษจ๊อกกี้เสมอ จะบอกเจ้าของม้าว่าจ๊อกกี้กะระยะผิด ไม่พลาดอยู่แล้ว ส�ำหรับผู้ฝึกม้าคนนี้…เครื่องตกเมื่อไหร่ ความผิดของนักบินเสมอ ผมอดไม่ได้ที่จะขอบคุณสวรรค์ที่ผมไม่ได้ขี่ให้คอกม้าแห่งนี้บ่อยนัก จ�ำเป็นต้องเป็นมวยแทนเมื่อสตีฟ มิลเลซ จ๊อกกี้ประจ�ำ ขอลาหยุดเพื่อ ไปงานศพพ่อ งานจรไม่น่าจะบอกปัดเร็วนัก แม้จะเห็นเค้าความยุ่งยากตั้งแต่แรก เริ่มก็ตามที ไม่ควรปฏิเสธถ้าต้องการเงินพิเศษอีกก้อน ซึ่งผมก็ต้องการ 4


เงินก้อนนี้ ไม่วา่ จะเป็นใครก็ตาม จ๊อกกี้ทุกคนต่างก็ต้องการชื่อขึ้นป้ายให้ บ่อยครั้งมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อแสดงว่ามีฝีมือ มีค่า…และเป็นคน วงใน เรื่องดีเรื่องเดียวที่ท�ำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้ การหกคะเมนไม่เป็นท่า ของผมวันนี้ ไม่มีจอร์จ มิลเลซ พ่อของสตีฟคอยบันทึกภาพ จอร์จ มิลเลซ ช่างภาพไร้น�้ำใจที่บรรดาจ๊อกกี้ไม่อยากให้เฉียดกรายเข้าไปใกล้ จอร์จ มิลเลซนอนสงบในโลงไม้ หลับใหลไม่รู้ตื่นแล้ว แผ่นดินจะได้สูง ขึ้นอีกหน่อย ผมอดคิดเหี้ยมเกรียมในใจไม่ได้ ลาก่อนรอยยิ้มแสยะสะใจ เมื่อจอร์จ มิลเลซน�ำหลักฐานภาพถ่ายมามอบให้ผู้ฝึกม้าได้เห็นถนัดตาว่า จ๊อกกี้ผิดพลาดที่จุดไหน ลาก่อนกล้องติดมอเตอร์ที่บันทึกภาพสามเฟรม ครึ่งต่อวินาที เก็บภาพตีลังกาขาชี้ฟ้า แขนกวัดแกว่งแหวกอากาศ และ หน้าทิ่มลงไปในโคลน ช่างภาพกีฬาคนอืน่ ๆ ยังให้ความเป็นธรรมเป็นครัง้ คราว กดชัตเตอร์ ยิงภาพในยามที่ขึ้นรับถ้วยรางวัล จอร์จผูกขาดเฉพาะกาละและเทศะแห่ง ความอับอายขายหน้าโดยเฉพาะ จอร์จน่าจะเกิดมาพร้อมกับมีดโกนในมือ ตลอดชีวิตไม่เคยรีรอที่จะกรีดหรือถาก…คนอื่นให้เลือดสาด หนังสือพิมพ์ อาจจะร�่ำไห้เสียดายภาพเพี้ยนสวยๆ ที่ผู้อ่านจะหัวร่อคิกคัก ไม่เลย ใน ห้องเปลีย่ นเสือ้ ผ้าจ๊อกกี้ ไม่มคี วามเศร้าโศกแม้แต่นอ้ ยเมือ่ สตีฟแจ้งให้ทราบ ว่าพ่อของเขาเสียชีวิต เพื่อนๆ จ๊อกกี้ชื่นชอบสตีฟ ไม่มีใครแสดงความเสียใจ สตีฟได้ยิน แต่เพียงเสียงตอบรับเงียบสงัดและเข้าใจความหมายได้อย่างเต็มเปีย่ ม สตีฟ เถียงแทนพ่อมานานหลายปี เขาทราบดี การเดินย�่ำเท้าฝ่าสายฝน ให้ความรู้สึกแปลกๆ แต่นี้ต่อไปจะไม่มี จอร์จ มิลเลซ อีกแล้วหรือ? ไม่มีภาพคุ้นตา ภาพที่ยังแจ่มชัดในใจ ตา สดใสฉายแววฉลาดเจิดจ้า จมูกยาว หนวดเฟิ้ม มุมปากหักหยักแสยะยิ้ม อยู่เป็นนิจ ช่างภาพมือเยี่ยม ไม่มีใครปฏิเสธในข้อนี้ จอร์จ มิลเลซ มี 5


สังหรณ์พิเศษ สดับสถานการณ์และเวลาอันเหมาะสม เลนส์กล้องหันไป ถูกทิศทันเวลาเสมอ ตัวตลก…ตลกร้ายในทุกโอกาสที่เปิดให้ เขาน�ำ ภาพถ่ายมามอบให้ผม ภาพบันทึกเหตุการณ์ในสัปดาห์ทผี่ า่ นมา ภาพขาวด�ำ มันวับ หน้าของผมทิม่ ปักลงในโคลน ก้นชีฟ้ า้ แขนขาเหวีย่ งไปคนละทาง ข้างหลังภาพเขียนบรรยายไว้ว่า “ฟิลิป นอร์ โค้งค�ำนับตั๊กแตน” ใคร ได้เห็นก็คงกลัน้ รอยยิม้ ไม่ได้ ใครได้เห็นภาพไม่อาจปฏิเสธความคมชัดและ ความฉับไว จอร์จ มิลเลซเป็นมนุษย์ประเภททีจ่ ะโยนเปลือกกล้วยลงกลาง ทางเดิน กล้องกระชับในมือ รอพร้อมที่จะเก็บภาพการตีลังกาสามตลบ จอร์จ มิลเลซผูล้ ว่ งลับไปแล้ว…ไปเสียได้กด็ ี ไม่มใี ครอยากจะสละน�ำ้ ตาให้ เมื่อผมเดินมาถึงระเบียงหลังคาคลุมของห้องชั่งน�้ำหนัก ผู้ฝึกม้าและ เจ้าของยืนรออยู่แล้ว ประกายตากล่าวโทษดั่งคาด “กะระยะพลาดไปสินะ” ผู้ฝึกม้าตะคอกเข้าใส่ “ม้ากระโดดเร็วไปหน่อย” “หน้าที่ของแก จะต้องคุมมันให้อยู่ ไม่ใช่หรือ?” ป่วยการที่จะโต้แย้ง ไม่มีจ๊อกกี้คนใดในโลกที่จะบังคับควบคุมทุก ก้าวย่างของม้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งม้าที่ไม่ได้รับการฝึกให้ดี ยิ่งเป็น เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผมเพียงแค่ผงกศีรษะรับ ยิ้มให้เจ้าของม้า “น่าจะลองส่งลงแข่งทางเรียบนะครับ” “ฉันจะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนั้น” ผู้ฝึกม้าตวาดกลับ “ไม่ได้รับบาดเจ็บ ใช่ไหม?” เจ้าของม้าสอบถามเสียงนุ่มนวล ผมสั่นศีรษะ ผู้ฝึกม้ารีบตัดบทก่อนการถามไถ่ด้วยความเอื้ออาทรจะ กลายเป็นการเปิดโปง ผู้ฝึกม้ารีบต้อนก้อนเงินรายได้ให้พ้นอันตราย ก่อน ผมจะเปิดปากเล่าความจริงว่าม้าตัวนี้ไม่ได้รับการฝึกมาดีพอ ไม่ยอมรับ ค�ำสัง่ ให้กระโดดในเวลาพอเหมาะ ผมมองตามหลังคนทัง้ สองโดยปราศจาก ความขุ่นข้องหมองใจ หันหน้าเดินตรงไปยังห้องชั่งน�้ำหนัก “คุณใช่ไหม…” ชายหนุ่มสูงโย่งเดินมาขวางหน้า “…ฟิลิป นอร์?” 6


“ครับ” “เอ้อ…พอจะสละเวลาคุยกับผมสักครู่ได้ไหม?” ชายวัยยีส่ บิ ห้า สูงโย่งเหมือนนกกระสา เท้าสองข้างอยูไ่ ม่สขุ เหมือน ท่าเต้นของนก สูทขนสัตว์สเี ทา เน็กไทเรียบๆ ไม่มกี ล้องส่องทางไกล ไม่มี ท่าทีคุ้นเคยกับโลกม้าแข่ง “ได้ครับ คงต้องรอสักนิด ผมต้องไปพบหมอ แล้วเปลีย่ นเสือ้ ผ้าแห้ง เสียก่อน” “พบหมอ?” ตาของเขาเบิกโพลง “อ๋อ…ตามธรรมเนียมน่ะครับ หลังการตกม้า เสียเวลาไม่นานหรอก” เมื่อผมออกมาอีกครั้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขายังยืนรอคอย โดดเดี่ยวเดียวดายบนระเบียง คนอื่นๆ กรูไปชมการแข่งม้าเที่ยวท้ายสุด กันแล้ว “ผม…เอ้อ…ผมชื่อ เจเรมี ฟอล์ก” เขาดึงนามบัตรออกจากกระเป๋า เสื้อสูทสีเทา ผมก้มลงอ่าน ฟอล์ก แลงก์ลีย์ บุตรชายและฟอล์ก ส�ำนักงานทนายความ ที่อยู่ในเมืองเซนต์อัลบันส์ เฮิร์ตฟอร์ดเชียร์ “ฟอล์กคนท้ายสุดคือ ผมเอง” นิ้วของเขากระดิกชี้นามบัตรไม่เป็น จังหวะ “ขอแสดงความยินดีด้วย” เขาพยายามเค้นยิม้ กระแอมกระไอไล่เสียง “ผมถูกส่งมา…เอ้อ…ผม มาหาคุณเพื่อขอให้คุณ…เอ้อ…” ค�ำพูดของเขาขาดห้วง “เพื่อท�ำอะไร?” ผมถามกระตุ้นให้เขาเล่าต่อ “พวกเขาบอกว่าคุณคงไม่ยอม…แต่…เอ้อ….ผมถูกส่งมาขอร้องคุณ” “เล่าต่อไปเหอะ” “…ให้คุณไปพบกับคุณยาย” ค�ำพูดของเขาไหลพรูหลังการสะกดกั้น ด้วยความกระวนกระวาย ท่าทางของเขาดูจะโล่งใจเมื่อพูดออกมาเสียได้ “ไม่” ผมตอบรับ 7


สายตาของเขากวาดมองบนใบหน้าของผม อาจจะใจชื้นสักนิดเมื่อ ไม่ได้เห็นเค้าของอารมณ์โกรธฉุนเฉียว “เธอก�ำลังจะตาย และเธอก็ต้องการพบคุณ” เจเรมี ฟอล์กรีบพูด ต่อให้จบ ดูเหมือนว่าความตายเจืออยู่ในทุกอณูอากาศ ผมคิดในใจ จอร์จ มิลเลซคน แล้วนี่ยังมีแม่ของแม่อีกคน ทั้งสองกรณี จะให้เศร้าโศกเสียใจ อย่างสุดซึ้งก็คงเป็นไปไม่ได้ “คุณได้ยินใช่ไหม?” ฟอล์กถามย�้ำ “ได้ยินครับ” “แล้วจะท�ำยังไงต่อ? ผมหมายถึงวันนี้น่ะ” “ไม่…ผมไม่อยากพบเธอ” ผมยืนยันหนักแน่น “แต่คุณต้องไปนะ…” ใบหน้าของเจเรมี ฟอล์ก บิดเบี้ยว ริ้วกังวล กระจายเต็มหน้า “ผมหมายถึงว่า เธอแก่แล้ว เธอจะตายวันตายพรุ่ง… แล้วเธอก็ต้องการคุณ” “แย่หน่อยนะ” “หากผมไม่อาจวิงวอนขอร้องคุณได้ พ่อของผม…อ้อ บุตรชายในบัตร น่ะครับ” เขาชีไ้ ปยังนามบัตร หน้าแดงวูบ “ฟอล์กคนแรกเป็นปู่ แลงก์ลยี ์ เป็นลุง…เอ้อ…พวกเขาส่งผมมา” เขากลืนน�ำ้ ลายลงคอ “พวกเขาคงคิดว่า ผมเป็นคนไร้ค่า หาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย นี่พูดจริงๆ นะครับ” “เฮ้ย นี่มันขู่กรรโชกกันนี่หว่า” ประกายตาวาววับที่แอบผุดขึ้นมา บอกผมว่าทนายความร่างสูงโย่ง คนนี้ไม่ได้เขลาเหมือนท่าทางที่เขาแสดงออก “ผมไม่อยากไปพบ” ผมส�ำทับอีกครั้ง “แต่เธอก�ำลังจะตายนะครับ” “แล้วคุณเคยเห็นกับตาหรือว่าเธอก�ำลังจะตาย?” “เอ้อ ก็ไม่นะ” 8


