The veteran and other stories

Page 1


นามนั้นหรือคือ ลมกระซิบ Whispering Wind

ต�ำนานเล่าขานกันสืบมาว่า ไม่มีคนขาวเหลือรอดแม้แต่คนเดียว จากการสังหารหมูก่ องทหารม้าของนายพลคัสเตอร์ทลี่ ติ เติลบิก๊ ฮอร์น วันที่ 25 มิถุนายน 1876 ความจริงคลาดเคลื่อนไป ...มีผู้เหลือรอดชีวิต คน ผู้นั้นเป็นพรานน�ำทาง พรานป่าอายุยี่สิบสี่ ชื่อว่า เบน เครก นี่คือเรื่องราวชีวิตของเขา จมูกแหลมคมของพรานป่านั่นเองที่สดับกลิ่นนั้นได้ก่อน...กลิ่นควัน ไฟจากไม้ฟืนเจืออยู่ในลมอ่อนโบกโบยในทุ่งแพร์รี เขาล�้ำหน้ายี่สิบหลา น�ำขบวนหน่วยลาดตระเวนทหารม้าสิบนาย ล่วงหน้ากองก�ำลังหลักเคลื่อนมาบนฝั่งตะวันตกของธารน�้ำโรสบัด มือขวายกขึ้นโดยไม่เหลียวกลับหลัง รั้งบังเหียน เยื้องไปด้านหลัง สิบเอกกับพลทหารอีกเก้าท�ำเช่นเดียวกัน พรานน�ำทางปล่อยตัวไถลลงสู่ พื้น ปล่อยให้ม้าและเล็มหญ้าบนพื้น เขาวิ่งเหยาะไปยังเนินดินข้างธารน�้ำ ทิ้งตัวลงนอนราบ เลื้อยไปสู่ยอดเนิน มองข้ามยอดเนินไปโดยซ่อนแฝงตัว ในพงหญ้าสูง กระโจมแทรกอยูร่ ะหว่างกลางเนินเขากับริมธารน�ำ้ แคมป์ขนาดเล็ก 2


มีกระโจมเพียงห้าหลัง ครอบครัวใหญ่ครัวเดียว กระโจมบ่งบอกว่าเป็น ไชแอนน์ทางตอนเหนือ เขารู้จักเผ่านี้ดี กระโจมของเผ่าซูส์จะสูงฐานแคบ ส่วนกระโจมไชแอนน์จะเตี้ย ฐานแผ่กว้าง หนังกวางของกระโจมเขียนรูป วาดภาพชัยชนะจากการล่าสัตว์ ซึ่งก็เป็นศิลปะประจ�ำเผ่าไชแอนน์ พรานน�ำทางคาดว่าแคมป์นี้น่าจะมีคนรวมอาศัยกันอยู่ราวยี่สิบถึง ยี่สิบห้า แต่ผู้ชายสิบกว่าคนน่าจะออกไปล่าสัตว์ พิจารณาจากจ�ำนวนม้า มีเพียงเจ็ดม้าเท่านัน้ ทีเ่ ล็มหญ้าอยูข่ า้ งกระโจม การเคลือ่ นย้ายแคมป์ขนาด นี้ ผู้ชายขี่ม้า สตรีและเด็ก รวมทั้งกระโจมและสัมภาระอื่นบนเปลเลื่อน จะต้องใช้เกือบยี่สิบม้า เขาได้ยนิ เสียงหัวหมูค่ ลานมาใกล้ มือโบกกลับหลังให้ทหารทรุดตัวลง นั่ง จากนั้น เสื้อสีน�้ำเงินเข้มมีบั้งสามขีดขนาดใหญ่ เคลื่อนมาอยู่ข้างๆ “แกเห็นอะไร?” เสียงกระซิบถามแหบห้าว เพิ่งเก้าโมงเช้า ร้อนระอุเหงื่อโชกแล้ว กองก�ำลังเคลื่อนมาได้สาม ชั่วโมง นายพลคัสเตอร์ชอบการถอนแคมป์แต่เช้าตรู่ เพียงเก้าโมงเช้า... พรานน�ำทางได้กลิน่ วิสกีจ้ ากลมหายใจของหัวหมูแ่ ล้ว กลิน่ วิสกีเ้ ลวดินแดน บ้านป่าเมืองเถือ่ น กลิน่ วิสกีเ้ หม็นฉุนเฉียวซึมผสมกลิน่ เหงือ่ กลบกลิน่ ดอก พลัม ดอกเชอร์รี่ และด็อกโรสเกาะพราวเต็มสองฝั่งน�้ำ อันเป็นที่มาของ ชื่อธารน�้ำโรสบัด “ห้ากระโจม ไชแอนน์ มีเพียงเด็กและสตรีอยู่ในแคมป์ นักรบ ข้ามธารน�้ำไปล่าสัตว์” สิบเอกแบรดด็อก ไม่ถามไถ่ว่าพรานน�ำทางทราบได้อย่างไร รับ ทราบค�ำบอกเล่าตามนั้น หัวหมู่จีบปาก ถ่มน�้ำยาสูบลงพื้น หันมายิ้มฟัน เหลือง พรานน�ำทางไถลเลื่อนลงจากริมตลิ่งสูง ลุกขึ้นยืน “ปล่อยพวกมันเถอะ พวกนี้ไม่ใช่กลุ่มที่เราตามตัว” พรานน�ำทาง กล่าว แต่ทว่า แบรดด็อกร่วมเดินม้าลาดตระเวนกับกองทหารม้าทีเ่ จ็ดนาน 3


สามปี ไม่มีโอกาสได้แสดงอ�ำนาจมากนัก ฤดูหนาวยาวนานน่าเบื่อหน่าย ในป้อมลินคอล์น ให้ลกู ชายจากหญิงซักเสือ้ ผ้า หญิงงามเมืองในทุกโอกาส ที่เปิดให้ แบรดด็อกออกมาตระเวนทุ่งกว้างเพื่อฆ่าอินเดียนแดง เป้าของ ตายอยู่ต่อหน้า ไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปได้ การสังหารหมู่กินเวลาเพียงห้านาที ทหารสิบม้าควบเต็มฝีเท้า ลงจากสันเนิน พรานน�ำทางยืนม้าบนยอดเนิน มองภาพที่เกิดขึ้นด้วย ความขยะแขยง ทหารเกณฑ์คนหนึง่ ทหารหน้าใหม่ตกม้าไม่เป็นท่า เก้าคนทีเ่ หลือ ฆ่าเหยือ่ อย่างไม่ปรานี ดาบยาวของทหารม้าเก็บไว้ทปี่ อ้ มลินคอล์น ดังนัน้ ทหารม้าใช้ปืนลูกโม่โคลต์และปืนยาวสปริงฟีลด์’73 ที่เพิ่งได้รับแจก ในตอนที่ได้ยินเสียงเกือกม้ากึกก้อง สตรีที่นั่งหุงหาอาหารอยู่รอบ กองไฟ ผละไปอุ้มเด็ก พาวิ่งหนีไปยังริมฝั่งน�้ำ สายเกินไปแล้ว ทหารม้า ควบฝ่าขบวนก่อนทีเ่ หยือ่ เคราะห์รา้ ยจะไปถึงริมน�ำ้ ทหารม้าวกกลับ ไสม้า บุกเข้าไปในลานกระโจม ยิงทุกอย่างทีเ่ คลือ่ นไหวให้ลม้ คว�ำ่ คนชรา สตรี และเด็กเสียชีวิต ทหารลงจากม้า วิ่งเข้าไปในกระโจมเพื่อค้นหาสมบัติ และของที่ระลึกติดมือ มีเสียงปืนอีกหลายนัดในกระโจมเมื่อทหารม้าพบ เด็กที่ยังซ่อนตัวอยู่ในนั้น พรานน�ำทางชักม้าลงจากยอดเนินมายังลานสังหาร ดูเหมือนว่าจะ ไม่มอี ะไรและไม่มใี ครเหลือรอดชีวติ แล้วในตอนทีท่ หารม้าจุดไฟเผากระโจม ทหารใหม่ หน้าอ่อนยังไม่โตเป็นหนุ่มเต็มวัย คายอาหารเช้า เนื้อแห้ง กับถั่วต้มออกจนหมดท้อง ชะโงกตัวให้พ้นอานเพื่อไม่ให้อาเจียนราดรด ตัว สิบเอกแบรดด็อกยิ้มหน้าบาน ได้เสพชัยชนะ ค้นหมวกศึกขนนกได้ จากกระโจม แขวนห้อยบนปุ่มอานม้า ใกล้กระติกน�้ำที่ควรจะมีเพียงแค่ น�้ำบริสุทธิ์จากล�ำธาร พรานน�ำทางนับซากได้สิบสี่ศพ นอนตายกระจายเหมือนตุ๊กตาผ้า ช�ำรุด ในท่าที่ลมหายใจขาดห้วง เขาส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อทหารยื่นสมบัติ 4


อินเดียนแดงแบ่งปันให้ ชักม้าไปยังริมธารให้ม้าได้ดื่มน�้ำ เธอนอนซุกอยู่ในกอกก เลือดแดงสดไหลทะลักอาบท่อนขาเปลือย เปล่าเมื่อกระสุนไรเฟิลสาดเข้าใส่ในตอนหันหลังวิ่งหนี หากเขาเก็บอาการ ได้เร็วกว่านี้ ก็คงหันหน้าเบือนไปมองทางอื่นได้ทัน ดึงม้าเดินกลับไปยัง กระโจมไฟลุกโชน แต่แบรดด็อกผู้จับตามองไม่วางตา มองตามสายตา ของเขา ดึงม้าเดินมาหา “แกพบอะไรอีก, ไอ้หนู? ยอดเลยว่ะ ไอ้พวกเศษมนุษย์อีกตัว ยัง หายใจอีกแน่ะ” หัวหมู่ชักปืนโคลต์ออกจากซอง หรี่ตาเล็งเป้านิ่งบนพื้น สาวน้อย ในกอกกเบิ่งตาโพลงจ้องเขม็ง ประกายตาว่างเปล่าด้วยความหวาดหวั่น พรานน�ำทางฉกมือเข้าหา คว้าก�ำข้อมือสิบเอกไอริช ดันขึ้นสูง ใบหน้า บุบบู้บี้ หยาบกร้านด้วยแดดและเหล้า ด�ำคล�้ำด้วยไฟโทสะ “ไว้ชีวิตเธอ บางทีเธออาจจะรู้อะไรสักอย่าง” พรานน�ำทางกล่าว บอก เป็นหนทางเดียวที่จะรักษาชีวิตเธอไว้ แบรดด็อกนิ่งค้าง คิดเพียง ชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้ารับ “หัวไวดีน,ี่ ไอ้หนู เราจะพาเธอไปมอบให้ท่านนายพลเป็นของขวัญ” หัวหมูส่ อดปืนคืนกลับเข้าซอง ดึงม้าผละจากไปตรวจดูทหาร พราน น�ำทางไถลลงจากอานม้า ย�่ำเข้าไปในกอกกดูแลหญิงสาว โชคดีที่แผล หมดจด กระสุนเจาะเข้าท่อนขา ทะลุกล้ามเนื้อออกอีกทาง รูกลมดิกทั้ง สองฟาก เขาใช้ผา้ เช็ดหน้าจุม่ น�ำ้ จากธารมาล้างแผล ขันชะเนาะห้ามเลือด เมื่อเสร็จงาน เขาเงยหน้าพบสายตาของเธอจ้องมองไม่วางตา ผม หนานุม่ ด�ำขลับเหมือนขนกาน�ำ้ แผ่สยายคลุมไหล่ ดวงตากลมโตด�ำสนิท แม้จะเจือด้วยความเจ็บปวดและความหวาดกลัว สาวอินเดียนแดงไม่อาจ เรียกได้ว่าสวยในสายตาของคนขาว แต่ในหมู่อินเดียนแดงทั้งมวล สาว ไชแอนน์ถอื ว่าคมคายหมดจดทีส่ ดุ หญิงสาวในกอกกอายุราวสิบหก ล�ำ้ เกิน ความคมคายหมดจด ถึงขั้นหน้าหวานงดงาม พรานน�ำทางอายุยี่สิบสี่ 5


เติบโตมาพร้อมกับพระคัมภีร์ไบเบิล ไม่เคยรู้จักผู้หญิงตามนิยามในพระ คัมภีร์แม้สักคน รู้สึกว่าหัวใจเต้นตูมตามในอก มีอันต้องละสายตาเสไป มองทางอื่น เขายกร่างของเธอพาดบ่า เดินย้อนกลับไปยังลานกระโจม “เอานังนั่นวางบนหลังม้า” หัวหมู่ร้องสั่ง ยกกระติกน�้ำขึ้นดื่มอีก อึก พรานน�ำทางสั่นหัว “เปลเลื่อน...ไม่งั้นเธอไม่รอด” เปลเลื่อนหลายอันกองบนพื้นข้างเถ้าคุแดงของกระโจม เปลเลื่อน ใช้ไม้สนล็อดจ์โพล ยืดหยุ่นดีดสะท้อน วางพาดหลังม้า ปลายแยกถ่าง กว้าง พาดขึงระหว่างกลางด้วยหนังควาย ใช้บรรทุกสัมภาระ การเดิน ทางบนเปลเลือ่ นถือได้วา่ นุม่ สบาย เหมาะกับคนป่วย ยิง่ ไปกว่าเกวียนของ คนขาวที่โยกเยกหัวสั่นหัวคลอน เหวี่ยงกระเด็นไปทุกหลุมและเนิน พรานน�ำทางจับม้าป่ามาหนึ่ง จากสองม้าที่เหลืออยู่ อีกห้าม้าวิ่ง กระเจิงไปไกลแล้ว ม้าป่าโผนผก ตาเหลือกลานเมื่อโดนบังเหียน ม้าป่า ได้กลิ่นคนขาว เพียงแค่กลิ่นคนขาว ก็พอจะท�ำให้ม้าป่าตื่นกลัวแทบเสีย สติแล้ว หากกลับกัน ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน ม้าของทหารม้าจะพยศแทบ ควบคุมไม่ได้หากได้กลิ่นอินเดียนแดง พรานน�ำทางหายใจรดรูจมูกของม้าป่าจนม้าสงบและยอมรับเขาเป็น เจ้านาย อีกสิบนาทีถัดมา เปลเลื่อนส�ำเร็จเรียบร้อย เขาห่อคนเจ็บด้วย ผ้าห่ม วางเธอลงบนหนังควาย หน่วยลาดตระเวนออกเดินทางกลับไป หากองก�ำลังหลักของทหารม้าที่เจ็ดของนายพลคัสเตอร์ เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 24 เดือนมิถุนายน ปีแห่งพระผู้เป็นเจ้า 1876 การยกก�ำลังกวาดล้างท้องทุ่งกว้างตอนใต้ของมอนทานาในฤดูร้อน เกิดจากสาเหตุย้อนหลังไปหลายปี ค้นพบทองค�ำที่แบล็กฮิลส์ในเซาธ์ ดาโกตา ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของอินเดียนแดง คนเหมืองไหลหลั่งเข้ามาร่อน ทอง แต่แบล็กฮิลล์ได้รบั การรับรองให้เป็นดินแดนศักดิส์ ทิ ธิข์ องเผ่าซูสต์ าม สนธิสัญญาที่ลงนามกับคนขาว อินเดียนแดงแค้นเคือง นับเป็นการ 6