“พนันได้เลยว่าเป็นเรื่องกุขึ้นทั้งเพ ถ้าเธอต้องการพบผม เธอก็คง บอกว่าเธอก�ำลังจะตาย เพื่อลากตัวผมไปให้ได้ เพราะวิธีอื่นๆ ก็คงใช้ ไม่ได้” เจเรมี ฟอล์ก แสดงความประหลาดใจ “แต่ว่าเธออายุปาเข้าไป เจ็ดสิบแปดแล้ว” สายฝนทีโ่ ปรยปรายไม่หยุดยัง้ ให้ความรูส้ กึ เศร้าสร้อยเป็นฝอยละออง ผมไม่เคยพบหน้ายายมาก่อน และไม่คดิ อยากจะไปพบไม่ว่าเธอจะอยูห่ รือ ตาย ผมไม่เคยเชือ่ เรือ่ งการกลับใจในวินาทีสดุ ท้ายของชีวติ การช�ำระบาป ในนาทีสุดท้ายหน้าทวารนรก สายเกินแก้เสียแล้ว “ค�ำตอบก็คือ ไม่” ผมยืนยัน เจเรมียกั ไหล่ คอตกเดินฝ่าสายฝนออกไป ไม่มหี มวก ไม่มรี ม่ ปล่อย ให้ฝนสาดกระหน�่ำอย่างไม่ใยดี เดินไปได้ไม่กี่ก้าว หันกลับหลังมาอีกครั้ง ด้วยพลังใหม่อีกระลอก “ฟังนะ…เธอต้องการคุณจริงๆ ลุงบอกผมอย่างนั้น” เสียงของเขา เปี่ยมด้วยศรัทธาบริสุทธิ์ดุจหมอสอนศาสนา “คุณไม่อาจปล่อยให้เธอ ตายได้” “เธออยู่ที่ไหน?” ผมถอนหายใจ ใบหน้าของเขาสดใสขึน้ ทันควัน “ในโรงพยาบาล…” มือของเขาล้วง เข้าไปในกระเป๋าเสื้ออีกข้าง “ผมมีที่อยู่ที่นี่ ผมพาคุณไปเลยดีกว่าถ้าคุณ จะไปด้วยกัน ไม่ไกลนัก อยู่ที่เซนต์อัลบันส์ คุณอยู่ที่แลมบอร์น ใช่ไหม? ก็ไม่ไกลจากบ้านของคุณเท่าไหร่ ผมหมายความว่า ไม่ได้ไกลเป็นร้อย ร้อยไมล์” “ไม่ร้อยก็ห้าสิบกว่าๆ แล้วละ” “อ้อ…เอ้อ…ก็คุณขับรถไปโน่นมานี่อยู่เสมอ ไม่ใช่หรือครับ?” ผมถอนหายใจยาวอีกครัง้ ค่าเลือกดูชา่ งเลวร้ายสิน้ ดี ทางเลือกมีแค่ การยอมจ�ำนนสิ้นท่า หรือไม่ก็การขับไสไล่ส่งเย็นชา เลือกทางใดก็ไม่น่า 9


ลิม้ ลอง ยายขับไสไล่สง่ เย็นชาต่อผมนับตัง้ แต่วนั ทีผ่ มลืมตาดูโลก ซึง่ ก็ไม่อาจ ถือเป็นข้ออ้างทีจ่ ะกระท�ำอย่างเดียวกันในยามทีเ่ ธอใกล้จะสิน้ ลม อีกอย่าง หนึง่ ผมไม่อาจจะด�ำเนินชีวติ ไปทุกเมือ่ เชือ่ วัน หยามหมิน่ ความคับแคบดังที่ ได้ทำ� มาแล้วหลายสิบปี มองดูแล้วก็ไม่ตา่ งกับการยึดแนวคิดของเธอมาเป็น หลักชัยของชีวิตน่ะหรือ น่าร�ำคาญใจสิ้นดี บ่ายฤดูหนาวเลอะเลือนหายไปในสีเทาซึมเศร้าของสายฝน เบียดกลบ ด้วยแสงไฟฟ้าสุกสว่างทีละดวงสองดวง ผมคิดถึงกระท่อมน้อยว่างเปล่า ไม่มีอะไรท�ำในยามเย็นนอกจากไข่สองฟอง เนยแข็งแผ่นบาง กลั้วคอ ด้วยกาแฟถ้วยเดียว…อยากจะกินมากกว่านั้นก็ไม่อาจท�ำได้ ก็น่าจะลอง ไปเยี่ยมยาย อย่างน้อย คงพอท�ำให้ผมลืมนึกถึงเรื่องอาหารไปได้อีกวัน อะไรก็ตามที่ช่วยให้ผมลืมเรื่องน�้ำหนักตัวที่จะเพิ่มขึ้น ไม่อาจถือเป็นเรื่อง เลวร้ายได้เลย…แม้แต่การไปเยี่ยมยายก็ตามที “เอาละ…น�ำทางได้เลย” ผมยอมจ�ำนน ] ] ]

เตียงหญิงชราไขพนักขึ้นสูง เธอนั่งจ้องเขม็งในตอนที่ผมเดินเข้าไปในห้อง หากจะพูดถึงอาการใกล้สนิ้ ลม เธอก็คงไม่ตายในค�ำ่ คืนนี้ เทีย่ งแท้แน่นอน พลั ง ชี วิ ต ลุ ก โชนเต็ ม สองตา สุ ร เสี ย งไม่ เจื อ ความอ่ อ นแอของคนป่ ว ย แม้สักอณู “ฟิลิป?” เสียงที่เปล่งออกมาเป็นการประกาศ ยิ่งไปกว่าการไถ่ถาม เธอกวาดสายตามองผมหัวจรดเท้า “ครับ” “เฮอะ” เสียงนั้นเปล่งความสะใจ ชัยช�ำนะหยามหยัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผม 10


คาดว่าจะได้พบเจอ หนามแหลมคมทีเ่ ธอเฝ้าทิม่ แทงกรีดข่วน น่าจะท�ำร้าย ชีวติ วัยเด็กของผมเอาการ (ถ้าผมอยูข่ า้ งเธอ) และคงท�ำร้ายบุตรีของเธอได้ หนักหนาสาหัส ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ได้เห็น เค้าแห่งการวิงวอนร้องขอให้มกี ารอภัยโทษ การขับไสไล่สง่ แม้จะลดทอน ความกราดเกรี้ยวแล้ว ยังคงเดินเครื่องท�ำงานเต็มสูบ “ฉันรูว้ า่ แกจะต้องวิง่ แจ้นตรงมาทีน่ …ี่ เมือ่ ได้ขา่ วเรือ่ งเงิน” อาการยิม้ แสยะเลือดเย็นของเธอ น่าจะไม่เป็นสองรองใคร “เงินอะไรหรือ?” “เงินหนึ่งแสนปอนด์นั่นไง” “ไม่มีใครพูดถึงเงินจ�ำนวนนี้” ผมตอบด้วยเสียงราบเรียบ “อย่าโกหก แล้วท�ำไมแกเสนอหน้ามาที่นี่?” “เขาบอกว่ายายก�ำลังจะตาย” เธอสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าเปลี่ยนสี…อาการที่วูบขึ้นมายากจะสังเกต ประกายตาวาว ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ซึ่งไม่ได้เฉียดใกล้การยิ้มแม้แต่ น้อย “เออ ใช่ ฉันใกล้ตาย เราทุกคนก็ไม่เห็นจะหนีพ้นความตายไปได้ สักคน” “ครับ อัตราเร็วเดียวกันเสียด้วย…ทีละวันสองวัน” ยายของผมไม่มีเค้าของคุณยายแก้มยุ้ยใจดี ใบหน้าของเธอเย็นชา หยักมุมปากเด่นชัดเป็นร่องลึก ผมสีดอกเลายังคงเป็นมันวาว หวีสาง เข้ารูปเข้าทรง กระแต้มแผ่กระจายประปรายเห็นชัดบนผิวซีดสีนำ�้ ตาลอ่อน หลอดเลือดด�ำบวมเป่งเหมือนหนอนตัวโตบนหลังมือ ร่ างผอมเพรียว เกร็งแกร่งไปทั้งตัว สูงเทียมฟ้าในสายตาของผม ห้องใหญ่อนั เป็นทีพ่ กั ของเธอ ตกแต่งเหมือนห้องนัง่ เล่นแทนทีจ่ ะเป็น ห้องพักผูป้ ว่ ย ไม่เหมือนโรงพยาบาลแห่งอืน่ ๆ ทีผ่ มเคยเห็น กระท่อมชนบท แปลงโฉมใหม่เสียแล้ว เปลีย่ นเป็นโรงแรมทีม่ พี ยาบาลเป็นพนักงานบริการ 11


ปูพรมผนังจรดผนัง ม่านผ้าฝ้ายสีสด อาร์มแชร์แทนเก้าอีพ้ ลาสติกส�ำหรับ ผู้มาเยี่ยมไข้ แจกันปักดอกไม้หลากสี…การตายที่น่าอภิรมย์ ผมคิดในใจ “ฉันสั่งการให้ทนายฟอล์กยื่นข้อเสนอต่อแก” “มิสเตอร์ฟอล์กหนุ่ม อายุราวยี่สิบห้า? เจเรมี?” ผมสอบถามด้วย ความกังขา “จะใช่ได้ยังไง?” เสียงของเธอสะบัดด้วยความร�ำคาญใจ “ทนาย ฟอล์ก ทนายความประจ�ำตัวของฉัน ฉันสั่งให้เขาพาแกมาที่นี่ แกก็มา อยู่ที่นี่แล้ว” “เขาส่งหลานของเขาไปท�ำงานแทน” ผมแจ้งข้อมูลให้ยายทราบ ผมหันหลังให้ เดินตรงมานัง่ บนอาร์มแชร์โดยไม่รอค�ำอนุญาต ท�ำไม นะ ท�ำไมเจเรมีไม่พูดถึงเงินแสนปอนด์ เงินก้อนนี้ไม่ใช่เงินเล็กน้อยที่จะ ลืมบอกไปเสียได้? ยายจ้องหน้าผมแน่วนิ่งด้วยประกายตาที่ไม่ประสงค์จะเจือความรัก ใคร่ ผมจ้องตาตอบ ผมรังเกียจความเชื่อมั่นในใจของเธอที่วา่ เธอจะซื้อ ผมได้ ผมรังเกียจกิรยิ าหยามหมิน่ ของเธอ และหวาดระแวงเจตนาของเธอ “ฉันจะยกมรดกให้แกหนึ่งแสนปอนด์โดยมีเงื่อนไขบางอย่าง” “อย่าท�ำ” ผมตอบเสียงดังฟังชัด “แกว่าอะไรนะ?” เสียงเยือกแข็ง ประกายตาเย็นยะเยียบ “ผมตอบว่าไม่ ไม่ต้องการเงิน ไม่ต้องการเงื่อนไข” “แกยังไม่ได้ฟังข้อเสนอของฉัน” ผมไม่พูดอะไรต่อ ในหัวอกเกิดความอยากรู้อยากเห็นวูบขึ้นมา ไม่มี เสียละทีผ่ มจะแบไต๋ให้เธอได้รู้ ในเมือ่ เธอไม่มที ที า่ ว่าจะเร่งร้อน ความเงียบ งันทอดยืดยาว ในใจของเธอคงจะเป็นการวิเคราะห์และประเมินค่าตัวผม ส่วนตัวผม เป็นแต่เพียงความอดทนข่มกลั้น ชีวิตที่ผ่านมา สอนผมให้มี ความอดทนข่มกลั้นอย่างไม่รู้ขีดสุด รอคอยให้ผู้คนเดินทางมาหา แต่ไม่ เคยมา รอคอยการปฏิบัติตามค�ำสัญญา แต่ไม่เคยเห็นผล 12


ท้ายทีส่ ดุ เธอเป็นฝ่ายเริม่ ต้น “แกสูงกว่าทีฉ่ นั คาด แล้วก็แกร่งด้วย” ผมนิ่งรอคอย “แม่ของแกไปอยู่เสียที่ไหน?” แม่ของผม บุตรีของยาย “กระจายไปกับสายลมแล้ว” ผมตอบ “แกหมายความว่ายังไง?” “ผมคิดว่าแม่ตายไปแล้ว” “แกคิดว่า….” เสียงของยายร�ำคาญมากกว่ากระวนกระวาย “แก ไม่รู้ความเป็นไปของแม่ของแกเลยหรือ?” “แม่ไม่ได้เขียนมาแจ้งข่าวลาตาย ไม่ครับ ผมไม่รู้” “การเล่นลิ้นตีส�ำนวนของแก ช่างไร้รสนิยมสิ้นดี” “พฤติกรรมของยายนับแต่วันที่ผมเกิด ไม่ได้ให้สิทธิอันชอบธรรมที่ จะมากล่าวหาผม” เธอกะพริบตาถี่ ปากอ้าค้าง นิ่งอยู่กับที่นานเกินกว่าห้าวินาที จาก นั้นปิดฉับ เบียดอัดแน่นจนเห็นกรามเป็นสันนูน ดวงตาของเธอลุกโชน เจิดจ้าด้วยโทสะและพลังการท�ำลายล้าง ภาพที่ผมมองเห็น ท�ำให้ผมรู้สึก ตื้นตันใจอดเห็นใจแม่ผีเสื้อแสนสวยผู้ให้ก�ำเนิดผมไม่ได้…แม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ ร่วมกับกองเพลิงเดินได้คนนี้มากี่สิบปี? กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว เมื่อครั้งที่ผมยังเล็ก ผมถูกจับเปลี่ยน เสือ้ ผ้าใหม่เอีย่ มอ่อง ถูกสัง่ ก�ำชับให้เป็นเด็กดี เดินทางไปกับแม่เพือ่ ไปเยีย่ ม ยาย แม่แวะไปรับผมทีบ่ า้ นของเพือ่ นทีแ่ ม่ฝากผมไว้ เดินทางโดยรถยนต์ไป ยังบ้านหลังใหญ่ ผมถูกปล่อยทิง้ ไว้ตามล�ำพังในห้องโถงใหญ่ แม่กลับออก มา ร้องไห้นำ�้ ตาอาบสองข้างแก้ม ดึงแขนผมไม่เบานักเดินตรงไปยังรถยนต์ “ไปกันเถอะ ฟิลปิ เราจะไม่ออกปากขออะไรจากเธออีกแล้วในชาตินี้ ธอไม่ยอมพบหน้าลูก ลูกอย่าลืมเสียนะ ฟิลิป ยายของลูกเป็นแต่เพียง สัตว์เจ้าโทสะตัวหนึ่งเท่านั้นเอง” ผมไม่เคยลืม แม้ผมจะไม่ได้ย้อนคิดไปถึงเรื่องนั้นนัก แต่ก็ไม่เคยลืม 13


เก้าอี้เดี่ยวกลางห้องโถงใหญ่ เท้าของผมแตะไม่ถึงพื้น เสื้อผ้าใหม่ค�้ำยัน ต้นคอจนแทบจะก้มหน้าไม่ได้ สองหูได้ยินเสียงตะโกนด่าทอกัน ผมไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกับแม่อย่างจริงจังนัก จะมีสักสัปดาห์หรือสอง สัปดาห์ เราไม่เคยมีบ้าน ไม่มที อี่ ยู่ ไม่มรี ากเหง้าถาวร แม่เดินทางเร่รอ่ น ไปทัว่ เธอแก้ปญ ั หาโดยการน�ำผมไปทิง้ ไว้กบั เพือ่ นสนิท โผล่เข้าไปทักทาย เพือ่ นสนิททีม่ คี รอบครัวแล้วให้ประหลาดใจ เมือ่ นึกย้อนหลัง ผูค้ นทีร่ บั ผม เข้าไปอาศัยด้วย ก็ช่างมีน�้ำใจ มีความอดทนเป็นเลิศโดยแท้ “ได้โปรดเถอะ ที่รัก ช่วยดูแลฟิลิปน้อยสักสองสามวัน” เธอพูดค�ำ หัวเราะค�ำ มือผลักผมเข้าสูอ่ อ้ มแขนของสตรีแปลกหน้า “โลกนีช้ า่ งวุน่ วาย หนอ ฉันไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครได้อีกแล้ว ไม่รู้วา่ จะจัดการอย่างไรกับ ฟิ ลิ ป น้ อ ย คุ ณ ก็ รู ้ นี่ นาว่ า ฉั น ต้ อ งเจออะไรบ้า ง ได้ โ ปรดเถอะ ที่ รั ก เดบอราห์…(มิแรนดา โคลอี ซาแมนธา หรือใครก็ได้ภายใต้อาทิตย์ ดวงนี้) แหม เธอน่ารักสมชื่อ ฉันให้สัญญาว่าจะมารับตัวฟิลิปน้อยใน วันเสาร์ที่จะถึง” ภาพนั้นเด่นชัดในความทรงจ�ำของผม แม่จะจูบแก้ม เพื่อนรัก เดบอราห์ มิแรนดา โคลอี ซาแมนธา และไปยาลใหญ่ด้วย เสียงสนั่น ก่อนจะโบกมือลาร่าเริง วันเสาร์มาถึง แม่ไม่โผล่มาให้เห็น หลายเสาร์จนไม่อาจนับได้ แต่ท้ายที่สุด เธอก็เดินทางมาตามสัญญา เดินทางมาเคาะประตูหน้าด้วย รอยยิ้มระรื่น พร�่ำขอบคุณไม่ขาดปาก เหมือนเช่นการแวะมาเก็บห่อพัสดุ ค้างปีทที่ ที่ ำ� การไปรษณีย์ ผมมักจะตกค้างตามบ้านเพือ่ นเป็นหลายวัน เป็น สัปดาห์ หรืออาจนานเป็นเดือน ผมไม่อาจทราบล่วงหน้าได้ว่าช่วงเวลา ฝากของจะนานสักเท่าใด…ผมเดาเอาว่าเพื่อนรักของแม่ก็คงประหลาดใจ มากพอๆ กับผม ผมคิดว่าแม่คงจะจ่ายอะไรสักอย่างเป็นการตอบแทน น�้ำใจของเพื่อน ผมไม่ทราบว่าแม่จ่ายอะไรไปบ้าง เท่าที่เห็นก็มีแต่เสียง หัวเราะคิกคักจนหูชา ในครั้งนั้น แม้ในสายตาของผม แม่เป็นคนสวยอร่อย ทุกผู้ทุกคนที่ 14


พบเธอ อดไม่ได้ทจี่ ะสวมกอด หัวเราะสนุกสนาน เบิกบานทุกนาทีทเี่ ธออยู่ รอบข้าง จะมีก็แต่ชั่วโมงให้หลัง เมื่อพบว่ามีเด็กตกค้างอยู่ในอ้อมแขน เพื่อนที่รักของแม่จึงรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมา ผมกลายเป็นเด็กพูดน้อย สงบเสงีย่ มยิง่ กว่าเด็กวัยเดียวกัน ผมต้องระวังตัวแจทุกฝีก้าว ไม่กอ่ ให้เกิด ความร�ำคาญใจ ต้องไม่ก่อให้เกิดความบาดหมางใดๆ เนื่องเพราะเกรงว่า อาจจะมีสักวัน ใครสักคน ที่จะรังเกียจผม จนขับไสไล่ส่งให้ออกไปเป็น เด็กจรจัดนอนริมถนน เมือ่ มองย้อนหลัง ผมทราบดีวา่ ผมเป็นหนีบ้ ญ ุ คุณเดบอราห์ มิแรนดา โคลอี ซาแมนธา และคุณไปยาลใหญ่ ผมไม่เคยอดแม้แต่มอื้ เดียว ไม่เคย โดนดุด่าทารุณ ไม่มีใครรังเกียจ ผู้คนเหล่านี้รับผมเข้าอาศัยในบ้านสอง รอบหรือสามรอบ บ่อยครัง้ รับด้วยความเต็มใจ ทว่า ส่วนใหญ่ ยอมรับ ด้วยอาการจ�ำยอม ตอนที่ผมอายุได้สามหรือสี่ขวบ เพื่อนผมยาวของแม่ เสือ้ หนังกวางปักลูกปัดสอนให้ผมอ่านเขียน แต่ผมก็ไม่เคยอยูท่ ใี่ ดนานพอจะ เข้าโรงเรียนเป็นทางการ ก็เป็นเรื่องพิสดารเอาการที่ผมผ่านวัยเด็กไร้เดียง สา ไร้ทศิ ทาง ขาดรากเหง้า เป็นเด็กฝากเลีย้ งตามบ้าน โตพรวดพราดอีกที อายุได้สิบสองปี ท�ำงานบ้านได้สารพัด และไม่รู้จักที่จะรักใคร แม่ทงิ้ ผมไว้กบั ช่างภาพสองนาย ดันแคนกับชาร์ลี ยืนเท้าเปล่าเปลือย ในสตูดิโอพื้นซิเมนต์ ซึ่งมีห้องมืด ห้องน�้ำ เตาแก๊ส และเตียงนอนหลัง ม่านผ้า “ที่รัก ได้โปรดดูแลฟิลิปน้อยจนถึงวันเสาร์ได้ไหม? ขอบคุณค่ะ ช่างน่ารักเหมือนลูกแกะตัวน้อย…” การ์ดวันเกิดส่งมาทักทาย ของขวัญ วันคริสต์มาสส่งมาทางไปรษณีย์ แต่ผมไม่ได้เห็นหน้าแม่อีกเลยจนสามปี ให้หลัง เมือ่ ดันแคนจากไป แม่โฉบมารับผมไปจากชาร์ลี ขับรถตรงไปหา คนฝึกม้าและภรรยาในแฮมเชียร์ “ขอฝากไว้จนถึงวันเสาร์นะ ที่รัก เขา อายุเต็มสิบห้าแล้ว แข็งแรงพอจะช่วยเก็บกวาดคอกม้า มีงานอะไรก็ชว่ ยท�ำ ได้ทั้งนั้น…” 15