ตระบัดสัตย์ตอบโต้โดยการโจมตีคนเหมืองและกองเกวียน คนขาวตอบโต้เผ็ดร้อนดุจกัน เรือ่ งเล่ากันปากต่อปากถึงความทารุณ โหดร้ายเยี่ยงสัตว์ป่า ต่อเติมเสริมแต่งให้อัปลักษณ์ กระพือไฟโทสะให้ ไต่สงู ถึงจุดเดือด ชุมชนคนขาวส่งจดหมายร้องเรียนไปยังวอชิงตัน รัฐบาล ตอบรับโดยการประกาศยกเลิกสนธิสัญญาลาเรมี ส่งอินเดียนแดงเข้าไป กักไว้ในนิคม อดอยากหิวโหย เศษเสี้ยวของข้อตกลงระหว่างกันใน สนธิสัญญา นิคมอินเดียนแดงอยู่ในเขตนอร์ธดาโกตาและเซาธ์ดาโกตา วอชิงตันรุกคุกคามอีกขั้น เปิดเขตพื้นที่จับจองใหม่ เดิมเคยเป็น ทุ่งล่าสัตว์ของอินเดียนแดงเผ่าซูส์ มีทั้งควายไบซันและกวาง พื้นที่ส่วนนี้ ตีเส้นในแนวดิ่ง ขอบทางตะวันออกเริ่มต้นจากตะวันตกของนอร์ธและ เซาธ์ดาโกตา วัดระยะห่างออกไปทางตะวันตก 145 ไมล์ จากนั้นลาก เส้นดิ่งเหนือลงมาทางใต้... เส้นสมมติบนแผนที่ที่อินเดียนแดงไม่เคยเห็น วาดภาพไม่ออก ทางเหนือสิน้ สุดทีแ่ ม่นำ�้ เยลโลว์สโตน ผ่านดินแดนทีเ่ รียก ว่ามอนทานา เข้าไปยังดาโกตา ลงมาถึงทางใต้ยังแม่น�้ำนอร์ธแพลตต์ใน ไวโอมิง ในระยะแรกอนุญาตให้อนิ เดียนแดงเข้ามาล่าสัตว์ได้ แต่กองเกวียน ของคนขาวก็ทะลักไหลหลั่งเข้ามาในดินแดนนี้ไม่ขาดสาย ในปี 1875 อินเดียนแดงเผ่าซูสห์ นีออกจากนิคมในดาโกตา มุง่ หน้า ทางตะวันตก ล่าสัตว์ใช้ชวี ติ ในเขตพืน้ ทีจ่ บั จองใหม่ ในปีถดั มา กระทรวง กิจการอินเดียนแดงยื่นค�ำขาด ขีดเส้นตายให้อินเดียนแดงย้ายกลับเข้าไป อยู่ในนิคมภายในวันที่ 1 มกราคม อินเดียนแดงเผ่าซูสแ์ ละเผ่าอืน่ ไม่ได้โต้แย้งค�ำขาดจากคนขาว เพียง แค่ไม่ใส่ใจรับฟัง ส่วนใหญ่ไม่ทราบด้วยซ�้ำไปว่ามีค�ำสั่ง เมื่อฤดูหนาว สิน้ สุด หญ้าอ่อนระบัดใบในฤดูใบไม้ผลิ อินเดียนแดงใช้ชวี ติ เสรีในทุง่ กว้าง ล่าควายไบซันอ้วนพี กวางและเลียงผาเนื้อนุ่ม ต้นฤดูใบไม้ผลิ กระทรวง กิจการอินเดียนแดงส่งเรื่องให้กองทัพบกรับไปจัดการ...ค้นหาอินเดียนแดง กวาดต้อน ไล่กลับเข้าไปในนิคมดาโกตา 7


ทหารไม่ทราบสองเรือ่ ง หนึง่ นัน้ มีอนิ เดียนแดงหลบหนีออกจากนิคม จ�ำนวนเท่าใด อีกหนึ่ง หนีไปอยู่ที่ไหน ส�ำหรับข้อแรก กองทัพบกได้ รับรายงานเท็จ เพราะเจ้าหน้าทีข่ องนิคมล้วนแล้วแต่เป็นคนขาว ส่วนใหญ่ เป็นคนคด วอชิงตันส่งวัว ข้าวโพด แป้ง ผ้าห่ม และเงินทุนก้อนโต เพื่อให้ น�ำมาแจกจ่ายแก่อินเดียนแดงในนิคม เจ้าหน้าที่ยักยอกเบียดบังข้าวของ จนอินเดียนแดงหญิงและเด็กอดอยากผอมแห้ง ซึ่งก็เป็นสาเหตุว่าท�ำไม อินเดียนแดงอยากจะหนีออกจากนิคมเพื่อมาล่าสัตว์ในท้องทุ่ง เจ้าหน้าที่นิคมมีเหตุผลที่ต้องส่งรายงานเท็จ เพราะถ้ารายงานไป ว่ายังมีอินเดียนแดงอยู่ครบถ้วนทุกคน นั่นก็หมายถึงข้าวของความช่วย เหลือจากวอชิงตัน จะส่งมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย หากจ�ำนวนอินเดียนแดง ที่อยู่ในความรับผิดชอบขาดหายไป ก�ำไรที่เคยเบียดบังเข้ากระเป๋าจะลด ลงตามไปด้วย ในฤดูใบไม้ผลิปี 1876 เจ้าหน้าที่นิคมแจ้งแก่กองทหาร ว่ามีอินเดียนแดงหลบหนีออกจากนิคมไม่กี่ร้อยคน โกหกค�ำโต เพราะมี อินเดียนแดงหลายพันหลายหมื่นคนหนีออกจากนิคมมุ่งหน้าไปทางตะวัน ตกเพื่อล่าสัตว์ในเขตพื้นที่จับจองใหม่ ต�ำแหน่งที่อยู่ จะทราบได้เพียงสถานเดียวคือ ส่งกองทหารลาด ตระเวนไปค้นหา กองทหารม้าเดินทัพเข้าไปทางตอนใต้ของมอนทานาก วาดไปทัว่ เขตพืน้ ทีจ่ บั จองใหม่ กองทหารแบ่งออกเป็นสามสาย กองก�ำลัง ผสมทหารราบกับทหารม้า จากป้อมลินคอล์นในนอร์ธดาโกตา นายพลอัลเฟรด เทอร์รีจะ เคลื่อนทัพไปทางตะวันตก มุ่งหน้าไปหาแม่น�้ำเยลโลว์สโตน ทางเหนือ ของทุ่งล่าสัตว์ จากป้อมชอว์ในมอนทานา นายพลจอห์น กิบบอนจะลง ใต้ไปยังป้อมเอลลิส ก่อนจะวกไปทางตะวันออกเลียบแม่น�้ำเยลโลว์สโตน จนบรรจบกับกองทัพของเทอร์รีที่มาจากทิศตรงข้าม จากป้อมเฟตเตอร์แมน ทางใต้ของไวโอมิง นายพลจอร์จ ครุก 8


จะเดินทัพขึ้นเหนือ ข้ามธารน�้ำเครซีวูแมน ข้ามแม่น�้ำทังก์ ผ่านหุบเขา บิ๊กฮอร์นจนพบกับสองกอง กองก�ำลังทั้งสามสาย เชื่อว่าจะกางตาข่าย กวาดทัว่ พืน้ ที่ ตรวจพบขุมก�ำลังเผ่าซูส์ กองทัพทัง้ สามสายออกเดินทางใน เดือนมีนาคม ต้นเดือนมิถุนายน กิบบอนพบเทอร์รีที่แม่น�้ำทังก์ ไหลขึ้นเหนือไป ลงในแม่น�้ำเยลโลว์สโตน ไม่เห็นแม้หมวกศึกขนนกแม้แต่ใบเดียว เท่าที่ ทราบ อินเดียนแดงคงชุมนุมของทางใต้ของตน สองนายพลวางแผนร่วม กัน ทั้งสองกองจะเคลื่อนที่ไปทางตะวันตก วันที่ 20 มิถุนายน กองทหารเคลื่อนมาถึงธารโรสบัดไหลออกสู่ เยลโลว์สโตน ณ จุดนี้ เทอร์รีเชื่อว่าอินเดียนแดงน่าจะอาศัยอยู่ข้างธาร น�้ำ กองทหารม้าที่ 7 ที่ร่วมทางมากับเทอร์รีตั้งแต่ป้อมลินคอล์น จะ ฉีกออกไปค้นหา เลียบธารโรสบัดไปจนถึงต้นน�้ำ นายพลคัสเตอร์อาจพบ อินเดียนแดง และอาจพบนายพลครุก ไม่มผี ใู้ ดทราบว่าในวันที่ 17 เดือนนัน้ กองทัพของนายพลครุกพลัด เข้าไปในวงล้อมของเผ่าซูส์และไชแอนน์ ทหารล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ครุก รวบรวมพลทีเ่ หลือ ย้อนกลับลงใต้ กลายเป็นสัตว์หนีตายให้อนิ เดียนแดงไล่ ล่าสนุกมือ เขาไม่ได้สง่ พลเดินสารขึน้ เหนือเพือ่ ไปเตือนพวกพ้อง กองก�ำลัง เทอร์รีกับกิบบอนไม่ทราบว่ากองหนุนจากทางใต้ไม่เหลืออีกแล้ว กองทัพ โดดเดี่ยวต้องพึ่งพาตัวเอง วันที่สี่ของการเดินทัพเร่งรีบเข้าไปในหุบเขาโรสบัด หน่วยลาด ตระเวนกลับมายังกองก�ำลังหลัก ประกาศชัยชนะเหนือหมูบ่ า้ นเล็กๆ ของ ไชแอนน์...พร้อมกับเชลยหนึ่งนาง นายพลจอร์จ อาร์มสตรองก์ คัสเตอร์ นั่งม้าผึ่งผายน�ำหน้าขบวน ไม่อยากเสียเวลา ไม่ประสงค์จะหยุดการเคลือ่ นทัพเพือ่ เชลยเพียงคนเดียว เขาพยักหน้ารับทราบการรายงานของสิบเอกแบรดด็อก สั่งให้กลับไป ประจ�ำหน่วย ข้อมูลจากปากเชลยต้องรอไปก่อน จนกว่าจะปักแคมป์ใน 9


ตอนย�่ำเย็น ไชแอนน์สาวนอนอยู่บนเปลเลื่อนตลอดทั้งวัน พรานน�ำทางพาม้า ของเธอไปยังท้ายขบวน ผูกบังเหียนติดเกวียนบรรทุกสัมภาระ ม้าลาก เปลเลื่อนเดินตามหลังเกวียนบรรทุก ในเมื่อไม่มีความจ�ำเป็นต้องใช้พราน น�ำทาง เขาจึงเดินม้าวนอยู่ในละแวกนั้น หลังจากสังกัดในกองทหารม้า ที่ 7 ได้ไม่นานนัก เขาตัดสินใจว่า ไม่ใคร่ชอบงานนี้ ไม่ชอบหน้าของ หัวหมู่ที่เป็นผู้บังคับบัญชา และคิดว่านายพลคัสเตอร์ผู้เลื่องชื่อ เป็นไอ้ รูทวารอวดผยอง เขาไม่มีขุมค�ำศัพท์มากพอจะบรรยายให้ชัดนัก พราน น�ำทางเก็บปากเก็บความคิดไว้ในใจ พรานน�ำทางผู้นี้ชื่อ เบน เครก จอห์น น็อกซ์ เครก ผู้เป็นบิดา เป็นคนอพยพจากสก็อตแลนด์ ถูกขับไล่ออกจากเหย้าเรือนโดยเจ้าของที่ดินหน้าเลือด ตัดสินใจอพยพมา อเมริกาต้นทศวรรษ 1840 ขึน้ ฝัง่ ทางตะวันออก ไม่นานก็แต่งงานกับสาว สก็อตสังกัดโบสถ์เพรสบีเทอเรียนเหมือนตน ในเมื่อมหานครใหญ่ไม่เปิด โอกาสให้มากนัก เขามุ่งหน้าสู่ดินแดนตะวันตก ถึงปี 1850 เดินทางมา ถึงมอนทานาตอนใต้ ตัดสินใจเสี่ยงโชคโดยการร่อนทองในเทือกเขารกร้าง เนินเขาของเทือกไพรออร์ เขาเป็นนักบุกเบิกยุคแรก ชีวิตล�ำบากยากเข็ญ ต้านฤดูหนาว ทารุณในกระท่อมไม้ซงุ ข้างธารน�ำ้ ขอบป่า จะมีกแ็ ต่ฤดูรอ้ นเท่านัน้ ทีเ่ หมือน สรวงสวรรค์ มีสตั ว์อว้ นพีให้ล่า ปลาเทราต์วา่ ยน�ำ้ แตกฟองในล�ำธาร และ ท้องทุ่งดารดาษด้วยดอกไม้ป่าสีสดสวย ในปี 1852 เจนนีมอบบุตรชาย คนแรกและคนเดียวให้ สองปีถัดมา ลูกสาวเสียชีวิตไปตั้งแต่ในวัยทารก เบน เครก อายุสิบขวบ ลูกไพรและดินแดนบุกเบิก เสียพ่อแม่ไป กับขบวนศึกของอินเดียนแดงเผ่าโครว์ สองวันถัดมา พรานภูเขาดักสัตว์ ชื่อ โดนัลด์สัน เดินทางมาพบเจ้าหนูร�่ำไห้หิวโหยในซากกระท่อมด�ำเป็น ตอตะโก ทั้งสองฝังจอห์นกับเจนนี เครกใต้ไม้กางเขนริมล�ำธาร เครก ผู้บิดาจะฝังถุงทองที่ใด ไม่มีผู้ใดทราบ หากอินเดียนแดงเผ่าโครว์ค้นพบ 10


ผงทองค�ำ ก็คงเปิดถุงสาดให้กระจายบนพื้นดินเพราะคิดว่าเป็นผงทราย โดนัลด์สนั พรานภูเขา ดักหมาป่าและบีเวอร์ หมีกบั จิง้ จอก แต่ละ ปีจะรวบรวมขนสัตว์มาขายที่ร้านรับซื้อใกล้ที่สุด จากความสงสารสมเพช เด็กก�ำพร้า พ่อเฒ่าโสดรับเลี้ยงเจ้าหนู รักใคร่เหมือนสายเลือดของตน สมบัติหนึ่งเดียวที่แม่มีคือ พระคัมภีร์ไบเบิล แม่สอนให้ให้เขาอ่าน ท่องจ�ำท่อนเนือ้ ความยาว ๆ ในพระคัมภีร์ แม้เบนจะไม่ใคร่ถนัดอ่านและ เขียนเท่าใดนัก แต่กแ็ ทบจะจดจ�ำเนือ้ หาทีแ่ ม่บอกว่าเป็นประทีปส่องชีวติ ได้ เกือบทั้งเล่ม บิดาสอนวิธีร่อนทอง แต่กลับเป็นโดนัลด์สันที่สอนเรื่องราว ของพงไพรให้ครบกระบวน ชื่อเรียกขานของนกนานาพันธุ์สดับจากเสียง ร้อง การแกะรอยสัตว์อ่านร่องและรอยบนดิน สอนให้ขี่ม้าและยิงปืน เบนร่วมทางมากับโดนัลด์สนั ในตอนทีเ่ ขาพบไชแอนน์ อินเดียนแดง ดักจับสัตว์ พบปะกันในร้านรับซื้อขนสัตว์ อินเดียนแดงผู้นี้ที่สอนเขาให้ รู้จักวิถีอินเดียนแดงและภาษาพูด สองปีกอ่ นการกวาดล้างอินเดียนแดงในปี 1876 พ่อเฒ่าโดนัลด์สนั คืนชีวติ ให้กบั พงไพร พลาดไปถนัดใจเมือ่ ยิงหมีแก่สนี ำ�้ ตาลเข้ม หมีบา้ คลัง่ ตะปบขยีเ้ ขาจนกลายเป็นก้อนเนือ้ เบนฝังบิดาบุญธรรมใกล้กระท่อมกลาง ป่าลึก เก็บรวบรวมข้าวของเท่าที่ต้องการ จุดไฟเผากระท่อม พ่อเฒ่าโดนัลด์สันบอกเสมอมาว่า “หากฉันตาย, ไอ้หนู เก็บทุก อย่างทีต่ อ้ งการ ของทุกอย่างเป็นของแก” ดังนัน้ เบนเลือกมีดโบวีคมกริบ ประดุจมีดโกน ฝักมีดหนังสัตว์ ปักลูกปัดประดับตกแต่งลวดลายไชแอนน์ ไรเฟิลชาร์ป 1852 ม้าอีกสอง อาน ผ้าห่ม เนื้อหมักเบอร์รีกับเนื้อแห้ง ส�ำหรับการเดินทาง...ไม่ต้องการมากไปกว่านั้น เขาชักม้าลงจากเขา ตัด ข้ามทุ่ง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังป้อมเอลลิส ที่นั่น เขาเป็นพราน ดักสัตว์ และฝึกม้า ในเดือนเมษายน ปี 1876 นายพลกิบบอนเคลื่อนทัพผ่าน นายพลต้องการพรานน�ำทางที่รู้จัก พื้นที่ทางใต้ของเยลโลว์สโตน ค่าจ้างก้อนโต เบนรับงานในหน้าที่นี้ 11


เขาอยูท่ นี่ นั่ ในตอนทีก่ องทัพเคลือ่ นไปถึงแม่นำ�้ ทังก์ กิบบอนพบกับ เทอร์รี ทั้งสองร่วมทางกันเดินทัพมายังปากน�้ำโรสบัด กองทหารม้าที่ 7 ของนายพลคัสเตอร์ได้รับค�ำสั่งให้ลงใต้ เลียบธารน�้ำ เสียงบัญชากระจาย ไปทั่วแคมป์ ต้องการพรานน�ำทางที่พูดภาษาไชแอนน์ได้ คัสเตอร์มีพรานน�ำทางพูดภาษาซูส์สองนาย หนึ่งนั้นเป็นคนผิวด�ำ ด�ำหนึ่งเดียวในกองทหารม้าที่ 7, อิชาห์ ดอร์แมน ผู้เคยอยู่ร่วมกับ อินเดียนแดงเผ่าซูส์ อีกหนึ่งเป็นหัวหน้าพรานน�ำทาง, มิตช์ บอยเออร์ เลือดครึ่งฝรั่งเศสครึ่งซูส์ แม้ไชแอนน์จะถือเป็นญาติสนิทและพันธมิตร ของซูส์ แต่ภาษาพูดก็ต่างกัน เบน เครกยกมือรับอาสา รับค�ำสั่งจาก นายพลกิบบอนให้มาสังกัดกองทหารม้าที่ 7 กิบบอนเสนอทหารม้าสามกองร้อยภายใต้การบังคับบัญชาของพันตรี บริสบินให้คสั เตอร์ แต่ขอ้ เสนอไม่ได้รบั การตอบสนอง เทอร์รเี สนอปืนกล แกตลิง คัสเตอร์ปฏิเสธ ในยามที่เดินทัพออกจากริมธารโรสบัด นายพล คัสเตอร์คุมกองก�ำลังทหารม้าที่ 7 สิบสองกองร้อย พรานน�ำทางผิวขาว หกนาย และพรานน�ำทางอินเดียนแดงอีกกว่าสามสิบ เกวียนบรรทุก และ พลเรือนอีกสาม รวมทั้งสิ้น 675 คน ในหมู่นี้มีช่างเหล็ก ผู้ควบคุมล่อ และคนตอกเกือกม้า คัสเตอร์ทิ้งกองก�ำลังที่เหลือของกรมไว้กับเทอร์รี ในยามที่เขาให้ สัญญาณเข้าโจมตี จะไม่มีเพลงมาร์ช ‘แกรีโอเวน’ ที่โปรดปราน แต่ เมื่อเคลื่อนขบวน เสียงหม้อกาแขวนห้อยข้างเกวียน กระทบกันเซ็งแซ่ เบน เครกไม่ แ น่ ใจนั ก ว่ า จะมี อิ น เดี ย นแดงหน้ า โง่ เ ผ่ า ไหนที่ จ ะรอให้ นายพลคัสเตอร์เข้าโจมตีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เสียงเครื่องครัวสดใสกังวาน พวยฝุ่นตะกุยฟุ้งด้วยเกือกม้าสามพัน ลอยสูงกลางฟ้า เขาทราบดีว่า อินเดียนแดงมองเห็นและได้ยินเสียง แม้จะห่างไปหลายไมล์ เบน เครกใช้เวลาสองสัปดาห์รว่ มทางเลียบล�ำธารไปกับกองทหารม้า ที่ 7 อันเลื่องชื่อ และท่านนายพลผู้ป่าวประกาศเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้ 12


โดดเด่น ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งใจห่อเหี่ยว เขาได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้พบเจอ กองก�ำลังหลักของซูส์และไชแอนน์ นักรบห้าวพร้อมท�ำศึก แต่ก็เกรงว่า ไม่มีทางเลี่ยงหลบ กองก�ำลังเคลือ่ นลงใต้ตลอดทัง้ วัน เกาะเส้นทางเลียบธารน�ำ้ โรสบัด ไม่พบแม้เงาอินเดียนแดง หลายครั้งหลายคราที่ลมทุ่งแพร์รีพัดหวน ม้า ของกองทหารจะเหลือกตาตื่นตระหนก เบนแน่ใจว่าม้าคงได้กลิ่นตามลม กระโจมเผาวอดวายไม่หลุดรอดสายตาได้นานนัก แท่งควันพวยพุ่งกลาง ทุ่งแพร์รีเวิ้งว้าง มองเห็นได้ไกลหลายไมล์ ไม่เหลือการจู่โจมไม่ทันรู้ตัวอีก ต่อไปแล้ว สี่โมงเย็น นายพลคัสเตอร์สั่งหยุดขบวน ตั้งแคมป์ อาทิตย์จม ดวงลับเหลี่ยมเทือกเขาร็อกกีไกลโพ้น เต็นท์นายทหารกางขึง นายพล คัสเตอร์เลือกใช้เต็นท์พยาบาล ขนาดใหญ่กว้างขวาง โต๊ะเก้าอีพ้ บั วางกาง ม้าดื่มน�้ำในล�ำธาร หม้อกระทะปรุงอาหาร ทหารอยู่ยามตามไฟ แคมป์ ไฟลุกโชติช่วง สาวไชแอนน์นอนนิง่ งันบนเปลเลือ่ น ตาเหม่อมองท้องฟ้าด�ำมืด เธอ เตรียมตัวตาย เบนยื่นกระติกน�้ำบรรจุน�้ำใสจากล�ำธารยื่นส่งให้ เธอเบิ่ง ตากลมโตสีด�ำสนิทมองค้าง ประกายตาว่างเปล่า “ดื่ม...” เขากล่าวด้วยภาษาไชแอนน์ เธอไม่ขยับตัว เขาหยาดน�้ำ เย็นเฉียบเป็นสาย เธอเผยอริมฝีปากรับ เธอกลืนน�ำ้ ลงคอ เขาวางเนือ้ อบ เบอร์รีไว้ข้างกายของเธอ ย�่ำเย็นเปลี่ยนเป็นมืดค�่ำ ทหารจากกองร้อย B มายังแคมป์ตาม หาตัวเขา เมื่อพบตัว ทหารขี่ม้ากลับไปรายงาน สิบนาทีถัดมา ร้อยเอก แอ็กตันขี่ม้ามาถึงพร้อมกับสิบเอกแบรดด็อก นายสิบอีกคนและสองพล ทหาร ทุกคนลงจากหลังม้า มายืนล้อมเปลเลื่อน พรานน�ำทางสังกัดกองทหารม้าที่ 7 มีคนขาวหก อินเดียนแดง 13


โครว์อีกกลุ่ม และอินเดียนแดงอะริการาส์ เรียกขานกันว่า ‘รี’ อีกกว่า สามสิบ จับกลุ่มกันเหนียวแน่นมีความสนใจร่วมกัน ทุกคนรอบรู้เรื่อง บ้านป่าเมืองเถื่อนและวิถีชีวิตของท้องทุ่ง รอบแคมป์ ไ ฟในตอนเย็ น ก่ อ นจะแยกย้ า ยกั น นอน ถื อ เป็ น ธรรมเนียมปกติที่พรานน�ำทางจะมานั่งล้อมวงคุยกัน วิพากษ์นายทหาร เริม่ ตัง้ แต่นายพลคัสเตอร์และผูบ้ งั คับการกองร้อย เบนอดประหลาดใจมิได้ ที่ท่านนายพลไม่ได้รับความนิยมในหมู่พรานน�ำทางนัก น้องชายคนเล็ก, ทอม คัสเตอร์ ผูบ้ งั คับกองร้อย C ได้รบั ความนับถือจากลูกน้องมากกว่า พีช่ าย ทีเ่ กลียดทีส่ ดุ จะเป็นร้อยเอกแอ็กตัน เบนเห็นพ้องรูส้ กึ ต้องตรงกัน แอ็กตันเป็นทหารอาชีพ เข้ามาร่วมกองทหารม้าหลังสงครามกลางเมือง สิบปีที่ผ่านมา เลื่อนต�ำแหน่งเป็นเงาตามตัวนายพลคัสเตอร์ พื้นเพจาก ครอบครัวเศรษฐีตะวันออก ชายร่างผอม หน้าแหลม ปากบางเหี้ยมโหด “นี่หรือหมู่ นักโทษของแก สอบถามเถอะว่านังนี่รู้อะไรบ้าง?” แอ็กตันออกค�ำสั่ง “แกพูดภาษาคนป่าได้ใช่ไหม...ไอ้หนู?” แบรดด็อกหันมาถาม พรานน�ำทางผงกหัวรับ “...ฉันต้องการทราบว่ามันเป็นใคร? อยู่ร่วมกับ เผ่าไหน? แล้วกองก�ำลังหลักของซูส์จะพบได้ที่ไหน? เดี๋ยวนี้เลย” เบน เครกโน้มตัวไปใกล้เปลเลื่อน เขาถามไถ่ด้วยภาษาไชแอนน์ ใช้ทั้งค�ำและภาษามือ เนื่องเพราะศัพท์เรียกขานของอินเดียนแดงท้องทุ่ง มีค่อนข้างจ�ำกัด จ�ำเป็นต้องใช้ภาษามือเพื่อเติมความหมายให้ชัดเจน “บอกชือ่ ของเธอ ไม่มภี ยั อันตรายมากล�ำ้ กราย” เขากระซิบบอก “ฉันชื่อลมพร�่ำพูดแผ่วเบา” เธอตอบ ทหารม้ายืนล้อมเป็นวง รับฟัง แต่ไม่เข้าใจแม้แต่คำ� เดียว รับทราบได้เพียงการส่ายหน้าปฏิเสธของ สาวน้อย เบน เครกยืดตัวขึ้น “ผู้กองครับ เธอบอกชื่อว่า ลมกระซิบ สังกัดไชแอนน์เหนือ ครอบครัวของเธอคือ ทอลล์เอลก์ หมู่กระโจมที่หัวหมู่น�ำพวกไปเผาเช้า 14


ที่ผ่านมา มีผู้ชายในหมู่บ้านสิบคน รวมทั้งบิดาของเธอ ออกไปล่ากวาง และเลียงผา ทางตะวันออกของโรสบัด” “แล้วกองก�ำลังหลักของซูส์?” “เธอบอกว่าไม่ได้พบเห็นซูส์ ครอบครัวของเธอเดินทางมาจาก ทางใต้ จากแม่นำ�้ ทังก์ มีไชแอนน์รว่ มกลุม่ มา แต่กแ็ ยกทางกันเมือ่ สัปดาห์ ก่อน ทอลล์เอลก์ชอบล่าสัตว์ตามล�ำพัง” ร้อยเอกแอ็กตันถลึงตามองผ้าเช็ดหน้ารัดแผลท่อนขา โน้มตัวไปหา มือกดบีบแผล สาวไชแอนน์กลั้นลมหายใจแต่ไม่มีเสียงร้องหลุดออกจาก ปาก “ให้ก�ำลังใจสักหน่อย น่าจะได้ผล” แอ็กตันกล่าว นายสิบยิ้มกริ่ม เบนยื่นมือ คว้าข้อมือของผู้กอง ดึงออกจากท่อนขาของเชลย “ไม่ได้ผล, ผูก้ อง” เขากล่าว “เธอบอกเล่าทุกเรือ่ งทีเ่ ธอทราบ ถ้า ซูสไ์ ม่อยูท่ างเหนือ ทางทีเ่ รามา และไม่ได้อยูท่ างใต้หรือตะวันออก ก็ตอ้ ง อยู่ทางตะวันตก ผู้กองบอกเรื่องนั้นให้ท่านนายพลทราบได้เลย” ร้อยเอกแอ็กตันสะบัดมือของพรานน�ำทางออกจากข้อมือ ประหนึ่ง ว่าเป็นเชื้อโรคร้าย ยืดตัวขึ้น พลิกเปิดนาฬิกาพกเงิน ดูเวลา “ได้เวลาอาหารเย็นที่เต็นท์ท่านนายพล...ต้องไปแล้ว” ดูเหมือนว่า เขาจะไม่เหลือความสนใจในตัวเชลยอีกต่อไปแล้ว “หมู,่ ถึงตอนกลางคืน มืดสนิท พานังนี่ออกไปกลางทุ่ง เชือดซะ” “คงไม่ขัดข้องใช่ไหมครับ ผู้กอง ถ้าเราจะเล่นสนุกกับนังนี่ก่อนมัน ตาย?” สิบเอกแบรดด็อกถาม ทหารร่วมทางหัวร่อคิกคัก แอ็กตันขึ้น หลังม้า “กล่าวโดยสัตย์จริง, หมู่ ฉันไม่สนใจห่ะว่าแกจะท�ำอะไร” สเปอร์ส้นรองเท้ากระตุ้นสีข้าง ม้าดุ่มเดินตรงไปยังเต็นท์ของนาย พลคัสเตอร์ ทหารคนอื่นชักม้าตาม สิบเอกแบรดด็อกชะโงกหน้ามาใกล้ แสยะยิ้มเข้าใส่พรานน�ำทาง 15


“ดูแลเธอไว้ให้ดี, ไอ้หนู เดี๋ยวฉันกลับมา” เบน เครกเดินตรงไปยังเกวียนสัมภาระใกล้ที่สุด รับจานอาหาร หมูเค็ม ถั่วต้มเหยอะแหยะ นั่งลงกินอาหาร หวนคิดถึงมารดา สิบห้า ปีก่อน อ่านพระคัมภีร์ไบเบิลให้เขาฟังใต้แสงเทียน คิดถึงบิดาที่เฝ้าร่อน ผงทองวับวาวในธารน�้ำไหลจากเทือกไพรออร์ คิดถึงโดนัลด์สัน ผู้ที่เคย เปลื้องเข็มขัดออกจากเอวมาฟาดหลัง เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เหตุเพราะ เขาโหดร้ายต่อสัตว์ที่ถูกจับขังกรง ก่อนสองทุม่ ความมืดมาเยือนแคมป์ เขาลุกขึน้ ยืน น�ำจานกับช้อน ไปคืนเกวียน เดินย้อนกลับมายังเปลเลื่อน ไม่มีค�ำทักทายพูดคุยกับสาว ไชแอนน์ เขาปลดเปลลงจากหลังม้า วางลงบนพื้นดิน เขาอุ้มหญิงสาวขึ้นจากเปล วางเธอบนหลังม้า ยื่นบังเหียนให้ มือ ชี้ไปยังทุ่งแพร์รีเวิ้งว้าง “ไป...” เขากล่าวบอก เธอเบิ่งจ้องมองเขาอยู่ชั่วอึดใจ เขาตบก้น ม้า วินาทีถัดมา ม้าหายลับ ม้าป่าไร้เกือกแกร่ง พร้อมจะวิ่งตระเวนทุ่ง ได้หลายไมล์จนกว่าจะได้กลิน่ เพือ่ นพ้อง พรานน�ำทางกลุม่ รีจบั ตามองห่าง ออกไปราวห้าสิบฟุต แบรดด็อกพร้อมพรรคพวกกลับมาตอนเกือบสามทุ่ม โมโหดาล เดือด ทหารสองคนคว้าแขนพรานน�ำทางตรึงไว้ให้แบรดด็อกกระทุ้งไม่ยั้ง เข้ากลางล�ำตัว ทหารลากร่างพรานน�ำทางไปยังเต็นท์ของนายพลคัสเตอร์ เต็นท์ใหญ่จุดตะเกียงหลายดวงสุกสว่าง กางโต๊ะอาหารอยู่หน้าเต็นท์ จอร์จ อาร์มสตรองก์ คัสเตอร์เป็นปริศนาซับซ้อนเสมอมา แต่ก็ เห็นชัดว่าบุรุษผู้นี้มีสองด้าน...ด้านมืดกับด้านสว่าง ด้านสว่าง คัสเตอร์เป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่น ชอบเล่นตลกร้าย แบบเด็กซน เป็นเพื่อนคุยชั้นเยี่ยม พลังล้นเหลือไม่มีที่สิ้นสุด และความ คึกคักล้นปรี่ แววตาสดใสมองหาโครงการใหม่ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการ เก็บตัวอย่างสัตว์แปลกตาจากท้องทุง่ ส่งกลับไปยังสวนสัตว์ทางตะวันออก 16