การ์ดวันเกิดและของขวัญส่งมาหาผมสองปี แน่นอนที่สุด ไม่มีที่อยู่ ให้สง่ กลับ เมือ่ ผมอายุสบิ แปดปีเต็ม ไม่มกี าร์ดวันเกิด คริสต์มาสปีนนั้ ไม่มี ของขวัญ นับจากวันนั้น ผมไม่ได้ข่าวแม่อีกเลย แม่คงตายไปแล้ว จากข้อมูลที่ผมเข้าใจได้ แม่คงตายเพราะยาเสพ ติด ดูเหมือนว่าในกระบวนการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผมได้คัดกรองแยกแยะ และพยายามท�ำความเข้าใจสิ่งรอบข้าง หญิงชราที่นั่งบนเตียงเผชิญหน้าผมอยู่ขณะนี้ ไม่มีทีท่าว่าจะลด ความเครียดกร้าวในสายตา ไฟโทสะของเธอยังคงแลบเลียพร้อมจะฉก ท�ำลาย เธอโกรธและเคืองค�ำพูดที่ผมเพิ่งจะเปล่งออกไป “แกไม่มีทางสานสัมพันธ์กับฉันได้ไกล ถ้าแกยังปากเสียยังงี้” “ผมไม่ต้องการไปไกลกว่านี้” ผมลุกขึ้นยืน “การมาเยี่ยมไข้วันนี้ เป็นเรือ่ งไร้สาระ ถ้ายายต้องการให้ผมตามหาลูกสาวของยาย ยายก็นา่ จะ ตามรอยเธอตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนโน้น…ผมไม่ยอมไปควานหาเธอ ถึงจะ ท�ำได้ก็ไม่ยอม” “ฉันไม่ต้องการให้แกไปตามหาแคโรไลน์ ฉันกล้ายืนยันว่าแกพูดถูก แคโรไลน์คงตายไปแล้ว” เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ได้ท�ำให้เธอเศร้าแม้แต่สัก นิด “ฉันต้องการให้แกไปค้นหาน้องสาวของแก” “น้อง…อะไรนะ?” ตาเครียดกร้าวคู่นั้นประเมินผลชั่งน�้ำหนักผมอย่างเจ้าเล่ห์ “แกไม่รู้ สินะว่าแกมีน้องสาวคนหนึ่ง เอาละ ไม่รู้ ก็รู้เสียตอนนี้เลย ฉันจะยก มรดกให้แกหนึ่งแสนปอนด์ถ้าแกตามตัวน้องสาวและพามาให้ฉันได้” เธอ พูดด้วยเสียงเย็นยะเยียบก่อนที่ผมจะทันได้ตั้งสติ “อย่าได้คิดเชียวนะว่า แกจะไปหาเด็กสาวสักคน อุปโลกน์มาเป็นน้องสาวให้ฉันเชื่อ ฉันแก่แต่ไม่ โง่ แกจะต้องพิสจู น์ตอ่ ทนายฟอล์กจนเป็นทีพ่ อใจว่าเป็นหลานสาวโดยชอบ ธรรมของฉัน เชื่อฉันเหอะ ทนายฟอล์กแกไม่ยอมเสียโง่ง่ายๆ” ผมแทบจะไม่ได้ยนิ ค�ำถากถางเหน็บแนม ความรูส้ กึ เดียวทีเ่ กิดขึน้ ในใจ 16


จะเป็นความประหลาดใจที่กลายเป็นอาการตกตะลึง เท่าที่ผ่านมา มีคน ประเภทผมเพียงหนึ่งเดียว ผมเป็นมนุษย์คนเดียวที่เป็นผลพวงของแม่ ผีเสื้อ อย่าได้ถามเหตุผล ผมรู้สึกหึงหวงแม่ขึ้นมาแล้ว แม่เคยเป็นของผม แต่เพียงผู้เดียว ในวินาทีนี้ ผมต้องแบ่งปันแม่ให้กับน้องสาว ต้องเปลี่ยน บทเสียใหม่ ต้องจ�ำแนกจัดสรรความทรงจ�ำที่มีต่อแม่เสียใหม่ ช่างเป็น เรื่องวุ่นวายใจเหลือเกินที่จะมีอันต้องเกิดความร้อนรุ่มในการแก่งแย่งแบ่ง ปันแม่เมื่ออายุได้สามสิบปี “ว่าไง?” ยายส�ำทับคาดคั้น “ไม่ครับ” “เงินเยอะนะ” “เยอะครับ…ถ้ายายมีเงินก้อนนั้น” “ไอ้เด็กเลว” ยายโกรธจนหน้าเขียว “ใช่ครับ ถ้าไม่มีอะไรอื่น ผมลากลับละครับ” ผมหมุนตัวหันหลัง ให้ เดินตรงไปที่ประตู “รอเดีย๋ ว” เสียงของเธอเร่งร้อน “แกไม่อยากจะเห็นรูปถ่ายของเธอ หรือไง? บนโต๊ะตัวนั้นมีรูปถ่ายของน้องสาวของแก” ผมมองข้ามไหล่ มี โต๊ะเขียนหนังสืออยู่ที่มุมห้อง ยายคงสังเกตเห็นท่าทางลังเลของผมตอนที่ เอื้อมมือไปหาลูกบิด เธอจึงส�ำทับเต็มเสียง “ก็แค่ดูเฉยๆ “ ใจผมไม่ตอ้ งการเท่าไหร่ แต่ความอยากรูอ้ ยากเห็นเป็นฝ่ายชนะ ผม เดินไปที่โต๊ะ รูปถ่ายครอบครัว ขนาดโปสการ์ด ผมเอียงรูปเข้ารับแสง รูปเด็กผู้หญิง อายุสองหรือสามขวบ นั่งอยู่บนหลังลูกม้า เด็กหญิงผมยาวเคลียไหล่ สวมเสื้อยืดแถบแดงขาว กางเกงยีนส์ ลูกม้าสายเลือดเวลส์ สีเทา แปรงปัดขนเป็นมัน ภาพถ่ายคงเป็นคอกม้า สักแห่ง ทั้งคนทั้งม้าท่าทางมีความสุข ไม่อดอยาก ช่างภาพยืนไกลไปนิด จนไม่เห็นรายละเอียดของใบหน้า การขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น น่าจะช่วยได้ ผมพลิกรูป ด้านหลังไม่มีข้อความใดๆ ไม่ระบุสถานที่ ไม่มีชื่อผู้ 17


ถ่ายรูปนี้ ชวนให้ผดิ หวังดีแท้ ผมวางรูปถ่ายกลับคืนบนโต๊ะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เมื่อมองเห็นซองจดหมาย ลายมือของแม่จ่าหน้าซอง จ่าหน้าถึง มิสซิส ลาวิเนียร์ นอร์ บ้านหลังเก่าในนอร์ทแธมป์ตัน บ้านหลังที่มีห้องโถงใหญ่ ที่ผมไปนั่งรอเมื่อครั้งยังเป็นทารก ในซองมีจดหมาย “แกท�ำอะไรน่ะ?” ยายตวาดแหว “อ่านจดหมายที่แม่เขียน” “แต่ฉัน…จดหมายไม่น่าจะออกมาวางอยู่บนโต๊ะ วางลงเดี๋ยวนี้ ฉัน คิดว่าฉันเก็บจดหมายไว้แล้วในลิ้นชัก” ผมไม่ใส่ใจ ลายมือแม่ตวัดเล่นหาง ตัวโตอ่านสบายตา อบอุน่ เหมือน แม่กระโดดออกจากแผ่นกระดาษมายืนอยู่ข้างกาย หัวเราะกลั้วค�ำพูด เสียงเสนาะใส พร�่ำขอความช่วยเหลืออ่อนหวานดั่งที่เคยปฏิบัติ จดหมายฉบับนั้น มีเพียงวันที่ 2 ตุลาคม เนื้อหาไม่ได้เฉียดใกล้ เรื่องน่าขัน คุณแม่ที่รักและเคารพ หนูทราบดีวา่ หนูเคยลัน่ วาจาไว้แล้วว่าจะไม่ขอความช่วยเหลือใดๆ จากแม่ อีกแล้ว แต่หนูกต็ อ้ งลองพยายามอีกครัง้ ด้วยความหวังโง่ๆ ในใจของหนูวา่ สักวันแม่จะเปลีย่ นใจ หนูสง่ รูปถ่ายของอแมนดา หลานสาวของแม่ แม่หนู น่ารัก หวานไปทั้งตัว ตอนนี้เธออายุเต็มสามขวบแล้ว เธอต้องการบ้าน เป็นหลักแหล่งและโรงเรียน หนูทราบดีว่าแม่ ไม่อยากมีเด็กมาวุ่นวายใน บ้าน แต่หนูกห็ วังว่าแม่คงจะจ่ายเงินให้เธอเป็นรายเดือนเพือ่ จะได้ฝากเธอ ไว้กับครอบครัวน่ารัก และอยากจะเลี้ยงดูเธอหากไม่มีก�ำลังมากพอจะโอบ อุม้ เธอไว้ได้เพราะมีลกู ของตัวเองอยูแ่ ล้วสามคน หากแม่พอจะเจียดเงินสัก

18


ก้อนส่งเข้าบัญชีของครอบครัวน่ารักคู่นี้ ซึ่งจ�ำนวนก็ ไม่มากจนแม่จะรู้สึก หลานสาวของแม่ก็จะได้เติบใหญ่ ในครอบครัวอบอุ่น หนูไม่ต้องการความ ช่วยเหลือใดๆ ส�ำหรับตัวหนูเอง หนูเขียนจดหมายฉบับนี้ ก็หวังจะได้ ความกรุณาจากแม่เพื่อหลานสาวของแม่คนนี้ ลูกสาวของหนูคนนี้ ไม่ ได้ร่วมบิดาเดียวกับฟิลิป ดังนั้น แม่ก็ ไม่อาจยก สาเหตุเดียวกันมาชิงชังหลานสาวของแม่ ได้ หากแม่ ได้พบเธอ แม่จะอด รักเธอไม่ ได้ แม้ว่าแม่ ไม่ ได้พบ ก็ขอได้ โปรดได้ดูแลเลี้ยงดูเธอด้วย ได้ โปรดเถอะค่ะแม่ ได้ โปรดตอบจดหมายฉบับนี้ ลูกสาวของแม่ แคโรไลน์ พักอาศัยที่ ไพน์ วูดส์ ลอดจ์ มินเดิลบริดจ์ ซัสเซ็กซ์

ผมเงยหน้ามองข้ามห้องไปยังหญิงชรา “แม่เขียนจดหมายฉบับนี้เมื่อไหร่?” “หลายปีมาแล้ว” “ยายก็ไม่ได้ตอบ?” ผมสอบถามด้วยเสียงราบเรียบ “ไม่” ไม่มีประโยชน์อะไรจะไปแค้นเคืองเรื่องเศร้าเก่าโบราณ ผมยกซอง จดหมายมาเพ่งดูใกล้ชดิ ตราประทับเลอะเลือนจนอ่านไม่ได้ ผมอดคิดไม่ได้ ว่าแม่จะรอคอยค�ำตอบอยู่ที่ไพน์ วูดส์ ลอดจ์นานสักเท่าไหร่ รอท่าความ หวัง ก�ำ้ กึง่ ไปกับความสิน้ หวัง แน่นอนทีส่ ดุ ความสิน้ หวังในสายตาของแม่มี ความหมายเป็นแต่เพียงเสียงหัวเราะและการยืน่ มือออกไปคว้าไขว่…ขอเพียง ต้องการ พระผูเ้ ป็นเจ้า (เดบอราห์ มิแรนดา โคลอี ซาแมนธา) จะประทาน ให้เสมอ ความสิ้นหวังมิใช่ความหดหู่เศร้าสร้อย มิใช่ความยากล�ำบาก 19


แสนเข็ญ ส�ำหรับเรื่องนี้น่าจะหนักหนาสาหัสเอาการ ไม่เช่นนั้น แม่ก็คง ไม่บากหน้าเขียนจดหมายมาขอความช่วยเหลือจากยาย ผมสอดจดหมาย ซอง และรูปถ่าย เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ ช่างเป็น เรือ่ งน่ารังเกียจเหลือเกินทีย่ ายเก็บจดหมายพวกนีไ้ ว้นานหลายขวบปี ทัง้ ๆ ที่ไม่ใส่ใจจะช่วยเหลือ ผมรู้สึกว่าสิ่งของพวกนี้เป็นสมบัติของผม มิใช่ของ ยาย “หมายความว่าแกตกลงรับท�ำงานนี้” “ไม่ครับ” “แต่แกก็รับรูปถ่ายไปแล้ว” “ครับ” “แล้วไง?” “ถ้ายายอยากจะหาตัวอแมนดา ยายน่าจะจ้างนักสืบเอกชน” “ฉันจ้างแล้ว” หญิงชราตอบด้วยเสียงร�ำคาญ “…จ้างไปแล้วสามราย ไร้ผล” “ถ้าพวกเขาท�ำงานไม่เป็นผล ก็ไม่มเี หตุใดทีผ่ มจะประสบความส�ำเร็จ” เสียงของเธอโอ่อ่าเปีย่ มด้วยชัยช�ำนะ “ต่างกันทีแ่ รงจูงใจ…แกจะต้อง ทุ่มกายถวายหัวเพื่อเงินก้อนนี้” “ยายผิดแล้ว” ผมจ้องหน้าหญิงชราร่างผอมเกร็งด้วยสายตาขมขื่น อย่างไม่ยอมบดบัง “ถ้าผมรับเงินจากยาย…ผมคงอาเจียน” ผมเดินตรงไปที่ประตู คราวนี้บิดลูกบิดโดยไม่มีความลังเล เสียงเย็นยะเยียบดังข้ามไหล่ของผม “อแมนดาจะได้เงินของฉัน ทั้งหมด…ถ้าแกหาตัวเธอพบ”