หรือการร�่ำเรียนวิชาสตัฟฟ์สัตว์ แม้จะออกตระเวนรบอยู่นานหลายปี ไม่ เคยสักครั้งที่จะนอกใจเอลิซาเบ็ธ ภรรยาที่เขารักใหลหลง หลังจากมีประสบการณ์ดื่มเมามายเมื่อครั้งเป็นเด็กหนุ่ม คัสเตอร์ กลายเป็นคนเมรัยวิรัติ ไม่มีแม้ไวน์ในมื้ออาหาร ไม่เคยสบถสาบานและ ไม่ทนผู้ใดมาสบถสาบานให้เข้าหู ในช่วงสงครามกลางเมือง สิบสี่ปีก่อนนั้น คัสเตอร์แสดงความ ห้าวหาญจนเลื่องระบือ ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความหวาดกลัว เพราะเหตุนี้จึง ได้เลือ่ นยศจากร้อยโทขึน้ มาถึงพลตรี และยอมลดยศตัวเองลงมาเป็นพันโท เพื่อสังกัดในกองทัพบกลดขนาดหลังสงคราม เขาจะควบม้าน�ำหน้าทหาร บุกฝ่าห่ากระสุน แต่ไม่มกี ระสุนแม้สกั เม็ดเดียวระคายผิว แม้จะเป็นวีรบุรษุ ในสายตาพลเรือน แต่กเ็ ป็นทีห่ วาดระแวงและเกลียดชังของทหารใต้บงั คับ บัญชา เว้นแต่กลุ่มทหารใกล้ชิดที่เฝ้าห้อมล้อม เหตุกเ็ พราะคัสเตอร์พยาบาทและเหีย้ มเกรียมต่อคนทีท่ ำ� ให้ขดั อารมณ์ แม้ตวั เขาจะไม่มบี าดแผลมาแผ้วพาน แต่กเ็ ลือ่ งชือ่ ท�ำให้ทหารล้มตายและ บาดเจ็บมากกว่าผู้บังคับการกองก�ำลังใดๆ ในสงคราม เนื่องมาจากความ กล้าบ้าบิ่นไร้การวางแผนรอบคอบ ทหารไม่ใคร่จะมีใจให้ผู้บังคับการที่จะ พาพวกเขาไปตายเท่าใดนัก คัสเตอร์จะสั่งโบยตีบ่อยครั้งในสงครามท้องทุ่ง สร้างชื่ออีกครั้งว่า เป็นหน่วยที่มีทหารหนีทัพมากที่สุดในดินแดนตะวันตก กองทหารม้าที่ 7 ขาดแคลนก�ำลังพลเพราะพวกหนีทหาร แฝงตัวหายไปในความมืด หรือที่ เรียกกันว่า ‘นกหิมะ’ กองทัพบกส่งทหารมาเติมให้ แต่คัสเตอร์ก็ไม่ใส่ใจ ที่จะฝึกทหารใหม่ให้มีประสิทธิภาพ มีฝีมือในการรบเยี่ยงทหารม้า แม้จะ พักทัพยาวนานตลอดฤดูใบไม้รว่ งและฤดูหนาวในป้อมลินคอล์น กองทหาร ม้าที่ 7 ก็อยู่ในภาวะขาดแคลนก�ำลังพล ในเดือนมิถุนายน 1876 คัสเตอร์อวดโอ่หยิ่งผยอง มีความทะเยอทะยานในระดับเหลือเชื่อ จะแวะเวี ย นออกไปสร้ า งภาพสุ ด สวยกระพื อ รั ศ มี สุ ด สู ง ส่ ง ของตนใน 17


หนังสือพิมพ์ในทุกโอกาสที่เปิดให้ ภาพลักษณ์ปั้นแต่งให้แยกโดดเด่นจาก ฝูงนายทหาร ไม่ว่าจะเป็นเสื้อหนังกวางสีครีม ผมสีน�้ำตาลไหม้หยักเป็น ลอนสยายคลุมไหล่ จนถึงการมีนักข่าวติดตามไปทุกหนทุกแห่ง คราวนี้ มาร์ก เคลล็อกซ์ ผู้สื่อข่าวติดตามกองทหารม้าที่ 7 ออกสู่สงคราม ในฐานะนายพลบัญชาการ คัสเตอร์มจี ดุ ด้อยสองข้อทีจ่ ะพาตัวเองและ ทหารเกือบทั้งหมดไปตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หนึ่งนั้น ประเมินค่า ศัตรูต�่ำจนเป็นนิสัยดั้งเดิม เมื่อสร้างชื่อให้ลือกระฉ่อนว่าเป็นนักรบปราบ อินเดียนแดงผู้ยิ่งใหญ่ ก็กล่อมตนเองจนเชื่อสนิทใจ ในความเป็นจริง แล้ว ในการเดินทัพออกมาสูร้ บกับอินเดียนแดงแปดปีเต็ม ผลงานโดดเด่น คือ ล้อมปราบหมูก่ ระโจมไชแอนน์ของหัวหน้าเผ่าแบล็กเคตเติล ริมแม่นำ�้ วาชิตา มลรัฐแคนซัส ล้อมหมู่กระโจมของอินเดียนแดงหลับใหลไว้ตลอด ทั้งคืน และเชือดทิ้งทุกผู้ทุกคน ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กในยามรุ่งสาง... ไชแอนน์หมู่บ้านนี้เพิ่งจะเซ็นสัญญาสันติภาพกับคนขาว เชื่อว่าน่าจะ ปลอดภัย ไร้ภัยพาลใดๆ จากคนขาว ในช่วงเวลาทีผ่ า่ นมา คัสเตอร์ปะทะกับนักรบอินเดียนแดงสีค่ รัง้ สีค่ รา ผลรวมของทหารล้มตายทั้งสี่ครั้ง มีไม่ถึงสิบคน เมื่อน�ำมาเปรียบเทียบ กับความสูญเสียที่เกิดในสงครามกลางเมือง ทหารที่ตายเพราะรบกับ อินเดียนแดง ก็แทบจะไม่มีค่าใดๆ ที่พอจะยกมากล่าวอ้าง คนเมืองทาง ฝัง่ ตะวันออกหิวกระหายอยากได้วรี บุรษุ สักคนมาแซ่ซอ้ งสรรเสริญ เมือ่ บวก รวมกับการระบายสีให้อินเดียนแดงท้องทุ่งเป็นพวกป่าเถื่อนดุดันอ�ำมหิต กับหนังสือจากปลายปากกาของคัสเตอร์ ‘ชีวิตของข้าฯ กลางท้องทุ่ง’ ก็ ส่งให้นายพลคัสเตอร์กลายเป็นดารา โดดเด่นเจิดจ้าแจ่มจรัส ข้อสอง คัสเตอร์ไม่เคยฟังใคร แม้จะมีพรานน�ำทางประสบการณ์ชนั้ ครูหลายคนร่วมทางมายังโรสบัด แต่ก็ไขหูไม่ฟังค�ำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือ บุรุษที่เบน เครกถูกลากมากองอยู่ต่อหน้าในค�่ำคืนวันที่ 24 เดือน มิถุนายน 18


สิบเอกแบรดด็อกบรรยายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น อ้างพยานผู้เห็น เหตุการณ์ คัสเตอร์มีนายทหารห้อมล้อมหกนาย พินิจพิจารณานักโทษ ทีอ่ ยูต่ อ่ หน้า เด็กหนุม่ อายุออ่ นกว่าเขาสักสิบสองปี ร่างสูงไม่ถงึ หกฟุตดีนกั สวมเสื้อหนังกวาง ผมสีน�้ำตาลไหม้หยักเป็นคลื่น ตาสีฟ้าสดใส ต้องเป็น คนขาวอย่างไม่ตอ้ งสงสัย ไม่ใช่พวกเลือดครึง่ เหมือนพรานน�ำทางทัว่ ไป แต่ ท�ำไมสวมรองเท้าบู๊ตหนังกวางนุ่ม แทนที่จะเป็นรองเท้าบู๊ตแข็งที่กองทัพ แจกให้?...ปอยผมด้านหลังถักเป็นเปียเส้นเล็ก ห้อยขนนกอินทรี “โทษอุกฉกรรจ์ทีเดียว” นายพลคัสเตอร์กล่าวเมื่อสิบเอกรายงาน เสร็จสิ้น “...เรื่องนี้จริงหรือ?” “จริงครับ, ท่านนายพล” “ท�ำไมแกต้องท�ำอย่างนั้น?” เบน เครกให้การถึงการสอบปากค�ำของเชลยศึก และแผนการที่จะ เกิดขึ้นในความมืดคืนนี้ ใบหน้าของคัสเตอร์เครียดเคร่งด้วยความไม่สบ อารมณ์ “ฉันไม่ทนรับเรื่องเช่นนี้ในการบังคับบัญชาของฉัน เรื่องนี้มีมูล ความจริงหรือไม่, หมู่?” ร้อยเอกแอ็กตัน ผู้ยืนอยู่ด้านหลัง ก้าวมากระซิบข้างหู ใบหน้า แย้มยิม้ ค�ำพูดระรืน่ หู ยอมรับเยีย่ งชายชาติทหารว่า เขาเป็นผูส้ อบปากค�ำ เชลยด้วยตนเอง รับทราบเรื่องราวโดยวาจาผ่านปากของล่าม ไม่มีการ บีบเค้นสร้างความเจ็บปวดต่อเนื้อตัวของเชลยสตรี และค�ำสั่งสุดท้ายก่อน จะจากมา จะต้องเฝ้าเชลยไว้ให้ดีตลอดค�่ำคืน เพื่อให้ท่านนายพลตัดสิน พิจารณาโทษในตอนรุ่งเช้า “กระผมคิดว่านายสิบประจ�ำกองบังคับการของกระผม พร้อมจะ สนับสนุนค�ำกล่าวนี้” ผู้กองแอ็กตันสรุป “ครับผม เรือ่ งราวทีเ่ กิดขึน้ เป็นจริงตามนี”้ สิบเอกแบรดด็อกยืนยัน ไม่รอช้า 19


“รับฟังความทั้งสองข้าง ปิดคดี” นายพลคัสเตอร์ประกาศ “... จับกุมตัวไว้รอการพิพากษาโทษโดยศาลทหาร เรียกตัวสารวัตรทหารมาที่ นี่ เบน เครก การทีแ่ กปล่อยนักโทษหนีไป แกส่งเธอกลับไปหาพวกพ้อง เตือนกองก�ำลังคนป่าให้รู้ตัว ข้อหาขบถและโทษแขวนคอจนถึงแก่ชีวิต” “แต่เธอไม่ได้ขี่ม้าไปทางตะวันตก เธอขี่ม้ามุ่งไปทางตะวันออก เพื่อ ค้นหาครอบครัว...คนที่เหลืออยู่ของครอบครัว” เบน เครกแย้ง “แต่เธอก็เตือนพวกพ้องให้ทราบว่าเราอยู่ที่นี่” คัสเตอร์ตวาด “พวกนั้นรู้ว่าเราอยู่ที่ไหนแล้ว, ท่านนายพล” “รู้ได้ยังไง?” “กองสอดแนมอินเดียนแดงเกาะขบวนเรามาตลอดทั้งวัน” สิบวินาทีของความเงียบงัน สารวัตรทหารโผล่มาให้เห็น ทหาร ร่างยักษ์ ทหารเก่าโชกโชน ชื่อ ลูอิส “จับกุมตัวชายผูน้ ไี้ ว้, หมู่ มัดให้แน่น รอถึงรุง่ สาง จะมีการพิพากษา โดยศาลทหาร ลงทัณฑ์ตามค�ำพิพากษาในทันที มีเพียงเท่านั้น” “วันพรุ่งนี้เป็นวันพระผู้เป็นเจ้า” เบนกล่าวแย้ง นายพลคัสเตอร์ครุ่นคิด “แกพูดถูก ฉันจะไม่แขวนคอนักโทษในวัน อาทิตย์ เช่นนั้น เลื่อนเป็นวันจันทร์เช้า” อีกฟากหนึง่ ของกลุม่ นายทหาร นายทหารคนสนิท, ร้อยเอก วิลเลียม คุก ชาวแคนาดา จดบันทึกการพิจารณคดีไว้ครบถ้วน เอกสารฉบับนี้จะ เก็บลงในกระเป๋าอานม้า วินาทีนี้ บ็อบ แจ๊กสัน ชักม้ามาหยุดหน้าเต็นท์ เขากับรีอีกสี่และ โครว์อีกหนึ่ง ออกไปสอดแนมข้างหน้าตอนตะวันชิงพลบ กลับเข้าแคมป์ ดึกโข แจ๊กสันเป็นพรานน�ำทางเลือดคนขาวกับเลือดพิแกนแบล็กฟุต รายงานนั้นท�ำให้คัสเตอร์ผุดลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น ก่อนอาทิตย์ตกดิน พรานน�ำทางของแจ๊กสันพบร่องรอยแคมป์ อินเดียนแดงขนาดใหญ่ วงกลมกระจายเกลือ่ นบนผืนหญ้าท้องทุง่ ในบริเวณ 20


ทีก่ างกระโจม รอยม้าย�ำ่ เป็นเทือกมุง่ หน้าไปทางตะวันตก ออกจากหุบเขา โรสบัด นายพลคัสเตอร์ตื่นเต้นด้วยเหตุสองประการ ค�ำสั่งจากนายพล เทอร์รี ให้เดินทัพไปยังต้นน�ำ้ โรสบัด แต่กป็ รับใช้ดลุ พินจิ พอเหมาะหากได้ ข้อมูลอืน่ เพิม่ เติม นีค่ อื โอกาสทอง คัสเตอร์จะได้กำ� หนดยุทธวิธแี ละลงมือ ปฏิบตั ไิ ด้อย่างเสรี แผนศึกของตนเอง ไม่ตอ้ งจ�ำกัดด้วยค�ำสัง่ จากเบือ้ งบน ข้อที่สอง เขาค้นพบกองก�ำลังหลักของซูส์แล้ว อินเดียนแดงคะนองศึก ที่หนีได้ปราดเปรียวไม่เห็นหัวเห็นหาง ทางตะวันตกห่างไปยี่สิบไมล์ เป็น หุบเขาอีกแห่ง...หุบเขาลิตเติลบิก๊ ฮอร์น ผายขึน้ ทางเหนือไปบรรจบบิก๊ ฮอร์น และเปิดสู่เยลโลว์สโตน อีกสองหรือสามวัน กองก�ำลังผสมของนายพลกิบบอนกับนายพล เทอร์รี จะเดินทางมาถึงเยลโลว์สโตน บ่ายหน้าลงใต้มายังบิ๊กฮอร์น...ซูส์ ตกอยู่กลางวงล้อม คีมเหล็กบีบกระชับ “ถอนแคมป์” นายพลคัสเตอร์ออกค�ำสั่ง นายทหารกระเจิงกลับ ไปหาหน่วยของตน “...เราจะเดินทัพตลอดทั้งคืน” คัสเตอร์หันไปหา สารวัตรทหาร “...หมูล่ อู สิ ลากนักโทษไว้ขา้ งกาย ผูกติดกับอานม้า น�ำ นักโทษตามหลังฉัน ฉันอยากให้มนั เห็นกับตาว่าเกิดอะไรกับเพือ่ นของมัน” ทหารม้าออกเดินทางกลางความมืด พื้นที่ขรุขระ พ้นจากหุบเขา เป็นหินตะปุ่มตะป�่ำ ไต่ขึ้นเนินสูง ไม่นานนัก ม้าเหนื่อยล้า ข้ามมาถึง สันปันน�ำ้ ก็ลผุ า่ นไปจนถึงชัว่ โมงต้นของวันอาทิตย์ที่ 25 มิถนุ ายน ค�ำ่ คืน มืดสนิท แต่แสงดาวสุกสว่าง ข้ามสันเนินได้ไม่นาน ก็พบธารน�้ำ มิตช์ บอยเออร์ระบุว่าเป็นล�ำธารเดนส์แอชวูด ไหลไปทางตะวันตก ไหลลงเนิน ไปบรรจบลิตเติลบิ๊กฮอร์นในหุบเขา ทหารม้าเกาะเลียบล�ำธารเดินทางต่อ ก่อนรุ่งสาง นายพลคัสเตอร์สั่งหยุดพล แต่ก็ไม่มีการตั้งแคมป์ ทหารเหนื่อยล้านอนกระจายเกลื่อน ไร้ที่ก�ำบัง งีบหลับเท่าที่ท�ำได้ เบนกับสารวัตรทหารเดินม้าตามหลังนายพลคัสเตอร์ ห่างไม่ถึง 21


ห้าสิบหลา เป็นส่วนหนึ่งของกองบังคับการ เบนยังนั่งบนหลังม้าของตน แต่ไรเฟิลชาร์ปกับมีดโบวีอยู่ที่ม้าของลูอิส ข้อเท้ามัดด้วยเชือกหนังติดกับ สายรัดอาน ข้อมือผูกไขว้หลัง การหยุดทัพก่อนรุ่งสาง ลูอิส ยักษ์ปักหลั่น แต่จิตใจงดงาม แก้ เชือกผูกข้อเท้าให้เบนลงจากหลังม้า ข้อมือยังรัดมัดแน่น ลูอิสรินน�้ำจาก กระติกของตนให้เบนดื่มหลายอึก เช้าที่จะมาถึงจะเป็นวันร้อนระอุอีกวัน ณ จุดนี้ นายพลคัสเตอร์จะสั่งการโง่เง่าครั้งแรกสุดของวัน เรียก หมายเลขสาม ร้อยเอกเฟรเดอริก เบ็นทีน สั่งการให้คุมกองร้อย H, D และ K เดินม้าผ่านดงหินลงไปทางใต้ เพื่อตรวจดูว่ามีอินเดียนแดงใน ละแวกนั้นหรือไม่ ห่างไปไม่กี่หลา เบนได้ยินเสียงประท้วงจากเบ็นทีน นายทหารที่เขาคิดว่าเป็นนายทหารมืออาชีพที่สุดในกรมนี้ เบ็นทีนแย้งว่า ถ้ากองก�ำลังหลักของซูส์อยู่ห่างไปข้างหน้าไม่ไกลนัก...ฉลาดแล้วหรือที่จะ แยกก�ำลังกระจายไป? “ค�ำสัง่ คือค�ำสัง่ ” นายพลคัสเตอร์ตวาด หันหน้าไปทางอืน่ เบ็นทีน ยักไหล่ ปฏิบัติตามค�ำสั่งผู้บังคับบัญชา น�ำทหาร 150 คน แยกไปจาก 600 คน ชักม้าเดินเข้าไปในเทือกเขาทอดยาวไร้ทสี่ นิ้ สุด ข้ามดงหินขรุขระ ไปท�ำเรื่องโง่เง่าไร้สาระ แม้เบนกับลูอสิ จะไม่มโี อกาสได้ทราบ แต่เบ็นทีนกับทหารเหนือ่ ยล้า จะย้อนคืนกลับมาที่นี่ ในอีกหลายชั่วโมงถัดมา สายเกินไปที่จะช่วยเหลือ แต่ก็สายเกินกว่าจะถูกฆ่าล้างกองร้อย หลังจากออกค�ำสั่งแล้ว นายพล คัสเตอร์สงั่ ให้เคลือ่ นพลต่อ กองทหารม้าที่ 7 ดุม่ เดินไปในความมืด เลียบ ธารน�้ำ มุ่งหน้าไปหาลิตเติลบิ๊กฮอร์น ก่อนรุง่ สาง พรานน�ำทางโครว์กบั รี ทีอ่ อกลาดตระเวนเป็นส่วนหน้า ย้อนกลับมา รายงานให้ทราบว่ามีเนินสนใกล้ธารเด็นซ์แอชวูดและแม่น�้ำ ในเมือ่ คุน้ เคยกับภูมปิ ระเทศแถบนัน้ เป็นอย่างดี พรานน�ำทางทราบว่า หาก ไปอยู่บนเนิน ก็พอจะกวาดสายตามองไปทั่วทั้งหุบเขา 22


พรานน�ำทางรีสองนายปีนต้นไม้ มองเห็นภาพที่รอท่าอยู่เบื้องหน้า เมือ่ ทราบว่านายพลคัสเตอร์ประสงค์จะเคลือ่ นทัพ พรานน�ำทางทรุดตัวลง นั่งบนพื้น เริ่มร้องเพลงสวดส่งวิญญาณ อาทิตย์ลอยดวงพ้นเหลี่ยมเขา ความร้อนทะลักมาพร้อมแสงส่อง ภาพที่เบน เครกมองเห็น นายพลคัสเตอร์ถอดเสื้อหนังกวางสีครีม ม้วน ผูกไว้หลังอาน คัสเตอร์เดินม้าต่อไปในเสื้อเชิ้ตสีน�้ำเงินเข้ม หมวกสีครีม ปีกกว้างดึงหลุบแทบจะบังตา กองทหารม้าเคลื่อนมาถึงเนินสน คัสเตอร์ชักม้าขึ้นไปค่อนเนิน ใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูว่ามีอะไร อยู่เบื้องหน้า ทหารยังอยู่ริมธาร ห่างจากแม่น�้ำราวสามไมล์ นายพล คัสเตอร์ชักม้าลงจากเนิน เรียกนายทหารประชุม เสียงลือเซ็งแซ่แพร่ไป ทั่วกองทัพ คัสเตอร์มองเห็นส่วนหนึ่งของกระโจมซูส์ มีควันไฟลอยเป็น สายจากการหุงต้ม เวลานั้นกลางช่วงเช้าแล้ว ข้ามล�ำธาร ทางตะวันออกของแม่น�้ำ มีเทือกเขาเตี้ยๆ บดบัง สายตาระดับพืน้ ดิน แต่คสั เตอร์กพ็ บอินเดียนแดงซูสแ์ ล้ว...ไม่ทราบจ�ำนวน แท้จริงว่ามากน้อยเท่าใด ปฏิเสธที่จะรับฟังเสียงเตือนจากพรานน�ำทาง นายพลคัสเตอร์ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วจะเข้าโจมตี...ค�ำสั่งหนึ่งเดียวที่อยู่ใน สารบบความคิด แผนศึกที่วาดไว้ จะเป็นก้ามปู แทนที่จะเฝ้าตรึงอินเดียนแดงทาง ปีกทิศใต้ รอคอยกองทัพของกิบบอนและเทอร์รเี คลือ่ นลงจากทางทิศเหนือ คัสเตอร์ตัดสินใจสร้างก้ามปูขึ้นมาเอง ด้วยทหารที่เหลืออยู่ของกองทหาร ม้าที่ 7 ร่างถูกมัดติดม้า มือมัดไขว้หลัง รอคอยค�ำพิพากษาแขวนคอหลัง เสร็จศึก เบนได้ยินนายพลคัสเตอร์สั่งการ เรียกตัวหมายเลขสอง พันตรี มาร์คสั เรโน ให้นำ� กองร้อย A, M และ B มุง่ หน้าต่อไปทางทิศตะวันตก เมื่อไปถึงริมแม่น�้ำ พาทหารข้ามน�้ำ หักเลี้ยวขวา เข้าโจมตีด้านล่างของ หมู่กระโจมจากทิศใต้ 23


คัสเตอร์ทิ้งกองร้อยเดียวไว้เฝ้าระวังกองเกวียนบรรทุก อีกห้า กองร้อยทีเ่ หลือ คัสเตอร์จะน�ำทัพเคลือ่ นขึน้ เหนือด้วยตนเอง แฝงลัดเลาะ ให้เทือกเขาบดบังไว้ จนออกสูป่ ลายเนินทางทิศเหนือ จากนัน้ จะข้ามล�ำน�ำ้ โจมตีซสู จ์ ากทางทิศเหนือ สามกองร้อยของเรโนกับห้ากองร้อยของคัสเตอร์ จะบีบกักอินเดียนแดง บดขยี้ให้แหลกราญคามือ เบนไม่ทราบว่ามีอะไรซ่อนอยู่อีกฟากของเทือกเขาเตี้ย มองจาก อากัปกิรยิ าของพรานน�ำทางโครว์กบั รี...พวกนัน้ ทราบดี เตรียมตัวตาย สิง่ ทีพ่ รานน�ำทางกลุม่ นัน้ เห็นกับตา จะเป็นการชุมนุมของอินเดียนแดงเผ่าซูส์ และไชแอนน์ใหญ่ที่สุดที่เคยมี และจะไม่มีขนาดนี้อีกแล้ว หกเผ่าใหญ่มา ร่วมชุมนุมกันที่นี่เพื่อล่าสัตว์ กระโจมลานตาเรียงรายริมฝั่งตะวันตกของ แม่น�้ำลิตเลิตบิ๊กฮอร์น...นักรบราวหมื่นถึงหมื่นห้าพันคน มาจากทุกเผ่าใน ท้องทุ่งแพร์รี เบนทราบแล้วว่า ในสังคมของอินเดียนแดงท้องทุ่ง นักรบจะมา จากชายตัง้ แต่อายุสบิ ห้าไปจนถึงกลางวัยสามสิบ ดังนัน้ หนึง่ ในหกของเผ่า ใดๆ จะเป็นนักรบ นัน่ ก็หมายความว่า มีนกั รบกล้าปักกระโจมริมฝัง่ แม่นำ�้ ราวสองพันคน และไม่อยู่ในอารมณ์เชื่องเชื่อ ค้อมหัวยอมให้ทหารต้อน กลับไปหาความอดอยากหิวโหยในนิคมอินเดียนแดงเมื่อได้ข่าวว่าท้องทุ่ง ทางตอนเหนือและตะวันตกมีกวางและเลียงผาอ้วนพี เลวร้ายกว่านัน้ ไม่มผี ใู้ ดทราบเรือ่ งนี ้ เมือ่ สัปดาห์ทผี่ า่ นมา นักรบ อินเดียนแดงปะทะกับกองก�ำลังของนายพลครุก บดขยี้ทหารม้าม้าเสื้อ น�้ำเงินแตกพ่าย ไม่มีนักรบคนไหนกลัวทหารม้าเสื้อน�้ำเงินอีกต่อไปแล้ว... ต่างไปจากผูช้ ายในหมูบ่ ้านของทอลล์เอกล์ ไม่มนี กั รบคนใดออกไปล่าสัตว์ แท้จริงแล้ว ในค�่ำคืนวันที่ 24 มิถุนายน นักรบอินเดียนแดงถ้วนทั่ว ทุกตัวคนอยู่ครบในแคมป์ จัดงานเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือทหารม้าของ นายพลครุก งานฉลองเนิ่นช้าหนึ่งสัปดาห์ มีเหตุผล เพราะช่วงเจ็ดวันจะเป็น 24


ช่วงไว้ทุกข์ ไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากการรบกับทหารม้าของนายพลครุกใน วันที่ 17 มิถนุ ายน งานรืน่ เริงจะจัดได้กต็ อ่ เมือ่ ผ่านพ้นไปแล้วหนึง่ สัปดาห์ เต็ม อรุณรุง่ ของวันที่ 25 มิถนุ ายน นักรบตืน่ ฟืน้ จากความเหนือ่ ยล้าของ การเต้นรอบกองไฟในคืนที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดออกไปล่าสัตว์ แต่ละคนยัง แต้มแต่งลวดลายออกศึกบนแผงอกและใบหน้า แม้จะเป็นเช่นนัน้ เบน เครกตระหนักได้วา ่ คราวนีจ้ ะไม่มหี มูบ่ า้ น หลับใหลแบล็กแคตเติลทีว่ าชิตา เวลาเทีย่ งวันเศษ นายพลคัสเตอร์สงั่ แยก ทัพเป็นครั้งท้ายสุด...ถึงแก่กาลวิบัติ พรานน�ำทางจับตามองพันตรีเรโนน�ำทัพแยกจากกองใหญ่ เคลื่อน ผ่านเลียบล�ำธารไปยังช่องน�้ำตื้นพอจะเดินข้ามแม่น�้ำได้ หัวขบวนของ กองร้อย B ร้อยเอกแอ็กตันเบือนหน้ามองพรานน�ำทางที่เขาปรักปร�ำ ให้โทษถึงประหาร รีดริมฝีปากยิ้มเรื่อจาง เยื้องไปด้านหลัง สิบเอก แบรดด็อกแสยะยิ้มใส่นักโทษ อีกสองชั่วโมงข้างหน้านี้ สองนายบ่าวจะ เสียชีวิต ทหารไม่กี่หยิบมือของพันตรีเรโนจะถูกล้อมติดค้างบนยอดเนิน ยิงตรึงไว้สุดความสามารถ รอคอยก�ำลังหนุนจากคัสเตอร์ยกมาช่วยเหลือ แต่นายพลคัสเตอร์จะไม่มีวันเดินทางไปถึงที่นั่น ผู้ที่ไปช่วยเหลือ จะเป็น ทัพของนายพลเทอร์รี...ในอีกสองวันถัดมา เบน เครกจับตามองทหาร 150 คน พรากไปจากกองก�ำลังหลัก เคลือ่ นเลียบริมตลิง่ แม่นำ�้ แม้เขาจะไม่ใช่ทหาร แต่กไ็ ม่มศี รัทธาในตัวทหาร พวกนี้เลย ทหารสามสิบเปอร์เซ็นต์ในกองทัพของคัสเตอร์เป็นทหารใหม่ แทบไม่มกี ารฝึก บางคนพอมีฝมี อื บังคับม้าเชือ่ งสงบ หลุดเข้าไปในการรบ ก็คงหลุดจากหลังม้า ส่วนที่เหลือแทบจะยิงปืนไรเฟิลสปริงฟีลด์ไม่เป็น อีกสีส่ บิ เปอร์เซ็นต์ แม้จะเป็นทหารเก่า แต่กไ็ ม่เคยลัน่ กระสุนสักนัด เข้าใส่นักรบพิโรธ ไม่เคยเข้าสงครามประจันบาน อินเดียนแดงที่เคยเห็น มีแต่พวกเงื่องหงอยซึมเซาในนิคมอินเดียนแดง เขาอดสงสัยมิได้ว่าทหาร พวกนี้จะตอบสนองอย่างไรหากนักรบหน้าถมึงทึง ไสม้ากราดเกรี้ยวเข้า 25