20


2

เมือ่ กลับมาถึงแซนด์ดาวน์พาร์ก รูปถ่ายและจดหมายยังคงอยูใ่ นกระเป๋าเสือ้ ของผม แต่ทว่า อารมณ์ทรี่ ะอุกรุน่ ขึน้ มาเหือดหายไปเกือบสิน้ แล้ว น้องสาว ที่ผมไม่เคยรู้จัก ยกมาคิดถึงได้โดยไม่มีความแค้นเคืองของทารกเข้ามา เกี่ยวข้อง เศษชิ้นส่วนของอดีตอีกชิ้นหลุดร่วงเข้าที่เข้าทาง เรื่ อ งปั จ จุ บั น เฉพาะที่ ทุ ก คนหั น มาสนใจ เห็ น จะเป็ น เค้ า หน้ า ที่ เปลี่ยนไปของสตีฟ มิลเลซ เขาเดินเข้ามาในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ครึง่ ชัว่ โมงก่อนการแข่งม้าเทีย่ วแรก หัวเปียกฝน โชกไปทัง้ ตัว ตาสองข้าง คุโชนด้วยความแค้นจนแทบประทุออกจากเบ้า “บ้านของแม่…” เขาบอกกล่าว “ถูกยกเค้า รือ้ กระจุยกระจายไม่มี ชิ้นดีในระหว่างที่ครอบครัวไปงานเผาศพของพ่อ” พวกเรานั่งกันบนม้ายาว อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ภาพที่ผมมอง เห็นเป็นการเปลีย่ นค้างกลางชุด…จ๊อกกีใ้ นทุกระยะของการเปลือ้ งผ้า บ้างก็ เหลือเพียงแค่กางเกงชัน้ ใน อกเปล่าเปลือย บ้างก็มเี สือ้ แพรสีประจ�ำคอกม้า ปลายสุดเป็นจ๊อกกีเ้ สือ้ แพร กางเกงไนลอน ดึงบูต๊ ขึน้ สวมทับ ทุกผูท้ กุ คน ดูเหมือนจะพร้อมใจกันนิ่งค้างกลางอากาศ รับฟังด้วยอาการอ้าปาก 21


สายตาทุกคู่หันจ้องจับที่สตีฟ มิลเลซ ผมควานมือไปหากล้องนิคอนคูก่ าย หมุนปรับโฟกัส กดฉับสองสาม รูปต่อเนื่องกัน จ๊อกกี้ทุกคนคุ้นกับการถ่ายรูปของผมจนไม่มีใครหันมาหา “แย่ทสี่ ดุ เลย” สตีฟเล่าเรือ่ ง “เลวไม่มที เี่ ปรียบ แม่อบเค้ก ท�ำขนม เตรียมของว่างไว้ให้ปา้ กับเพือ่ นๆ กลับมาถึงบ้าน ทุกอย่างวายป่วงไปหมด พวกมันละเลงทัว่ บ้าน เค้กกองเรีย่ ราดบนพืน้ เลอะเทอะจากผนังถึงเพดาน ห้อง พวกมันขยี้ขนมนมเนยอัดพื้นพรม ห้องครัว ห้องน�้ำ รื้อค้นกระจุย กระจายหมด เหมือนมีเด็กเปรตเสียสติฝงู ใหญ่หลุดเข้าไปในบ้าน ก่อความ เสียหายให้มากที่สุดเท่าที่จะท�ำได้ แต่นี่ไม่ใช่ฝีมือเด็ก เด็กบ้าชอบท�ำลาย จะไม่ลักขโมยข้าวของติดมือไปด้วย ต�ำรวจเขาบอกอย่างนั้น” “แม่ของแกน่าจะมีเพชรพลอยเป็นยุ้งเลยนิ” จ๊อกกี้คนหนึ่งสัพยอก จ๊อกกี้สองสามคนหัวเราะ ความตึงเครียดในห้องพลันมลายไป แต่ ความเห็นอกเห็นใจต่อสตีฟเปี่ยมด้วยความจริงใจ สตีฟพล่ามพูดต่อไป ตราบเท่าทีย่ งั มีคนสนใจฟัง ผมรับฟัง ไม่เพียงเพราะตาขอเสือ้ ผ้าของเราอยู่ ติดกัน ซึ่งท�ำให้ผมไม่มีทางเลือกมากนัก แต่เป็นเพราะเราคุยกันถูกคอดี แม้จะเป็นเพียงเพื่อนร่วมงานผิวเผิน “พวกมันทลายห้องมืดของพ่อ” เขาเล่าต่อ “แกะเก็บทุกอย่างไป เหี้ยนเลย ไม่มีเหตุผลอะไร เหมือนที่ฉันบอกต�ำรวจไปแล้ว ว่าพวกมันไม่ ได้ขโมยของมีค่าที่น่าจะเอาไปขายได้ เช่น เครื่องอัดรูป หรือชุดล้างฟิล์ม มันเลือกเอาแต่ผลงาน รูปทั้งหลายที่พ่อถ่ายเก็บไว้หลายสิบปี มันขนไป หมดเลย น่าเศร้าเหลือเกิน สงสารแม่ ไหนๆ ก็เสียพ่อไปแล้ว ยังไม่เหลือ ผลงานตลอดชีวติ ของพ่อ ไม่เหลืออะไรเลย พวกมันขโมยเสือ้ ขนมิงก์ แถม ยังฉกเอาขวดน�้ำหอมที่พ่อให้แม่เป็นของขวัญ ยังไม่ได้เปิดใช้ด้วยซ�้ำ แม่ เอาแต่นั่งร้องไห้…” เสียงของสตีฟขาดหายไปกลางคัน กลืนน�้ำลายลงคอประหนึ่งว่าไม่ อาจทนบรรยายความเลวร้ายต่อไปได้ อายุยี่สิบสาม สตีฟแยกมาอยู่บ้าน 22


ของตัวเอง แต่ก็ยังเป็นลูกรักของพ่อแม่ ยังผูกพันเหนียวแน่นจนผู้คน รอบข้างอิจฉา จอร์จ มิลเลซอาจเป็นตัวแสบทีค่ นทัง้ โลกเหยียดหยาม แต่ ไม่เคยมีค�ำหมิ่นแม้สักค�ำจะหลุดออกมาจากปากลูกชาย ชายกระดูกเล็ก ร่างผอมเพรียว สตีฟมีลกั ษณะเด่นตรงทีท่ งั้ ดวงตา และใบหูต่างพร้อมใจกันโผล่ยื่นออกจากวงหน้าคนละทิศละทาง มอง ผาดเผินไม่ต่างไปจากตัวตลก แต่ทว่า โดยนิสัยแล้ว สตีฟเป็นคนเอาจริง เอาจัง หมกมุ่นย้อนคิดถึงเรื่องที่ฝังใจ แม้จะไม่มีเรื่องกวนใจในวันนั้นมา เป็นสาเหตุก็ตามที “ต�ำรวจบอกว่าพวกหัวขโมยมันท�ำเพื่อความสะใจ” สตีฟเล่าต่อ “…มักจะท�ำลายข้าวของในบ้านเจ้าทรัพย์ ลักขโมยรูปถ่ายครอบครัว ต�ำรวจบอกว่าเรือ่ งแบบนีเ้ กิดขึน้ บ่อยมาก พวกเราน่าจะดีใจทีพ่ วกมันไม่ฉรี่ ด อึราดทัว่ ทัง้ ห้อง ซึง่ ก็เป็นเรือ่ งทีม่ กั จะเกิดขึน้ เช่นกัน ในบางคราว พวกมัน ถึงกับทุบท�ำลายเก้าอี้ กรีดโซฟาเตียงนั่ง” เขาเล่าต่อในรายละเอียดให้ ผูฟ้ งั หน้าใหม่ทเี่ พิง่ จะโผล่เข้ามา ผมแต่งตัวเสร็จ เดินออกไปขีม่ า้ เทีย่ วแรก แทบจะไม่ได้จดจ�ำเรือ่ งการยกเค้าบ้านของครอบครัวมิลเลซตลอดบ่ายวันนัน้ วั น นั้ น เป็ น วั น ที่ ผ มตั้ ง ตารอคอยมาแสนนาน และเป็ น วั น ที่ ผ ม พยายามจะลืม ผมรอคอยเดย์ไลต์มาหลายเดือนแล้ว เดย์ไลต์จะลงแข่ง ในถ้วยแซนด์ดาวน์แฮนดิแคปแพตเทิร์นเชส รายการแข่งขันครั้งใหญ่ ม้าชั้นเยี่ยม คู่แข่งไม่น่ากลัวนัก โอกาสชนะมีสูงมาก เงื่อนไขกลมกล่อม เช่นนี้ยากจะผ่านมาถึงผม ผมไม่เคยแน่ใจได้จนกว่าจะผ่านเส้นชัย ผม ได้รับค�ำบอกกล่าวว่าเดย์ไลต์เดินทางมาถึงสนามแข่งโดยสวัสดิภาพ หลัง จากการขี่เที่ยวแรก รอบมือใหม่แล้ว ผมก็คงได้ขี่เดย์ไลต์ พาเดย์ไลต์เข้า รับรางวัลใหญ่ หลังจากนั้นแล้ว เจ้าของม้านับโหลคงวิ่งล่าตัวผมกันจน ขาขวิดเพือ่ ให้ไปขีใ่ ห้คอกของตน เข้าชิงรางวัลโกลด์คปั ทีจ่ อ๊ กกีท้ กุ คนใฝ่ฝนั ถึง การขีม่ า้ สองเทีย่ วต่อวันถือเป็นงานปกติ และหากผมติดอันดับหนึง่ ใน 23


ยี่สิบจ๊อกกี้ของฤดูกาลแข่งขัน ผมก็มีความสุขแล้ว ตลอดระยะเวลาหลาย ปีที่ผ่านมา ผมเฝ้าแต่โกหกตัวเองว่าเหตุที่ไม่ประสบความส�ำเร็จตามที่หวัง อาจเป็นเพราะร่างของผมสูงใหญ่เกินกว่าจะขี่ม้า แม้จะด�ำรงชีวิตในสภาพ อดมือ้ กินมือ้ น�ำ้ หนักตัวของผมก็ปาเข้าไปสิบสโตนเจ็ดขีด นัน่ ก็หมายความ ว่า ผมพลาดโอกาสทีจ่ ะลงแข่งในรุน่ น�ำ้ หนักต�ำ่ กว่าสิบสโตน ฤดูกาลแข่งขัน ส่วนใหญ่ ผมจะขี่ม้าราวสองร้อยเที่ยว เข้าวินเสียสี่สิบกว่าครั้ง ผมรู้ตัว ดีว่าจัดอยู่ในประเภท “เชื่อใจได้ แข็งแกร่ง ข้ามเครื่องกีดขวางได้ดี…แต่ ก็ไม่ถือเป็นมือหนึ่งเฉือนกันได้ระดับฉิวเฉียด” คนส่วนใหญ่มักจะคิดกันว่า ถ้ายังอยู่ในวัยหนุ่ม ก็มีโอกาสทะยาน สู่จุดสุดยอดในสาขาอาชีพของตน การปีนไต่เลื่อนชั้นเป็นแต่เพียงพิธีการ ธรรมดา หากขาดไร้ศรัทธาเต็มเปี่ยมเช่นนั้นเสียแล้ว ผมคิดว่าก็คงไม่มี ใครขยับตัวเคลื่อนจากที่ เมื่อเดินทางไปถึงกึ่งกลางทาง คนหนุ่มเงยหน้า มองจ้องยอดเขาสุดสูงและรู้แน่แก่ใจว่าไม่มีทางขึ้นไปถึงจุดสุดยอดได้แน่ แล้ว ณ จุดนั้น ความสุขในชีวิตจะอยู่ที่การก้มลงมองเบื้องล่าง ชื่นชม วิวทิวทัศน์เท่าที่กวาดสายตาไปถึง ในใจมิได้มีแม้เศษเสี้ยวของความริษยา หรือร้อนรนทุรนทุรายกับภาพที่ไม่มีโอกาสจะได้เห็น เมื่ออายุได้ยี่สิบหกปี ผมตระหนักถึงการหยุดพักกึง่ กลางทาง ยอมรับวิวทิวทัศน์รอบตัว ผมรูต้ วั แล้วว่าจะไม่มโี อกาสไต่ได้สงู กว่านีอ้ กี แล้ว ก็นา่ แปลก แทนทีก่ ารยอมรับนี้ จะก่อความซึมเศร้า กลับให้ผลในทางตรงข้าม ผมรู้สึกโล่งอก ผมไม่เคย เป็นคนตะเกียกตะกายทะเยอทะยานใฝ่สูง แต่พร้อมจะทุ่มเทท�ำงานทุก อย่างให้สดุ ความสามารถ ถ้าไม่อาจท�ำได้ดกี ว่านัน้ อีกแล้ว ก็จบเพียงแค่นนั้ ท�ำไม่ได้ก็คือ ท�ำไม่ได้ ในท�ำนองเดียวกัน ผมเองก็ไม่ลุกลี้ลุกลนโต้แย้ง หากจะมีใครยื่นถ้วยรางวัล ‘โกลด์คัป’ มาให้ถึงมือ บ่ายวันนั้นที่แซนด์ดาวน์ ผมพาม้ามือใหม่กลับเข้าคอกโดยไม่มีความ ตื่นเต้นเป็นของแถม เข้าที่ห้าจากม้าสิบแปดม้า ไม่เลวเลย ผลงานดีที่สุด เท่าที่ผมกับม้าจะท�ำได้ในวันนั้น…งานปกติประจ�ำวันอีกวัน 24