มารบตะลุมบอน ต่อสูส้ ดุ ชีวติ เพือ่ ปกป้องชีวติ สตรีและเด็ก สังหรณ์มรณะ เคยวาบผ่านห้วงความคิด ไม่ผิดพลาดเสียด้วย ถึงตอนนี้แล้ว ก็สายเกิน ไปที่จะวาดเพียงภาพ องค์ประกอบส�ำคัญข้อสุดท้ายที่เขาทราบว่านายพลคัสเตอร์ไม่ ใส่ใจจดจ�ำ ต�ำนานที่เล่ากันสืบมา มิได้มีมูลความจริงแต่อย่างใด...นักรบ อินเดียนแดงมิได้ใช้ชีวิตราคาถูก หากแต่บูชาชีวิตศักดิ์สิทธิ์ไว้สูงสุด แม้ ในยามรบ อินเดียนแดงจะไม่ทุ่มเทสูญเสียขนาดหนัก หากสูญเสียนักรบ ห้าวหาญที่สุดไปสองหรือสามคน จะถอนทัพทันที...แต่คราวนี้ นายพล คัสเตอร์จะยกกองทัพไปเข่นฆ่าพ่อแม่ เมียและลูก เกียรติศักดิ์เพียงอย่าง เดียวก็ค�้ำคอไม่ให้ล่าถอย จะต้องต่อสู้จนกว่าวาสิชู-คนขาว คนสุดท้าย สิ้นลมหายใจ ไม่มีความเมตตาปรานี เมื่อกลุ่มฝุ่นผงของสามกองร้อยของพันตรีเรโนโรยตัว คัสเตอร์สั่ง ให้กองเกวียนสัมภาระปักหลักตั้งที่มั่น เฝ้าระวังโดยกองร้อยเดียว อีกห้า กองร้อยที่เหลือ กองร้อย E, C, L, I และ F เคลื่อนไปทางทิศเหนือ ลัดเลาะแฝงสันเนินไม่ให้อินเดียนแดงมองเห็น ในขณะเดียวกัน ทหารม้า ก็มองไม่เห็นอินเดียนแดงเช่นกัน คัสเตอร์หันกลับมาหาสารวัตรทหาร “พานักโทษร่วมขบวนด้วย ฉันอยากให้มันเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อเพื่อนของมันในยามที่กองทหารม้า ที่ 7 บุกเข้าไปถึง” นายพลคัสเตอร์เบือนหน้ากลับ น�ำขบวนไปทางเหนือ กองร้อยทั้ง ห้าตามติด มีทหารเหลือเพียง 250 นาย เบนเพิ่งตระหนักได้ว่านายพล คัสเตอร์ไม่ส�ำเหนียกถึงภัยอันตรายเลย เพราะเขาพาพลเรือนอีกสาม คนร่วมไปรับชมความสนุกสนาน หนึ่งนั่นคือ นักข่าวสวมแว่น, มาร์ก เคลล็อกซ์ กล่าวให้ชัดยิ่งขึ้น พลเรือนอีกสองเป็นญาติของคัสเตอร์... บอสตัน คัสเตอร์ น้องชายคนเล็กอายุสิบเก้า กับออตี รีด หลานชาย อายุสิบหก 26


ทหารม้าจับคู่เดินแถวยาวเหยียดเกือบครึ่งไมล์ ด้านหลังของคัส เตอร์เป็นทหารคนสนิท ร้อยเอกคุก ถัดมาเป็นพลทหารเวรประจ�ำตัวท่าน นายพล พลทหารจอห์น มาร์ติน พลแตร ชื่อเดิม จูเซ็ปเป มาร์ติโน อดีตคนใช้ส่วนตัวของการิบัลดี อพยพมาจากอิตาลี ยังพูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้ สิบเอกลูอิส กับเบน เครกห่างจากคัสเตอร์สามสิบฟุต ในยามที่เดินม้าขึ้นเนิน ยังไม่พ้นสันเขา หากบิดตัวบนอาน ก็พอ จะเห็นพันตรีเรโนกับทหาร เดินม้าข้ามแม่น�้ำลิตเติลบิ๊กฮอร์น ก่อนจะ เข้าโจมตีอินเดียนแดงจากทางทิศใต้ ณ จุดนี้ นายพลคัสเตอร์สังเกตเห็น ใบหน้าเศร้าสร้อยของพรานน�ำทางโครว์และรี คัสเตอร์แสยะยิ้มเชื้อเชิญ ให้แยกทางไปได้หากประสงค์ พรานน�ำทางกลุ่มนั้นปฏิบัติตามค�ำเชิญแต่ โดยดี...พรานน�ำทางกลุ่มนี้รอดชีวิต กองทหารม้าเคลือ่ นไปในขบวนนีไ้ ปจนถึงสันเนิน มองข้ามลงไปเห็น หุบเขาเบื้องล่างได้แล้ว เบนได้ยินเสียงสูดลมหายใจขาดห้วงของสารวัตร ร่างยักษ์ มือกุมบังเหียนแน่น อุทานออกมาว่า “สวีต จีซัส!” ภาพเบื้อง หน้า มีกระโจมแผ่ไกลสุดลูกหูลูกตา แม้จะอยู่ระยะห่าง เบนก็ยังพอจะมองเห็นรูปลักษณ์ของกระโจม และสีสันแต้มแต่งเฉพาะเผ่า อินเดียนแดงมาชุมนุมที่นี่หกเผ่า ในยามที่อินเดียนแดงท้องทุ่งออกเดินทาง จะเกาะเป็นกลุ่ม แยก เผ่า เมือ่ หยุดตัง้ แคมป์ จะแยกเป็นหมูบ่ า้ น ดังนัน้ การตัง้ กระโจมจะเรียง แถวยาวเหยียด วงกลมหกวงต่อแถวกันยาวเหยียดข้ามไปยังแม่น�้ำอีกฝั่ง กองล่าสัตว์เคลื่อนตัวขึ้นเหนือ หยุดปักแคมป์ก่อนหน้านี้หลายวัน ในเมื่อไชแอนน์เหนือเป็นผู้บุกเบิกเส้นทาง ก็ได้รับเกียรติให้ตั้งหมู่บ้าน กระโจมอยู่ทางตอนเหนือสุด ถัดมาเป็นพันธมิตรแนบแน่น, ซูส์โอกลาลา จากโอกลาลาก็เป็นซูสซ์ านส์อาร์ก และแบล็กฟุต ทางใต้เป็นทีต่ งั้ แคมป์ขอ งมินเนคอนจู ปลายติ่งใต้สุดที่พันตรีเรโนจะเข้าโจมตี และเป็นท้ายขบวน ของแถวกระโจม จะเป็นหมูบ่ า้ นของฮังก์ปาปา อันเป็นทีพ่ กั ของหัวหน้าเผ่า 27


และพ่อมดประจ�ำเผ่าซูส์...ซิตติงบูล อินเดียนแดงเผ่าอื่นๆ ร่วมทางมากับญาติมิตร ไม่ว่าจะเป็นซูส์เผ่า แซนที, บรูเล, แอสซินนีบอน สิง่ ทีก่ องทหารม้าที่ 7 มองไม่เห็น การเข้า โจมตีกระโจมฮังก์ปาปาของพันตรีเรโน ละลายไปทั้งกองเมื่อซูส์ฮังก์ปาปา ถลันออกจากกระโจม กระโจนขึน้ หลังม้า อาวุธครบมือ ตีโต้รกุ ไล่ทหารม้า เกือบบ่ายสองโมงแล้ว ทหารม้าของเรโนถูกตีโอบจากทางปีกซ้าย ด้วยนักรบบนม้าหลังเปลือย ตีโอบรุกไล่จนไม่เป็นขบวน เมื่อสูญเสียปีก ทางซ้าย กองก�ำลังหลักก็ต้องถอยร่นเข้าไปในดงไม้คอตตอนวูด แทรกอยู่ ระหว่างกลางท้องทุ่งกับริมฝั่งแม่น�้ำที่ทหารเพิ่งเดินม้าข้ามมา ทหารส่วนใหญ่ลงจากหลังม้า บ้างก็ถูกม้าพยศสะบัดตกลงพื้น บางคนไรเฟิลสปริงฟีลด์พลัดมือหล่นหาย ซึ่งนักรบแต้มลวดลายออกศึก บนผิวเปลือยเปล่า ริบไปด้วยอาการลิงโลด ไม่กี่นาที ทหารม้าเดินเท้า ถอยร่นข้ามแม่น�้ำ มายึดเนินสูง ปักหลักมั่นในวงล้อมของนักรบซูส์นาน ถึงสามสิบหกชั่วโมง นายพลคัสเตอร์กวาดสายตามองภาพที่เห็นตรงหน้า ห่างมาไม่กี่ หลา เบน เครกจับตามองสีหน้าของนายพล มีผหู้ ญิงและเด็กเดินพล่านใน แคมป์...ไม่มีผู้ชาย คัสเตอร์คงคิดว่าคนป่าน่าจะยังไม่ทันรู้ตัว เบนได้ยิน เสียงสั่งการ นายทหารชักม้ายืนล้อมวง “เราจะลงไปที่นั่น ผ่าตัดกลาง หมู่บ้าน ยึดหมู่บ้านได้ง่ายๆ” จากนั้น คัสเตอร์เรียกตัวร้อยเอกคุก สั่งให้จดค�ำสั่ง น่าแปลกที่ เลือกจะส่งไปยังร้อยเอกเบ็นทีน ผูท้ ไี่ ด้รบั ค�ำสัง่ ให้ออกไปลาดตระเวนโง่เง่า ไร้สาระ ค�ำสัง่ ทีร่ อ้ ยเอกคุกจดลงไปบนกระดาษคือ “มาเร็ว หมูบ่ า้ นใหญ่ เร็วที่สุด น�ำเอาสัมภาระมาด้วย” สัมภาระที่ว่าคือ กระสุนปืน คัสเตอร์ มอบค�ำสั่งให้พลแตรมาร์ติโน ผู้ที่จะรอดชีวิตเพื่อบอกเล่าเรื่องราวให้คน ข้างหลังได้ทราบ นับเป็นปาฏิหาริย์ที่พลแตรอิต าเลียนเดินทางมาจนพบร้อยเอก 28


เบ็นทีน ผู้ย้อนกลับมายังที่ชุมนุมพลริมธารน�้ำ เบ็นทีนยกก�ำลังไปสมทบ กับเรโนบนเนิน ถูกกักล้อมอยู่ที่นั่น...แต่ไม่มีโอกาสที่จะตีฝ่า ยกก�ำลังมา ช่วยเหลือนายพลคัสเตอร์ได้ ในตอนทีม่ าร์ตโิ นย้อนรอยกลับหลัง เบน เครกเอีย้ วตัวบนอาน หัน ไปมอง เขามองเห็นทหารม้ายีส่ บิ สีน่ ายสังกัดกองร้อย F ของร้อยเอกเยตส์ ชักม้าหนีทพั ผละจากไปโดยไม่มคี ำ� สัง่ ไม่มผี ใู้ ดขยับตัวขัดขวาง เบนเหลียว กลับมาเพ่งจ้องนายพลคัสเตอร์ทหี่ วั ขบวน...ไม่มอี ะไรเลยหรือทีจ่ ะเจาะผ่าน กะโหลกหนาชูเชิดสูงเหมือนหัวนกยูงใต้หมวกสีครีม? นายพลคัสเตอร์ยืนบนโกลน ยกหมวกสีครีมชูขึ้นสูง ร้องตะโกน บอกทหาร “...ไชโย! เราได้ตัวพวกมันแล้ว, ไอ้หนู” นั่นเป็นค�ำพูดที่แว่วเข้าหูพลแตรมาร์ติโน เป็นถ้อยค�ำที่รายงาน ให้กองทัพบกได้รับทราบในภายหลัง เบนสังเกตเห็น เหมือนคนที่มี ผมสีน�้ำตาลไหม้ยาวสลวยคนอื่นๆ คัสเตอร์อายุสามสิบหกจะมีหย่อมล้าน กลางกระหม่อม แม้จะมีชื่อเล่นที่อินเดียนแดงเรียกว่า ‘ผมยาว’ แต่ การออกศึกในฤดูร้อนปีนั้น คัสเตอร์ตัดผมสั้น นี่เองที่พอจะอธิบายได้ว่า หญิงอินเดียนแดงจดจ�ำคัสเตอร์ไม่ได้จากการย�่ำไปส�ำรวจซากศพ และ นักรบไม่คิดว่ามีค่าพอจะกรีดเนื้อถลกหนังหัว สิ้นเสียงประกาศ คัสเตอร์ปักสเปอร์กระตุ้นม้าให้โผนออกจากที่ ทหารม้า 210 นายตามติด เนินลาดลงสูร่ มิ แม่นำ�้ น�ำ้ ตืน้ พืน้ เรียบ เหมาะ แก่การควบม้าเข้าจูโ่ จม ลงไปได้ราวครึง่ ไมล์ กองทหารม้าหักออกทางซ้าย กองร้อยแล้วกองร้อยเล่า ลงเนิน ตัดข้ามแม่น�้ำเข้าโจมตี...วินาทีนี้เองที่ หมู่บ้านอินเดียนแดงระเบิดวายป่วง นักรบไหลกรูออกจากกระโจมเหมือนฝูงต่อ เนื้อตัวแต้มลวดลาย นักรบออกศึก ส่วนใหญ่แผงอกเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าเตีย่ วผืนเดียว กรีด ร้องเสียงแหลมสูง ‘ยิป ยิป ยิป’ ในขณะที่ชักม้าข้ามล�ำน�้ำ ฝอยน�้ำ กระจาย ฝูงม้าหลังเปลือยไหลพรูขึ้นริมฝั่งตะวันออกของแม่น�้ำ ทหารม้า 29


เสื้อน�้ำเงินชะงักค้าง ข้างกาย สิบเอกลูอิสดึงบังเหียนหยุดม้า เขาได้ยินเสียงอุทาน ‘สวีต จีซัส’ ทหารม้ายังไปไม่ถึงแม่น�้ำในตอนที่นักรบอินเดียนแดงไถลตัว ลงจากหลังม้า เดินเท้ามุ่งเข้าหาทหารม้า ทิ้งตัวนอนราบในพงหญ้า หาย วับไปต่อหน้าต่อตา ลุกขึน้ มาใหม่ วิง่ สองสามก้าว แล้วทิง้ ตัวกลับลงไปอีก ครั้ง ธนูดอกแรกพุ่งปักอกทหารม้า อีกดอกปักเข้าที่สีข้างม้า ม้าโผนผก ด้วยความเจ็บปวด สะบัดผู้ขับขี่หล่นลงพื้น “ลงม้า จูงม้าไปด้านหลัง” เสียงตะโกนสั่งการจากคัสเตอร์ ไม่มี ผู้ใดรอฟังค�ำสั่งรอบสอง เบนมองเห็นทหารม้าบางคนชักปืนโคลต์ .45 ออกจากซอง จ่อยิงหัวม้า ใช้ซากม้าเป็นเกราะก�ำบัง...นัน่ เป็นทหารมือเก่า เฉลียวฉลาด ไม่มที กี่ ำ� บังใด ๆ บนเนิน ไม่มกี อ้ นหินใหญ่ ไม่มแี ง่งหิน ในยามที่ ทหารม้าลงจากหลังม้า แต่ละกองร้อยจะมีทหารส่วนหนึง่ วิง่ รวบบังเหียน พาฝูงม้ากลับไปด้านหลังบนยอดสันเนิน สิบเอกลูอสิ ชักบังเหียน จูงม้าของ เบนย้อนกลับขึ้นสันเนิน ที่นั่นเป็นแหล่งชุมนุมของฝูงม้า มีทหารคอยจับ บังเหียนตรึงม้าไม่ให้ตนื่ ตระหนก ไม่นานนัก ม้าทหารได้กลิน่ อินเดียนแดง ม้าเหลือกตาโผนผก กระชากลากทหารล้มคว�ำ่ ลากไปบนพืน้ จากทีน่ งั่ บน อานม้า เบนกับลูอิสมองเห็นระลอกแรกของการปะทะ เสียงปืนเกรียว กราวก่อนจะขาดหาย เงียบสงัด อินเดียนแดงยังไม่ยุติศึกเพียงเท่านี้ การรบเพิ่งเริ่มต้น ฝูงนักรบคืบคลานล้อมโอบเป็นวง ตามบันทึกประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่าอินเดียนแดงเผ่าซูส์เป็นผู้บดขยี้ กองทัพของคัสเตอร์ แท้จริงมิได้เป็นเช่นนั้น ไชแอนน์เป็นผู้ดาหน้าเข้า ปะทะ ซูส์โอกลาลามอบเกียรติให้ไชแอนน์เป็นผู้พิทักษ์หมู่บ้าน ซึ่งก็เป็น กลุม่ กระโจมแรกทีน่ ายพลคัสเตอร์ยกทัพเข้าตี โอกลาลาเป็นเพียงกองหนุน คืบคลานมาในระลอกสองเพือ่ กระจายก�ำลังโอบทหารเสือ้ น�ำ้ เงินไว้ในวงล้อม จากจุดบนหลังม้าบนยอดเนิน เบนมองเห็นโอกลาลาคลานผ่านพงหญ้า 30