ผมเปลี่ยนเสื้อ สวมสีคอกของเดย์ไลต์ อีกไม่กี่อึดใจถัดมา เดินลงสู่ ลานอวดม้า ความรูส้ กึ ท่วมท้นในอกไม่มใี ดอืน่ นอกจากความอิม่ เอมทีจ่ ะได้ จากการแข่งม้าเที่ยวนี้ ผู้ฝึกม้าเดย์ไลต์ คนที่ผมขี่ให้เป็นประจ�ำ ยืนรออยู่ แล้ว เคียงข้างชายเจ้าของเดย์ไลต์ เจ้าของเดย์ไลต์โบกมือตัดการชวนสนทนาที่ว่าฟ้าเปิดแล้ว ฝน โปรยปรายขาดสายเสียที กระซิบห้วนสั้นโดยไม่มีบทน�ำว่า “แกจะต้อง ดึงม้าให้แพ้ ฟิลิป” ผมยิ้ม “ไม่มีทาง ถ้าผมยังนั่งอยู่บนหลังม้า” เสียงของเขาห้วนแทบจะเป็นตะคอก “ดึงให้แพ้ เงินพนันทั้งหมด ทุ่มไปที่ม้าตัวอื่น” ผมไม่คิดว่าผมพยายามปิดบังความขมขื่นและความโกรธบนใบหน้า ของตนเองให้มดิ ชิดนัก เจ้าของม้าคนนีเ้ คยสัง่ ให้ดงึ ม้ามาก่อน แต่กท็ งิ้ ช่วง มานานกว่าสามปี และเขาเองก็รู้ดีว่าผมไม่ชอบเรื่องพรรค์นี้ วิกเตอร์ บริกกส์ เจ้าของเดย์ไลต์ เป็นชายอุดมด้วยมัดกล้ามแกร่ง ทั่วร่าง อายุราวสี่สิบ อาชีพและเบื้องหลัง ผมแทบจะไม่รู้จัก เขาเป็นคน เก็บตัว ไม่สงุ สิงกับใคร มาสนามม้าแข่งด้วยใบหน้าเรียบเฉย พูดกับผมนับ ค�ำได้ เสือ้ โค้ตสีนำ�้ เงินเข้มตัวโคร่ง หมวกปีกสีดำ� และถุงมือหนังด�ำ แทบ จะเป็นเครื่องแบบประจ�ำตัว ในอดีตที่ผ่านมา บริกกส์เป็นนักพนันตัวยง เมื่อผมมาขี่ม้าของเขา ผมมีทางเลือกสองทาง หากไม่ดึงม้า ก็ต้องไสหัว ไปให้พ้น แฮโรลด์ ออสบอร์น ผู้ฝึกม้าของคอกนี้ ตะโกนใส่หน้าผมหลัง จากทีผ่ มขีม่ า้ ให้เขาได้ไม่นานนัก ความหมายชัดเจนโดยไม่ตอ้ งแปล ถ้าไม่ ท�ำตามสั่ง ก็ต้องไปขี่ให้คอกอื่น ผมดึงม้าให้วิกเตอร์ บริกกส์หลายหน ม้าชั้นเยี่ยมที่น่าจะชนะได้ ไม่ยาก นั่นเป็นข้อเท็จจริงของชีวิต ผมต้องกิน ต้องหาเงินมาไถ่จ�ำนอง กระท่อม หากต้องการรักษาชีวิตให้รอด ก็ต้องขี่ม้าให้คอกขนาดใหญ่ ถ้า ผมเดินออกจากคอกที่เสนองานให้ท�ำ ผมอาจจะหาคอกใหม่ได้ไม่ง่ายนัก 25


คอกใหญ่ขนาดของวิกเตอร์ บริกกส์มีจ�ำนวนแค่นับนิ้วได้ และการท�ำงาน ร่วมกับออสบอร์นก็ด�ำเนินไปได้อย่างราบรื่น เหมือนเช่นจ๊อกกี้คนอื่นๆ ที่ ตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัดเช่นนี้ ผมหุบปากแล้วปฏิบัติตามค�ำสั่ง ครั้งแรกสุดที่เกิดเรื่อง วิกเตอร์ บริกกส์เสนอเงินให้ผมก้อนหนึ่งใน การดึงม้า ผมปฏิเสธ หากจะให้ดึงม้าให้แพ้ จ�ำเป็นต้องท�ำก็ต้องท�ำ แต่ ไม่มีการรับเงิน บริกกส์หลุดปากสบถออกมาว่าผมเป็นไอ้งั่งเย่อหยิ่ง แต่ เมื่อผมปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง เขาเก็บเงินค่าจ้างสกปรกไว้ในกระเป๋า และ เก็บความเห็นกลืนลงคอ “ท�ำไมแกไม่รบั วะ?” แฮโรลด์ ออสบอร์นถามด้วยความกังขา “อย่า ลืมนะว่า แกพลาดโอกาสที่จะได้เงินพิเศษสิบเปอร์เซ็นต์ถ้าม้าเข้าวิน คุณ บริกกส์อุตส่าห์ชดเชยเงินจ�ำนวนนี้ให้แล้ว” ผมสั่นศีรษะ ออสบอร์นก็ไม่ได้เซ้าซี้ ผมคิดในใจว่าผมอาจจะเป็น ไอ้หน้าโง่ที่ไม่ยอมรับเงิน อดีตที่ผ่านมา อาจมีซาแมนธา โคลอี หรือ คุณแม่จ�ำเป็นอีกหลายต่อหลายคนที่สอนสั่งเข้าสมองผมว่าไม่ควรรับเงิน ค่าจ้างในการกระท�ำความผิด ดังนั้น เมื่อเหินห่างจากสภาพอึดอัดใจนาน กว่าสามปี ผมจึงอดที่จะเดือดเป็นไอไม่ได้เมื่อต้องเผชิญหน้าสถานการณ์ เขาควายอีกครั้ง “ผมแพ้ไม่ได้” ผมประท้วง “เดย์ไลต์ดีกว่าม้าทั้งฝูง ทิ้งกันหลาย ช่วงตัวเลยละ คุณเองก็รู้นี่นา” “ท�ำตามสัง่ ” บริกกส์กระซิบลอดไรฟัน “ลดเสียงแกลงบ้างถ้าแกไม่ ต้องการให้คณะกรรมการมาลากคอแก” ผมหันไปหาออสบอร์น เขายุ่งอยู่กับการเพ่งจ้องม้าที่เดินวนไปมาอยู่ ในลานอวดม้า ไขหูไม่ได้ยินเสียงของวิกเตอร์ บริกกส์ “แฮโรลด์?” ผมกระซิบถาม เขาเบือนหน้ากลับมาเพียงแวบเดียว “วิกเตอร์พดู ถูก เงินทุม่ ลงทาง อื่นหมดแล้ว ถ้าแกพาม้าเข้าวิน เราก็หมดตัว…อย่าชนะแล้วกัน” 26


“เรา?” เขาผงกศีรษะรับ “ไม่ผิดหรอก ตกม้าก็ได้ หรือจะดึงให้เข้าเพลส… ท�ำอะไรก็ได้ อย่าได้เข้าวินเป็นพอ เข้าใจนะ” ผมผงกศีรษะรับ เข้าใจถ่องแท้ ตกอยู่กลางเขาควายเหมือนเมื่อสาม ปีก่อน ผมชักเดย์ไลต์เข้าไปอยู่กลางฝูง ความขมขื่นของความเป็นจริงท่วม กลบความรู้ดีรู้ชั่วในใจ…เหมือนครั้งก่อนที่ผ่านมา ผมตกงานไม่ได้เมื่ออายุ ได้ยี่สิบสาม ตอนนี้อายุสามสิบ ก็ยิ่งยากขึ้น ผมได้ชื่อว่าเป็นจ๊อกกี้ของ ออสบอร์นไปแล้ว ผมท�ำงานร่วมกับเขามาแล้วเจ็ดปี หากออสบอร์นไล่ ผมออกจากงาน ผมก็คงได้งานกวาดคอกม้า หรือไม่ก็คงเป็นจ๊อกกี้ชั้น สอง เขาคงไม่แถลงข่าวว่าไล่ผมออกเพราะผมไม่ดึงม้าตามสั่ง แต่ก็คงพูด (ด้วยความเสียใจอย่างโศกซึง้ ) ว่าเขาก�ำลังมองหาจ๊อกกีใ้ หม่ทอี่ ายุนอ้ ยกว่า นี้ เขาจ�ำเป็นต้องคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเจ้าของม้า นับเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่อาชีพของจ๊อกกีท้ กุ คนก็ยอ่ มมีจดุ จบ ไม่ชา้ ก็เร็ว ช่างเป็นเรือ่ งน่าเสียดาย เหลือเกิน จริงไหม? แต่ทกุ คนก็ทราบดีวา่ เวลาคืบเคลือ่ นไปข้างหน้าอย่าง ไม่หยุดยั้ง ห่ะ ผมสบถลั่นในใจ ผมไม่อยากแพ้การแข่งเที่ยวนี้ ผมไม่อยาก โกง…เงินพิเศษอีกสิบเปอร์เซ็นต์ที่ผมจะสูญไปในคราวนี้ ยิ่งท�ำให้ผมแค้น หนักขึ้น ท�ำไมนะ? ท�ำไมวิกเตอร์ บริกกส์ถึงได้หวนกลับมาเล่นสกปรก หลังจากที่วางมือไปหลายปี? ถ้าเป็นจ๊อกกี้ที่ได้ชัยชนะบ่อยครั้ง จะไม่มี ความกดดันเช่นนี้มาแผ้วพาน เพราะถ้าคอกม้าไม่ประสงค์จะจ้างอีกต่อไป คอกอืน่ ๆ ก็พร้อมจะอ้าแขนรับด้วยความเต็มใจ หรือว่าอายุผมมากขึน้ จน บริกกส์เชือ่ ว่าผมจะไม่มที างปฏิเสธได้ ผมหลุดเข้ามาในแดนอันตรายแล้ว… เขาคิดไม่ผิด ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ จ๊อกกี้ชักม้าวนเป็นวงในขณะที่คณะกรรมการปล่อยม้าขานชื่อ ผม มองม้าสี่ม้าที่น่าจะเป็นคู่แข่งของเดย์ไลต์ ไม่มีมา้ ตัวไหนดีพอ จะเขียน 27