ทัง้ ซ้ายและขวา ผ่านไปยีส่ บิ นาที ไม่เหลือความหวังในการถอยทัพอีกแล้ว เสียงกระสุนหวีดหวิว ลูกศรโปรยปลิว ปลิดชีวิตทหารม้าที่อยู่ใกล้ที่สุด ทหารควบคุมม้าคนหนึง่ โดนลูกศรหล่นจากฟ้า ปักเข้าทีล่ ำ� คอ เลือดทะลัก เป็นลิ่มพร้อมกับเสียงกรีดร้องขลุกขลักกลั้วฟองเลือด อินเดียนแดงมีไรเฟิล มีปืนคาบศิลา แต่จ�ำนวนไม่มากนัก เมื่อ บ่ายสิ้นสุด จะมีไรเฟิลสปริงฟีลด์และปืนโคลต์เพิ่มอีกมาก ปกติแล้ว อินเดียนแดงใช้ธนู ซึง่ ก็มจี ดุ เด่นสองข้อ ธนูไร้สมุ้ เสียง ไม่เปิดเผยต�ำแหน่ง ผูย้ งิ ทหารม้าเสือ้ น�ำ้ เงินจ�ำนวนมากเสียชีวติ จากลูกศรโดยไม่มโี อกาสได้เห็น ตัวผู้ยิง จุดเด่นอีกข้อ ธนูยิงเป็นห่าฝนขึ้นฟ้า ตกหล่นลงมาในแนวดิ่งปัก ทหารม้า การยิงเช่นนี้เป็นภัยต่อม้า ในช่วงชั่วโมงแรก ม้าหลายตัวต้อง ลูกศรหล่นจากฟ้า สะบัดตัวหลุดจากมือผู้ควบคุม วิ่งเตลิดหนีหาย ม้า ตัวอื่นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ วิ่งตามเป็นพรวน ก่อนที่ทหารม้าจะเสียชีวิต ทั้งหมด ม้าหนีหายไม่เหลือแล้ว สะบั้นความหวังสุดท้ายที่จะหลบหนี ความตืน่ ตระหนกแพร่ไปในหมูท่ หารทีซ่ กุ หัวกอดดิน เหมือนไฟป่าลามเลีย นายสิบและนายทหารมือเก่าบางคนเสียสติ หมู่บ้านไชแอนน์เป็นของลิตเติลวูล์ฟ ผู้ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเมื่อ ทหารม้ า เข้ า โจมตี ตอนที่ ลิ ต เติ ล วู ล ์ ฟ ย้ อ นกลั บ มาในอี ก ชั่ ว โมงถั ด มา เพือ่ นพ้องส่งเสียงโห่ฮากระเซ้ายัว่ เย้าถากถางทีห่ นีหน้าหน่ายศึก แท้จริงแล้ว ลิตเติลวูลฟ์เป็นผูน้ ำ� กองลาดตระเวนเกาะขบวนกองทัพของคัสเตอร์มาจนถึง โรสบัด ตัดข้ามเนินเขามาจนถึงลิตเติลบิ๊กฮอร์น ในเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านไม่อยู่ ผู้น�ำทัพอินเดียนแดงจะเป็นนักรบที่ มีอาวุโสรองลงมา ผู้มาเยือนจากไชแอนน์ตอนใต้ชื่อ เลมไวต์แมน หรือ คนขาวขาเป๋ นักรบผูน้ มี้ ใิ ช่คนขาว และไม่เฉียดใกล้อาการขาเป๋ ในยามที่ ทหารม้าสามสิบนายน�ำด้วยนายทหาร พยายามจะตีฝ่าวงล้อมมุ่งไปหา แม่น�้ำ เขาเพียงผู้เดียวที่โผนเข้าตี ทุบท�ำลายขวัญก�ำลังใจของทหารม้า แม้จะเสียชีวิตเยี่ยงวีรบุรุษ แต่ไม่มีทหารสามสิบนายเหลือรอดชีวิตพอจะ 31


ถอยกลับทีต่ งั้ เดิมได้ ทหารม้าทีต่ ดิ อยูบ่ นเนิน จับตามองเพือ่ นพ้องล้มตาย ทีละคนจนไม่เหลืออีกแล้ว...ความหวังที่จะรอดชีวิตดับวูบไปพร้อมกับร่าง เพื่อนพ้องล้มคว�่ำ จากทีส่ งู เบนกับลูอสิ ได้ยนิ เสียงสวดมนต์เสียงร�ำ่ ไห้ของผูเ้ ผชิญหน้า ความตาย ทหารคนหนึ่ง หน้าตาอ่อนเยาว์ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ร้องไห้ โหยหวน วิ่งหนีออกจากที่ตั้ง วิ่งมาหาม้าสองตัวสุดท้าย ไม่ถึงอึดใจ ลูกศรสี่ดอกพุ่งปักกลางหลัง ร่างล้มคว�่ำ นอนบิดบนพื้น ชายสองคนยื น ม้ า บนยอดเนิ น อยู ่ ใ นระยะการยิ ง แล้ ว ลู ก ศร โปรยปรายเฉียดผ่าน ทหารที่เหลืออยู่ในวงล้อมอาจจะห้าสิบหรือร้อยคน หากไม่โดนลูกศรก็คงเป็นกระสุน ในบางคราว นักรบผ้าเตี่ยวห้าวหาญ ผู้ประสงค์จะสร้างชื่อให้ตนเอง จะกระโจนขึ้นหลังม้า ควบข้ามหัวทหาร ม้าที่นอนหมอบบนพื้นเข้าไปกลางวง ไม่สนใจห่ากระสุนและฝีมือการยิง ไร้ความแม่นย�ำของทหาร ชักม้ากระโดดข้ามวงกลับออกมาอย่างปลอดภัย ได้เกียรติศักดิ์ประดับตัว ตลอดเวลาจะส่งเสียงร้องกรีดแหลม ทหารม้าทุกคนเชือ่ ว่าเสียงกรีดร้องนัน้ เป็นเสียงโห่เอาชัย เบนทราบ ดีกว่านั้น เสียงร้องกรีดแหลม หาใช่เสียงท้ารบ หากแต่เป็นเสียงร้องกรีด เพื่อเสพรับความตายของตนเอง ส่งเสียงร้องสวดส่งวิญญาณไว้ในอุ้งหัตถ์ ของวิญญาณทุกหนแห่ง แต่สงิ่ ทีท่ ำ� ลายกองทหารม้าที่ 7 ในวันนัน้ จะเป็นความหวาดกลัว การจับเป็นและการลงทัณฑ์ทรมาน ทหารแต่ละนายถูกล้างสมองด้วยเรือ่ ง เล่าการลงทัณฑ์เหี้ยมโหดเชื่องช้า ทรมานเชลยคนขาวด้วยวิธีการสารพัด จนกว่าลมหายใจจะขาดห้วง ความเป็นจริงแล้ว เข้าใจผิดไปเอง อินเดียนแดงท้องทุ่งไม่มีธรรมเนียมการจับเป็นเชลยศึก ไม่มีที่พัก ไว้รับรอง กองก�ำลังฝ่ายตรงข้าม อาจยอมแพ้อย่างมีเกียรติหากก�ำลังฝ่าย ตนถูกฆ่าตายไปกึ่งหนึ่ง เมื่อการรบผ่านไปเจ็ดสิบนาที กองทหารม้าของ คัสเตอร์เหลือจ�ำนวนเพียงเท่านีห้ ากจะยอมแพ้กย็ อ่ มท�ำได้ แต่จากต�ำนาน 32


เล่าขานของอินเดียนแดง ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังสูต้ อ่ ไป จะต้องถูกฆ่าจนถึงคน สุดท้าย ถ้ า มี ก ารจั บ เป็ น เชลยศึ ก จะถู ก ลงทั ณ ฑ์ ท รมานในสองกรณี หนึง่ นัน้ ถ้ามีผจู้ ำ� ได้วา่ เป็นทหารทีเ่ คยยอมแพ้ ให้สตั ย์สาบานแล้วว่าจะไม่ รบกับเผ่านั้นอีกแล้ว ในเมื่อตระบัดสัตย์ หรือต่อสู้เยี่ยงคนขี้ขลาดตาขาว ทั้งสองกรณีนี้ ไม่ถือว่ามีเกียรติศักดิ์ในฐานะมนุษย์ ธรรรมเนียมของซูส์และไชแอนน์ การทานรับความเจ็บปวดอย่าง ความห้าวหาญ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า จะเป็นหนทางเดียว ที่จะกอบกู้เกียรติศักดิ์คืนกลับมาได้ คนตระบัดสัตย์และคนขลาด จะได้ รับโอกาสให้พิสูจน์ตนเองอีกครั้ง...ผ่านความเจ็บปวด นายพลคัสเตอร์ เป็นทหารม้าที่เคยให้สัตย์สาบานแล้วว่าจะไม่สู้รบกับไชแอนน์ หญิง อินเดียนแดงสองนางจดจ�ำเขาได้ในหมู่ซากศพ ใช้เหล็กแหลมแทงหนัง ปักเข้าไปในรูหูทะลุเยื่อแก้วหู...เผื่อผู้ตายจะได้ยินได้ดีขึ้นในชีวิตหน้า เมื่อวงล้อมของซูส์และไชแอนน์บีบกระชับเข้าใกล้ ความตระหนก สยายปกคลุมทหารในวงล้อม การศึกในยุคนั้นไม่ได้สู้รบในทัศนวิสัยดีนัก ยังไม่มีดินด�ำไร้ควัน เพียงชั่วโมงเดียว กองทหารจมอยู่ในหมอกขาวขุ่น ของควันปืน ก่อนจะทันได้ตั้งตัว มีอินเดียนแดงร่างเปลือยเปล่าทาสีแต้ม ลวดลายออกศึกโผนเข้ามาหา ภาพสยองในใจทีว่ าดไว้ น่าสะพรึงกลัวชวน ให้ขาดใจได้แล้ว ในอีกหลายปีถัดมา กวีชาวอังกฤษเขียนบรรยายไว้ว่า ในยามบาดเจ็บเลือดรินไหลในท้องทุ่งอาฟกานิสถาน สตรีเดินพล่านออกมาเชือดเนื้อเถือหนัง ใยไม่พลิกไรเฟิลเป่าสมองให้กระจาย สลายวิญญาณสู่อ้อมกอดของพระเจ้าในมาดทหาร ทหารม้าบนเนินในวันนั้นไม่รอดชีวิตมาอ่านนิพนธ์ของคิปลิง แต่ 33


ถ้อยบรรยายนั้นเป็นสิ่งที่ทหารปฏิบัติ เบนได้ยินเสียงปืนพกของทหาร บาดเจ็บ ปลิดชีวติ ตนเองให้รอดพ้นทัณฑ์ทรมาน เขาหันไปหาสิบเอกลูอสิ สารวัตรทหารร่างยักษ์ใบหน้าซีดขาว ม้าทั้งสองวิ่งเตลิดไร้การ ควบคุม ไม่มีที่หลบไปได้แล้ว ซูส์โอกลาลาเกลื่อนในพงหญ้า “หมู่ อย่าปล่อยให้ผมตายเหมือนหมูถกู มัด” เบนวิงวอน ลูอสิ นิง่ คิด หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายสิ้นสุดความรับผิดชอบแล้ว ไถลตัวลงจากม้า ชักมีดตัดเชือกหนังผูกข้อเท้าติดสายรัดอาน วินาทีนั้น สามเรื่องเกิดขึ้นกินเวลาไม่ถึงวินาที ลูกศรสองดอกยิง จากระยะห่างไม่ถึงร้อยฟุต ปักเข้ากลางอกของลูอิส มีดถือในมือ ตาก้ม ต�่ำมองลูกศรด้วยความประหลาดใจ เข่าทรุดฮวบ ล้มคว�่ำหน้าฟาดพื้น จากพงหญ้าใกล้ ๆ นักรบซูสผ์ ดุ ขึน้ ยืน ปืนคาบศิลาเล็งมายังเบน เครก นิ้วเหนี่ยวไกยิง ดูเหมือนว่านักรบท้องทุ่งจะอัดดินปืนมากเกินงาม เพื่อเพิ่มระยะยิงไกล เลวร้ายกว่านั้น อัดดินด�ำและกระสุนเม็ดกลมลงไป แล้ว ลืมเอาเหล็กกระทุง้ ออกล�ำกล้อง ปืนคาบศิลาระเบิดเลือ่ นลัน่ เปลวไฟ สว่างวาบ มือขวาของอินเดียนแดงเหลวเป็นก้อนเนื้อ หากยิงประทับไหล่ หัวก็คงขาดกระเด็น นักรบผู้นั้น ยิงจากระดับเอว เหล็กกระทุ้งพุ่งออกมาเหมือนหลาวสั่นระริก นักรบยืนอยู่ตรงหน้า หลาวเหล็กพุ่งเสียบยอดอกของม้าที่เบนนั่งอยู่ ในตอนที่ม้าล้ม เบนที่ยังมี เชือกหนังผูกข้อมือไขว้หลัง พยายามถีบตัวให้พ้นม้าทับ ร่างตกหงายหลัง หัวฟาดกระทบก้อนหินบนพื้น สติสิ้นดับวูบ ในอีกสิบนาทีตอ่ มา ทหารม้าผิวขาวทุกนายบนเนินไม่เหลือชีวติ แม้ พรานน�ำทางจะสิ้นสติไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง แต่จุดจบเมื่อมา ถึง เกิดขึ้นรวดเร็ว นักรบซูส์จะเล่าขานกันว่า นาทีนั้นในคนขาวต่อสู้อยู่ หลายสิบ ในอีกนาทีถัดมา วิญญาณทุกหนแห่งกวาดไปจนเกลี้ยงเกลา แท้จริงแล้ว ทหารม้าเสื้อน�้ำเงิน ไม่พลิกไรเฟิลจ่อปากตนเองก็ใช้ปืนพก โคลต์จอ่ ขมับ บางคนช่วยเหลือปลิดชีวติ เพือ่ นพ้อง บางคนปลิดชีวติ ตนเอง 34