บทความชี้แนะอย่างไร ก็ไม่มีทางเอาชนะเจ้าสายฟ้าใต้อานของผมได้ เพราะเหตุนี้เองแฟนอาชาทั้งหลายถึงได้ทุ่มทุนสุดตัวเพื่อถือหางเดย์ไลต์ สี่ต่อหนึ่ง… ยอมแทงม้าด้วยเงินสี่ปอนด์ เพียงเพื่อหวังก�ำไรหนึ่งปอนด์ วิกเตอร์ บริกกส์ไม่ยอมเสี่ยงสูญเงินในกระเป๋า เขาเปิดรับแทงม้า เดย์ไลต์ ซึ่งก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายถ้าเดย์ไลต์เข้าวิน ดูเหมือนแฮโรลด์ ออสบอร์นก็ควักกระเป๋าเป็นโต๊ดเถื่อนด้วยเช่นกัน หากจะคิดให้ใจสบาย ขึ้นอีกนิด ผมก็พอจะปลอบประโลมใจตนเองได้ว่ายอมกระท�ำความผิด เพื่อสนองคุณแฮโรลด์ ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา การท�ำงานร่วมกันสนิทสนมชิดเชื้อ ยิ่งไปกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกกับจ๊อกกี้ หากจะไม่นับน�้ำใจผูกพัน กันถึงระดับเครือญาติ ก็ยังพอถือว่ามีน�้ำใจความเป็นเพื่อนในระดับหนึ่ง แฮโรลด์เป็นมนุษย์เจ้าโทสะและมีน�้ำใจชั้นยอด อาจจะมีสักวันที่โมโหจน หน้าเขียว แต่ก็ยิ้มกว้างรื่นเริงได้เหมือนทารก หากจะเป็นจอมเผด็จการ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในอีกวินาทีถัดมา มีความเอื้อเฟื้อให้ของขวัญสุดตัวได้ อย่างไม่ขัดเขิน เสียงของเขากึกก้องดังสนั่น ตะโกนกลบและสบถด่าทุกผู้ ทุกคนในเบิรก์ เชียร์ดาวน์ได้ วันแรกทีผ่ มมาขีม่ า้ ให้เขา เสียงสบถด่าวิพากษ์ วิจารณ์ของแฮโรลด์ดังถนัดชัดหูจากแวนเทจถึงสวินดอน และในบ้านของ เขา เวลาสิบนาฬิกา เขาเปิดแชมเปญฉลองมิตรภาพระหว่างเราสองคน ซึ่งกลายมาเป็นการท�ำงานร่วมกันอย่างราบรื่นตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา แฮโรลด์วางใจและเชื่อมือผมเต็มหัวใจ พร้อมจะเปิดปากโต้แย้ง ปกป้องผมอย่างที่ไม่มีผู้ฝึกคนใดยอมกระท�ำเพื่อจ๊อกกี้ เขาบอกกับผมเอง ว่าจ๊อกกี้ทุกคนต่างก็มีจุดด้อยในตัว เขาหางานป้อนผมไม่ขาดสาย และ อนุมานเอาว่าผมน่าจะอุทิศทุ่มเทตนเองเต็มที่เพื่อเขาและคอกม้า สามปีที่ไม่มีการเล่นสกปรก ผมทุ่มกายถวายชีวิตให้แฮโรลด์ได้อย่าง ไม่ขัดเขิน 28


คณะกรรมการปล่อยม้าเรียกม้าเข้าประจ�ำที่ ผมชักม้าเดย์ไลต์ให้หัน หน้าให้ถูกทาง ไม่ มี เ สี ย งปื น ให้ สั ญ ญาณปล่ อ ยม้ า ในการแข่งกระโดดข้ ามเครื่อง กีดขวาง มีเพียงแถบเทปพลาสติก ผมกัดฟันแน่น พยายามสะกดข่มความขมขืน่ ในใจ ในการขีม่ า้ เดย์ไลต์ ในวันนี้ หากจะต้องดึงให้แพ้ ก็จะต้องจัดการเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ใกล้จุด เริ่มต้นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อหลีกเลี่ยงกล้องส่องทางไกลนับ พันคู่ กล้องถ่ายทอดโทรทัศน์ และกล้องตรวจการณ์ และสายตาแหลม ของผูส้ อื่ ข่าว พลังทีป่ ระจุแน่นในอณูกล้ามเนือ้ ของเดย์ไลต์ทำ� ให้ยากจะดึง ให้ชะลอช้า หากผมตกม้าในตอนทีใ่ กล้เข้าเส้นชัย ก็คงมีการสอบสวน และ ผมก็คงถูกริบใบอนุญาต เลวร้ายไปกว่านั้น ผมเองก็รู้เต็มอกว่าโทษทัณฑ์ ที่ได้รับสาสมแก่ความผิดแล้ว คณะกรรมการปล่อยม้าดึงคันโยก แถบเทปลอยสูง ส้นเท้าของผม กระตุ้นเดย์ไลต์ให้ทะยานออกจากที่ จ๊อกกี้คนอื่นๆ ดูเหมือนว่าไม่อยาก จะออกน�ำ ม้าทุกม้าเกาะกลุ่มวิ่งตามสบาย ซึ่งก็ท�ำให้ปัญหาของผมย�่ำแย่ หากเดย์ไลต์มีเวลาเหลือเฟือ จะข้ามรั้วไหนๆ ไม่มีสะดุด เดย์ไลต์เกิดมา เพื่อกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ม้าบางตัวต้องโถมสุดตัวเพื่อสั่งให้กระโดด ขึน้ ผมต้องทุม่ สุดตัวเช่นกันเพือ่ ดึงเดย์ไลต์ไว้ไม่ให้กระโดดข้ามรัว้ เดย์ไลต์ ต้องการเพียงส้นเท้ากระตุ้นเบาๆ งานที่เหลือ มันท�ำเองทั้งหมด ผมเคย ขี่เดย์ไลต์เข้าวินมาแล้วหกครั้ง ผมรู้จักม้าตัวนี้เป็นอย่างดี โกงชัยชนะของม้า โกงประชาชน โกง ห่ะ ผมคิดในใจ ให้ตายสิ ผมเลือกรัว้ ทีส่ าม ทางลาดลงจากยอดเนิน โค้งหักข้อศอก บ่ายหน้า ออกจากอัฒจันทร์ จุดนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด หนึ่งนั้นเป็นจุดบอด อีกข้อ จะเป็นทางลงลาดเนิน รั้วไม้รอบโค้งหักข้อศอกกลืนกินเหยื่อมาแล้วนับ 29


จ�ำนวนไม่ถ้วนในแต่ละปี เดย์ไลต์สบั สนเนือ่ งเพราะได้รบั สัญญาณผิดพลาด หรืออาจเป็นเพราะ สดับความแค้นเคืองในใจของผมได้ ซอยเท้าถี่ผิดจังหวะโดยไม่จ�ำเป็นก่อน จะทะยานขึ้นจากพื้น พระเจ้าเป็นพยาน เจ้าหนู เสียใจด้วย แกต้องล้มแล้วละ ส้นเท้า ของผมกระแทกสีข้างเดย์ไลต์ก่อนถึงเวลาอันควร ผมดึงบังเหียนในขณะที่ ม้าลอยตัวอยู่กลางอากาศ แล้วเลื่อนน�้ำหนักตัวทิ้งลงไปทางคอม้า เดย์ไลต์ลงพืน้ ผิดท่า ซวนเซไปสองสามก้าว พยายามกดหัวลงต�ำ่ เพือ่ รักษาสมดุล แค่นนั้ ยังไม่พอ ผมถอดเท้าออกจากบังโกลนขวา เหวีย่ งข้าม อาน ตอนนี้ผมตกออกจากอานมาครึ่งตัวแล้ว เหลือเพียงมือสองข้างเกาะ กุมขนคอม้า แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะรั้งอยู่บนหลังม้า ผมเกาะขนคอม้าไปได้อีก สองสามก้าวก่อนจะปล่อยตัวให้ไหลเลื่อนลงพื้น เสียงเกือกม้ากระทบพื้น กึกก้อง ร่างกลิ้งสองสามรอบลงเนิน จากนั้น สรรพเสียงรอบข้างก็เงียบ สงัด ผมยันตัวนัง่ ถอดหมวกออก ท้องไส้ปน่ั ป่วน อยากจะอาเจียนออกมา “โชคร้ายหน่อยนะ” เสียงทักทายในห้องชัง่ น�ำ้ หนัก “ดวงเน่านะวันนี”้ เสียงเช่นนีด้ งั เป็นระยะไปตลอดทัง้ วัน ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าจะมีใครรูท้ นั บ้าง หรือไม่ ก็คงไม่มีใครรู้ ไม่มีข้อศอกมากระทุ้งสีข้างหรือการยักคิ้วหลิ่วตา ล้อเลียน จะมีกแ็ ต่ความอับอายในใจของผมทีส่ ง่ สายตาก้มเพ่งจ้องพืน้ ห้อง “ท�ำใจให้สบาย” สตีฟ มิลเลซหันมาบอกผมในขณะที่กลัดกระดุม เสือ้ สีสม้ ขลิบฟ้าสดใส “ไม่ใช่วนั โลกาวินาศสักหน่อย” เขาหยิบหมวกและ แส้ ยิ้มผงกศีรษะให้ “ยังมีวันพรุ่งนี้เสมอ” “อือ” เขาเดิ น ออกจากห้ อ งออกไปขี่ ม ้ า ผมเปลี่ ย นเสื้ อ ผ้ า ธรรมดาใน 30


บรรยากาศซึมเศร้า เสียแรง เหนื่อยเปล่า ผมคิดในใจ ส�ำหรับความตื่น เต้นล่วงหน้า ส�ำหรับชัยชนะ และผู้ฝึกม้านับสิบที่จะตะกายเหยียบกันมา ว่าจ้างให้ผมขีม่ า้ เข้าชิงถ้วยโกลด์คปั เสียดายเงินรายได้พเิ ศษก้อนโตทีน่ า่ จะ มาชดเชยเงินเก็บที่หดหายไปเมื่อซื้อรถคันใหม่ ไม่ว่าจะหันไปมองแนวรบ ด้านใด สิ่งที่เห็นมีแต่ความหดหู่ ผมออกไปดูการแข่งม้า สตีฟ มิลเลซมีความกล้าบ้าบิ่นมากกว่าความคิดในสมอง ไสม้าสุด ตัวเข้าหารั้วที่สองก่อนถึงเส้นชัย ม้าล้มคว�่ำไม่เป็นท่า ความเร็วความแรง เช่นนี้ มักท�ำให้กระดูกหักเสมอ ทุกคนเห็นชัดถนัดตาว่าสตีฟ มิลเลซ เจ็บหนักเอาการ เขาดันตัวนั่งคุกเข่า ท�ำได้เพียงเท่านั้นก็ทรุดลงนั่งบน ส้นเท้า สองมือกอดไขว้โอบตัวประหนึ่งสวมกอดตนเอง แขน หัวไหล่ ซี่โครง…อาจมีส่วนไหนแตกหักไปแล้ว ม้ า ของสตี ฟ ดู จ ะไม่ มี ร อยขี ด ข่ ว น ลุ ก ขึ้ น วิ่ ง จากไป ผมยื น มอง บุรุษพยาบาลสองนายพยุงสตีฟขึ้นรถพยาบาล วันเศร้าส�ำหรับสตีฟเช่น กัน ผมคิดในใจ ไหนจะมีปญ ั หาทางบ้าน ยังมาเจ็บตัวอีก อะไรกันทีข่ บั พวกเราให้มาท�ำงานเสี่ยงตายอย่างนี้? อะไรท�ำให้พวกเราปีนขึ้นหลังม้า ทุกเมือ่ เชือ่ วัน โดยไม่ใส่ใจการบาดเจ็บ ความเสีย่ ง และความผิดหวัง? มี สิง่ ใดล่อใจให้พวกเราเร่งความเร็วแข่งกับลมในเมือ่ เราหารายได้เท่าเทียมกัน ในต�ำแหน่งเสมียนในส�ำนักงาน? ผมเดิ น กลั บ เข้ า ไปในห้ อ งชั่ ง น�้ ำ หนั ก รู ้ สึ ก ถึ ง ความเจ็ บ ระบมใน มัดกล้ามเนื้อที่ถูกเดย์ไลต์ย�่ำเหยียบ เนื้อตัวของผมคงบวมช�้ำแดงก�่ำและ จะเปลีย่ นเป็นเขียวเหลืองในวันถัดๆ ไป แรงกระแทกและรอยบวมช�ำ้ จาก การประกอบอาชีพประจ�ำวันไม่ได้กวนใจผมนัก เท่าที่ผ่านมายังไม่มีอะไร ฉีกขาดแตกหัก ซึ่งก็ก่อกวนใจ ท�ำให้ผมกลัวเอาการ เท่าที่ผ่านมา ผม รู้สึกเสมอว่ามีความสุขสมบูรณ์ในร่างกายแข็งแกร่ง ด�ำรงชีวิตเคลื่อนไหว ได้คล่องแคล่วเช่นนักกีฬา ไม่มีสิ่งแปลกปลอมให้เป็นกังวล ผมรู้สึกว่า 31


ผมโชคดีที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ความสบายใจนี่เองที่น่าจะท�ำให้ทุกอย่างจบสิ้น ถ้างานนี้ไม่เหลือ คุณค่าอีกต่อไป ถ้างานนี้มีคนเช่นวิกเตอร์ บริกกส์มาปนเปื้อนเกินกว่าจะ รับได้อกี ต่อไป ก็คงเป็นจุดจบ แต่ยงั ก่อน งานนีย้ งั เป็นชีวติ ทีผ่ มชืน่ ชอบ… ชีวิตเปี่ยมคุณค่าที่ผมยังไม่อยากละทิ้งไป สตีฟเดินเข้ามาในห้อง สวมปลอกคอ ผ้าคล้องแขน ศีรษะเอียงไป ด้านหนึ่ง “กระดูกไหปลาร้าหัก” สตีฟกัดฟันแน่น “ช่างน่าร�ำคาญเหลือเกิน” ความเจ็บแปลบแล่นขึน้ มาเป็นระยะท�ำให้ใบหน้าผอมเกร็งของเขากระตุกวูบ กดร่องหยักข้างแก้มและรอยรอบดวงตาให้เป็นร่องลึก ประกายตาเท่านั้น ที่บอกว่าสิ่งที่เขารู้สึกมีเพียงความร�ำคาญใจ บุ รุ ษ พยาบาลช่ ว ยสตี ฟ เปลี่ ย นเสื้ อ ผ้ า ปลายนิ้ ว นุ ่ ม นวลจาก ประสบการณ์นานปี ดึงบู๊ตออกเชื่องช้าเพื่อไม่ให้สะเทือนไปถึงกระดูก ไหปลาร้า กลุม่ จ๊อกกีช้ มุ นุมในห้องผลักไสหยอกล้อ ร้องเพลงประสานเสียง ดืม่ ชา กินฟรุตเค้ก เปลือ้ งเสือ้ แพรสีสด ดึงกางเกงขึน้ สวม หัวเราะ สบถ ด่า เร่งรีบ ปล่อยตัวตามสบายเมือ่ สิน้ สุดเวลาท�ำงานประจ�ำสัปดาห์ กลับ มาพบกันใหม่อีกครั้งในวันจันทร์ “จะเป็นไปได้ไหมว่า…” สตีฟหันมาหาผม “คุณจะขับรถไปส่งฉันที่ บ้าน?” เสียงของเขาคลางแคลงเหมือนไม่แน่ใจว่ามิตรภาพของเราจะกิน ความไปไกลขนาดนั้น “ได้เลย” “บ้านแม่ของผมใกล้แอสค็อตนะ” “ไม่มีปัญหา” “ฉันจะส่งคนมาขับรถกลับพรุ่งนี้” สตีฟพึมพ�ำในคอ “…ช่างน่า ร�ำคาญเหลือเกิน” ผมคว้ากล้องมาถ่ายรูปสตีฟกับบุรุษพยาบาลในขณะที่ดึงรองเท้าบู๊ต 32


อีกข้าง “คุณเอารูปพวกนั้นไปท�ำอะไร?” บุรุษพยาบาลสอบถามด้วยความ อยากรู้ “เก็บเข้าลิ้นชัก” บุรุษพยาบาลเหลือกตามองฟ้า “เสียเวลาเปลืองเปล่า” สตีฟหันมามองกล้องนิคอนในมือของผม “พ่อเคยพูดกับฉันหลังจาก ที่ชมผลงานของคุณแล้ว พ่อบอกว่าคุณจะท�ำให้พ่อตกงานสักวัน” “พ่อของคุณหัวเราะเยาะผม” “ก็เป็นได้ แต่ฉันก็ไม่เคยได้ยินพ่อชมใคร” สตีฟคืบปลายนิ้วเข้าไป ในแขนเสือ้ เชิรต์ บุรษุ พยาบาลช่วยกลัดกระดุมเสือ้ ให้ “โอ๊ย…” เสียงร้อง ไม่เบานัก ใบหน้าเหยเก จอร์จ มิลเลซเคยเห็นรูปถ่ายส่วนหนึง่ ในรถของผม เขาเดินมาพบใน ตอนที่ผมนั่งดูรูปในลานจอดรถ ตอนบ่ายเจิดจ้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ รอ เพื่อนอีกคนที่ผมจะไปส่ง “พ่อช่างภาพบันลือโลก ไหนขอดูหน่อยซิ” จอร์จ มิลเลซยิ้มแสยะ ที่มุมปาก ยื่นมือผ่านหน้าต่างรถมาคว้ารูปถ่ายในมือของผม ดึงยื้อกัน ชั่วอึดใจ ผมยอมปล่อยมือ “วู้ย น่าสนใจ ม้า ม้า แล้วก็สนามแข่ง ม้าโผล่แหวกออกมาจากม่านหมอก อารมณ์โรแมนติกเอาเรื่องนิ” จอร์จ มิลเลซอาจจะพูดถากถาง แต่สายตาไล่เรียงทีละภาพเนิ่นช้า ท้ายที่สุด เขาส่งรูปปึกนัน้ กลับมา “ท�ำงานต่อไปเหอะ เจ้าหนู…สักวัน แกจะถ่ายรูป เป็น” จอร์จ มิลเลซเดินข้ามลานจอดรถ กระเป๋ากล้องขนาดมหึมาพาด บนไหล่ เขาต้องขยับกระเป๋าเป็นครั้งคราวเพื่อถ่ายน�้ำหนัก นับเป็น ช่างภาพคนเดียวที่ผมไม่เคยสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ ดันแคนกับชาร์ลี ช่างภาพฝีมอื ดี สามปีทผี่ มอยูร่ ว่ มกับพวกเขา ช่าง ภาพทัง้ สองเฝ้าอบรมสัง่ สอนสรรพความรูไ้ หลหลัง่ สูส่ มองของผมด้วยความ 33


อดทนอย่างสูง ชายทัง้ สองไม่ได้สนใจว่าผมพร้อมจะเรียนรูห้ รือไม่ ตอนนัน้ ผมอายุเพียงสิบสองปี ชาร์ลีบอกว่า ไหนๆ ผมก็อยู่ที่นี่แล้ว ก็น่าจะช่วย เก็บกวาดห้องมืดได้ ผมรับปากด้วยความเต็มใจ นับจากนั้น ความรู้ทีละ เรื่องสองเรื่องก็ทยอยกันหลั่งไหลมาเป็นสาย ผมต้องรับหน้าที่ขยายรูปให้ ดันแคน และงานอีกครึ่งที่เหลือของชาร์ลี เขาสัพยอกผมว่าเป็น “ผู้ช่วย ห้องแล็บของเรา” หากเขาจะผสมน�้ำยาล้างรูป เขาจะเรียกผมไปลงมือ “มือเบาเป็นพิเศษเมื่อใช้เข็มฉีดยา ดูดน�้ำยาเบนโซลแอลกอฮอล์เพียงหนึ่ง จุดสี่มิลลิลิตรเท่านั้นนะ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น” ผมดูดน�้ำยาน้อยนิด ตามสั่ง ฉีดลงไปในอ่างล้างรูป ผมรู้สึกว่าผมเกิดมาในโลกนี้ก็มีประโยชน์ เหมือนกัน บุรุษพยาบาลช่วยสตีฟสวมเสื้อแจ๊กเก็ต ยื่นนาฬิกาและกระเป๋าเงิน ให้ ผมชะลอฝีเท้าเดินตามหลังสตีฟออกไปยังลานจอดรถ “ฉันสัญญากับแม่ว่าจะช่วยเก็บกวาดบ้านตอนกลับบ้าน ก็คงเหลว แล้ว” “แม่ของคุณคงมีเพื่อนบ้านช่วยเหลือ” ผมช่วยพยุงสตีฟเข้าที่นั่งใน รถฟอร์ดใหม่เอี่ยม ผมเดินอ้อมไปที่นั่งคนขับ ออกรถบ่ายหน้าสู่ท้องฟ้า ยามเย็น ผมเปิดไฟหน้า หันหัวรถมุ่งตรงไปยังแอสค็อต “เหงาๆ ไงพิกล กลับบ้านแล้วไม่มีพ่ออยู่ที่นั่น” “เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ผมสอบถาม “…ได้ยินว่าขับรถชนต้นไม้” สตีฟถอนหายใจยาว “ฮื่อ คงหลับใน ทุกคนคิดว่าน่าจะเป็นอย่าง นั้น ไม่มีรถสวน ไม่มีรอยเบรก รถของพ่อแล่นไปถึงโค้ง พ่อคงไม่หักหัว พ่อคงวางเท้าอยูบ่ นคันเร่ง รถแล่นแหกโค้งพุง่ ชนต้นไม้…” สตีฟสัน่ ยะเยือก ทั่วร่างประหนึ่งหนาวเหน็บ “พ่อเดินทางกลับบ้านจากดอนคาสเตอร์ แม่ เตือนเสมอเรื่องขับรถกลางคืนบนมอเตอร์เวย์หลังจากท�ำงานเหนื่อยมา ทั้งวันแล้ว แต่นี่ไม่ใช่มอเตอร์เวย์ รถก็คงไม่แล่นเร็วนัก…อีกไม่กี่นาที ก็ ถึงบ้านแล้ว” 34


เสียงของสตีฟเหนือ่ ยอ่อนซึมเศร้า ซึง่ ก็คงธรรมดา ผมเหลือบไปมอง ทางเขา มองเห็นว่าการสั่นสะเทือนคงท�ำให้ปวดเอาการ “พ่อหยุดกลางทางที่บ้านเพื่อน” สตีฟเล่าต่อ “ดื่มวิสกี้ไปแก้ว สองแก้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดี หลับในตอนขับรถ…” เสียงของเขา หายไปในล�ำคอ นิ่งกันไปนาน สตีฟนั่งนิ่งจมอยู่กับปัญหาของเขา ผมอยู่กับปัญหา ของผม “เมื่อเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง” สตีฟโพล่งขึ้นมา “สัปดาห์ที่แล้ว” นาทีนี้มีชีวิตอยู่ นาทีข้างหน้าหมดลมหายใจ…เหมือนเช่นคนอื่นๆ “เลี้ยวซ้ายตรงนี้” สตีฟบอกทาง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หักเลี้ยวอีกสองสามครั้ง ถนนเปิดสู่ชานเมือง มีพุ่มไม้เตี้ยๆ สองข้างทาง หลังพุ่มไม้เป็นบ้านชั้นเดียวเตี้ยๆ ซ่อนตัวอยู่ ในดงไม้ เรียงรายกันเป็นแถว เลยไกลไปข้างหน้า ดูเหมือนจะเกิดเหตุโกลาหล แสงไฟเปิดสว่าง ผู้คนยืนกันเป็นฝูงใหญ่ รถพยาบาลเปิดท้ายอ้ากว้าง รถต�ำรวจ แสงไฟ หมุนวาบเป็นระยะ ผู้คนเดินเข้าออกจากบ้านเป็นสาย หน้าต่างบ้านข้าง เคียงทุกหลังเปิดม่านส่งไฟสว่างสาดออกมาเป็นทาง “พระเจ้าช่วย…” สตีฟครางออกมา “บ้านของแม่” ผมหักรถเข้าจอดข้างทาง สตีฟนั่งนิ่ง สายตาเหม่อจ้องมองภาพ เบื้องหน้า “แม่…” เขาครางออกมา “ต้องเป็นแม่แน่เลย” เสียงนั้นแหบแตกพร่า ใบหน้าบูดเบี้ยวเหยเกด้วยความวิตกกังวล ตาสองข้างเบิกกว้างฉายแววตื่นตระหนกเหมือนทารกตัวน้อย “นั่งที่นี่” ผมกระซิบบอก “ผมจะลงไปดูเอง”

35


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.