เมื่อเบน เครกได้สติ หัวหมุนตาลายจากแรงกระทบก้อนหิน เขา ลืมตาได้ขา้ งเดียว ร่างอยูบ่ นพืน้ ดิน นอนตะแคง เชือกหนังยังผูกมัดข้อมือ ไพล่หลัง แก้มด้านหนึ่งแนบดิน เรียวหญ้าสูงอยู่ข้างตา เมื่อสมองแจ่มใส เขาได้ยินเสียงฝีเท้าหุ้มหนังนุ่มเดินอยู่ใกล้ เสียงพูดคุยอื้ออึงตื่นเต้น เสียง กรีดร้องประกาศชัยชนะ สายตาแจ่มชัดขึ้นมาแล้ว เขามองเห็นท่อนขาเปล่าเปลือย เท้าสวมม็อกเคซินวิง่ พล่านทัว่ เนินใน ยามทีซ่ สู ค์ ยุ้ ซากศพหารางวัลชัยชนะ หนึง่ ในจ�ำนวนนี้ มองเห็นหนังตาของ เขากะพริบ กรีดร้องด้วยความยินดี ดึงร่างของเขาให้ลุกขึ้นนั่ง นักรบสี่นายยืนห้อมล้อม ใบหน้าละเลงสีลวดลายออกศึก ประกาย ตาเพีย้ นเมาเลือด เขามองเห็นค้อนหินยกขึน้ สูงเพือ่ จะหวดกะโหลกของเขา ให้แตกกระจาย เขานิ่งรอความตาย อดสงสัยมิได้ชีวิตอีกฟากโน้นจะเป็น ฉันใด ไม่มีการฟาดทุบ เขาได้ยินเสียงสั่ง ‘หยุด’ เขาเงยหน้าขึน้ มอง ชายผูน้ นั้ นัง่ อยูบ่ นหลังม้า ห่างออกไปราวสิบฟุต อาทิตย์จมดวงหลังไหล่ขวาของชายบนหลังม้า แสงส่องหลังให้เห็นเพียง เงามืดเรื่อเรือง เส้นผมไม่ได้ตกแต่ง ปล่อยให้สยายคลุมไหล่ ไม่มีแหลนในมือ ไม่มี แม้ขวานเหล็ก เห็นได้ชัดว่ามิใช่ไชแอนน์ ชายบนหลังม้าเดินม้าเบี่ยงไปด้านข้าง แสงอาทิตย์สาดจับแผ่นหลัง ไม่มีเรื่อแสงส่องหลังแล้ว เงามืดตกทาบทับใบหน้าของเบน เครก เขา มองเห็นใบหน้าของชายผู้นั้นถนัดตา ม้าป่ามิได้มีลายแต้มเหมือนม้านักรบอินเดียนแดงทั่วไป หากแต่เป็น ม้าสีซีดที่เรียกขานกันว่ากวางทองค�ำ เบนเคยได้ยินค�ำเล่าลือถึงม้าตัวนี้ ชายผู้นั้นร่างเปลือยเปล่าหากไม่นับผ้าเตี่ยวผืนเล็กและม็อกเคซินหุ้ม เท้า เครื่องแต่งกายเหมือนนักรบสามัญ หากแผ่พลังอ�ำนาจหัวหน้าเผ่า ไม่มีโล่แขวนติดท่อนแขนซ้าย หมายถึงความรังเกียจเกราะปกป้อง เชือก หนังคล้องข้อมือซ้าย แขวนห้อยค้อนหิน ซึ่งก็ระบุชัดว่าเป็นซูส์ 35


ค้อนหินเป็นอาวุธน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ด้ามไม้สิบแปดนิ้วปลายง่าม ใน ง่ามจะวางหินกลมขนาดเท่าไข่ห่าน ผูกรัดด้วยเชือกหนังแช่น�้ำจนเปียกชุ่ม เมื่อรัดเข้าที่แล้ว หลังการตากแดดให้แห้ง เชือกหนังจะหดรัด หินก้อน ไม่หลุดออกจากง่ามไม้ ค้อนหินทุบแขนหัก ไหล่ทรุด ซี่โครงยุบ หวด กะโหลกทุบแตกเป็นเสี่ยงเหมือนกระเทาะวอลนัต จะใช้งานได้แต่เฉพาะ ระยะประชิดตัว...ตรายืนยันความห้าวหาญ เกียรติศักดิ์สูงล�้ำ ในยามที่ชายผู้นั่นพูด ใช้ภาษาซูส์โอกลาลา ใกล้เคียงกับภาษา ไชแอนน์ที่พรานน�ำทางจะเข้าใจได้ “ท�ำไมพวกแกมัดวาสิชูแบบนี้?” “ท่านผูย้ งิ่ ใหญ่ เราไม่ได้ทำ� เราพบมันถูกมัดด้วยมือของพวกมันเอง” สายตาของหัวหน้าเผ่าลดลงมาจับที่เชือกหนังมัดข้อเท้าที่ถูกตัดออก นักรบซูส์ผู้ยิ่งใหญ่สังเกตเห็น แต่ไม่พูด นั่งบนหลังม้า ครุ่นคิด แผง อกและหัวไหล่ระบายลวดลายวงกลม แทนภาพพายุลูกเห็บ จากตีนผม วาดสายฟ้าสีด�ำเส้นเดียวพาดผ่านใบหน้ามาจนถึงปลายคางที่มีรอยแผล เป็นจากกระสุนปืน ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งอื่น แต่เบน เครกทราบ ชื่อเลื่องระบือของชายผู้นี้ เขาก�ำลังจ้องมองเครซีฮอร์ส หัวหน้าเผ่าซูส์ โอกลาลา ด�ำรงต�ำแหน่งไร้ผู้เทียมทานมานานสิบสองปี นับแต่อายุยี่สิบ หก ชายผู้ที่เหล่านักรบค้อมรับนับถือ บูชาความห้าวหาญ ตบะบารมี และการสลายตัวตน ลมย�่ำเย็นพัดขึ้นมาจากแม่น�้ำเบื้องล่าง พัดเส้นผมสยายของหัวหน้า เผ่า พัดเป่าขนนกอินทรีบนเปียผมของพรานน�ำทางให้มาตกพาดบนหัวไหล่ ของเสื้อหนังกวาง เครซีฮอร์สสังเกตเห็นเรื่องนี้แล้ว...ขนนกอินทรี เครื่องหมายผู้กล้าที่ไชแอนน์มอบให้ “มันมีชวี ติ ” หัวหน้าเผ่าสัง่ การ “...พามันไปหาหัวหน้าเผ่าซิตติงบูล เพื่อพิจารณาโทษ” นักรบผิดหวังที่หมดโอกาสได้ล่าของรางวัล แต่ปฏิบัติตามค�ำสั่ง ยก 36


ร่างของเบนขึ้น ลากไปลงเนินไปยังริมแม่น�้ำ ในตอนที่เขาผ่านเนิน เขา มองเห็นผลของการสังหารหมู่ บนเนินเขา ทหารม้า 210 นาย ห้ากองร้อย ไม่นับพรานน�ำทาง และพวกหนีทหาร นอนทอดร่างด้วยท่าประหลาด นักรบอินเดียนแดงทึ้ง ทุกอย่างทีพ่ อจะเป็นของรางวัลประกาศชัยชนะ จากนัน้ ประกอบพิธกี รรม ย�ำ่ ยีศพตามธรรมเนียมของแต่ละเผ่า ไชแอนน์กรีดเนือ้ ท่อนขา ไม่ให้ปศิ าจ ไล่ตามได้ ซูส์ทุบกระโหลกและใบหน้าจนกลายเป็นก้อนเนื้อด้วยค้อนหิน เผ่าอื่นท�ำลายแขน ขาหรือศีรษะ ห้าสิบหลาถัดมา เขามองเห็นซากของจอร์จ อาร์มสตรองก์ คัสเตอร์ เสือ้ ผ้าถูกเปลือ้ งจนร่างเปล่าเปลือย เหลือเพียงถุงเท้าผ้าฝ้าย ร่างขาวโพลน กลางแสงอาทิตย์ย�่ำเย็น ร่างไม่ถูกย�่ำยี เว้นแต่การปักเหล็กแหลมแทง เยื่อแก้วหู สภาพนี้จะเหลือทิ้งไว้ให้ทหารม้าของเทอร์รีได้พบเห็น ทุกอย่างถูกรื้อค้นจากกระเป๋าอานม้า กระเป๋ากางเกง แน่นอนอยู่ แล้ว ไรเฟิลและปืนพก เป็นของหยิบติดมืออันดับแรก ลูกกระสุนเหลือเฟือ ถุงยาเส้น นาฬิกาพกโลหะ กระเป๋าเงินที่มีรูปถ่ายของครอบครัว อะไร ก็ได้ที่จะเป็นของแปลกตาชวนให้สะสมเป็นบ�ำเหน็จสงคราม จากนั้นก็ เป็นหมวกแก๊ป รองเท้าบู๊ต และเครื่องแบบ เนินเขามีทั้งนักรบและหญิง อินเดียนแดงวิ่งพล่านค้นหา ที่ริมน�้ำ ยืนฝูงม้าหลังเปลือยกระจุกหนึ่ง ร่างของเบนถูกเหวี่ยงขึ้น หลังม้า นักรบสี่นายติดตามคุมตัว พาม้าข้ามแม่น�้ำลิตเติลบิ๊กฮอร์นไปยัง ฝั่งตะวันตก ในตอนที่ขี่ม้าผ่านหมู่บ้านไชแอนน์ หญิงอินเดียนแดงออก จากกระโจมมายืนด่าบริภาษวาสิชคู นเดียวทีเ่ หลือรอด แต่กห็ บุ ปากเก็บลิน้ เมื่อมองเห็นขนนกอินทรีบนปอยผม...ไอ้ผิวขาวคนนี้เป็นมิตรหรือศัตรู? ม้ากลุ่มนั้นควบผ่านกระโจมซานส์อาร์ก และมินเนคอนจู จนถึง หมู่บ้านฮังก์ปาปา แคมป์ส่งเสียงเซ็งแซ่ นักรบกลุม่ นีม้ ไิ ด้ปะทะกับคัสเตอร์บนเนินเขา เพิง่ จะผ่านการรบและ 37


ขับไล่พนั ตรีเรโน ทิง้ ศพทหารม้าเสือ้ น�ำ้ เงินทอดซากริมฝัง่ แม่นำ�้ กองทหาร ถูกล้อมอยูบ่ นเนิน มีกำ� ลังจากเบ็นทีนและเกวียนสัมภาระมาสมทบ ทหาร ม้าบนเนินอดพิศวงสงสัยมิได้ว่าท�ำไมนายพลคัสเตอร์จงึ ไม่ยกก�ำลังมาให้การ ช่วยเหลือ? นักรบแบล็กฟุต มินเนคอนจู และฮังก์ปาปา โบกรางวัลประกาศ ชัยชนะที่ได้จากศพทหารของเรโน เบนมองเห็นหนังหัวสีบลอนด์ สีซัง ข้าวโพดโบกไปมาในฝูงนักรบ ผู้หญิงมายืนออล้อมกลุ่มม้า ทุกคนมุ่งหน้า มาฟังค�ำพิพากษาของพ่อมดศักดิ์สิทธิ์และผู้พิพากษา, ซิตติงบูล ผู้คุมนักโทษโอกลาลาถ่ายทอดค�ำสั่งของเครซีฮอร์ส มอบตัวนักโทษ ควบม้ากลับยังเนินเพื่อล่ารางวัล เบนถูกโยนเข้าไปในกระโจม มีแม่เฒ่า อินเดียนแดงเฝ้าสองนาง ในมือถือมีดกระชับมั่น มืดค�ำ่ แล้วก่อนจะมีคนมารับตัว นักรบนับสิบลากตัวเบน เครกออก จากกระโจม แคมป์ไฟลุกโชติช่วง ลวดลายแต้มหน้าสีทาตัวให้ภาพน่าสะ พรึงกลัวในแสงวับวาบ แต่อารมณ์กราดเกรี้ยวเมาเลือดสงบลงไปมากแล้ว แม้หา่ งออกไปไมล์เศษ เลยไกลดงคอตตอนวูด ข้ามแม่นำ�้ พ้นสายตา จะ มีเสียงกระสุนปืนดังเป็นครัง้ คราว บ่งบอกว่านักรบซูสย์ งั คืบคลานเข้าโจมตี วงที่มั่นของพันตรีเรโน การรบพุ่งทั้งสองแนวรบ ซูส์สูญเสียสามสิบเอ็ดนาย แม้จะมี นักรบกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันคน และทหารม้าเสื้อน�้ำเงินย่อยยับทั้งยวง อินเดียนแดงยังเศร้าโศกไปกับความสูญเสีย ในแคมป์ ยังมีเสียงร�่ำไห้ คร�่ำครวญของหญิงหม้าย ตระเตรียมสามีและบุตรชายเพื่อการเดินทาง ยิ่งใหญ่ไปยังโลกหน้า กลางลานหมู ่ บ ้ า นฮั ง ก์ ป าปา แคมป์ ไ ฟขนาดใหญ่ ก ว่ า กองอื่ น หัวหน้าเผ่านั่งล้อมวงนับสิบ ยิ่งใหญ่ที่สุดจะเป็นซิตติงบูล อายุเพิ่งย่าง สี่สิบ แต่หน้าตาเหี่ยวย่นคล้ายชรากว่านั้น ใบหน้ากร้านแดดดุจเนื้อไม้ มะฮ็อกกานี ให้สีเข้มและร่องหยักย่นคมลึกในแสงจากแคมป์ไฟ เฉกเช่น 38


เครซีฮอร์ส ซิตติงบูลได้รับการนับถือบูชาจากสายตายาวไกลมองเห็น อนาคตของอินเดียนแดงและควายป่าไบซันในทุ่งแพร์รี ภาพที่เห็นชวน ให้หดหู่ เขามองเห็นอินเดียนแดงและควายไบซันล้มหายตายไปจากท้อง ทุ่งโดยฝีมือของคนขาว เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าซิตติงบูลเกลียดวาสิชู ร่างของเบน เครก ถูกผลักมากองบนพืน้ ยีส่ บิ ฟุตทางซ้ายมือของซิตติงบูล เพือ่ ไม่ให้กองแคมป์ไฟกัน้ สายตา สายตาทุกคูจ่ อ้ งจับทีร่ ่างเชลย ซิตติงบูล ออกค�ำสั่งที่เบนฟังไม่ออก นักรบชักมีดออกจากซอง เดินตรงมาหา เขา นิ่งรอคอยความตาย มีดตัดเฉือนเชือกหนังมัดข้อมือ นับเป็นครัง้ แรกในรอบยีส่ บิ สีช่ วั่ โมง ทีเ่ ขาพอจะยกมืออ้อมมาอยูด่ า้ นหน้า ไม่มคี วามรูส้ กึ ใดๆ ในมือคูน่ นั้ เลือด ไหลเวียนสู่ปลายนิ้ว มีเพียงความปวดแปลบแสนสาหัส ร้อนวาบเผา ปลายนิ้ว เบนคุมสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ซิตติงบูลพูดอีกครั้ง คราวนี้พูดกับเขา เขาไม่เข้าใจ แต่ก็ตอบด้วย ลิน้ ไชแอนน์ ผูค้ นรอบแคมป์ไฟส่งเสียงฮือฮาประหลาดใจ หัวหน้าหมูบ่ า้ น คนหนึ่ง, ทูมูน จากเผ่าไชแอนน์เป็นผู้ตอบ “หัวหน้าเผ่าผู้ยิ่งใหญ่ถามว่าท�ำไมวาสิชูมัดเจ้าติดกับม้า ผูกข้อมือ ไขว้ไว้ข้างหลัง?” “ข้าฯ ท�ำให้พวกนั้นเคืองขุ่น” “เรื่องใดหรือ?” ตลอดการสอบปากค�ำ ทูมูน เป็นผู้แปลภาษา “หัวหน้าเสื้อน�้ำเงินต้องการแขวนคอข้าฯ ในวันรุ่ง” “เจ้าท�ำผิดใด?” เบนทบทวนความคิด เพียงเช้ าวันที่ผ่านมาไม่ใช่หรือที่สิบเอก แบรดด็อกเผากระโจมไชแอนน์ของทอลล์เอลก์? เขาเริ่มเล่าเรื่องจากตอน นั้น และจบลงด้วยค�ำพิพากษาให้แขวนคอ เขาสังเกตเห็นทูมูนผงกศีรษะ รับเมื่อกล่าวถึงหมู่บ้านของทอลล์เอลก์ หัวหน้าเผ่าทราบเรื่องแล้ว แต่ละ ประโยคเสร็จสิ้น ทูมูนจะแปลภาษาให้ซิตติงบูลได้รับทราบ เมื่อเขากล่าว 39


จบ มีเสียงซุบซิบปรึกษากัน ทูมูนส่งเสียงเรียกนักรบคนหนึ่ง “ขึ้นม้าไปยังหมู่บ้าน พาตัวทอลล์เอลก์และลูกสาวมาที่นี่” นั ก รบกระโจนขึ้ น หลั ง ม้ า เปลื อ ยเปล่ า ชักม้ าจากไป ซิตติงบูล สอบถามต่อ “ท�ำไมเจ้าจึงมารบกับคนผิวแดง?” “พวกเขาบอกเพียงว่าต้องยกทัพมาเพราะซูส์หลบหนีออกจากนิคม ในดาโกตา ไม่มีการกล่าวถึงการฆ่าฟันกัน จนกระทั่งผมยาวบ้าคลั่ง” เสียงฮือฮาอีกครั้ง “ผมยาวมาที่นี่ด้วยหรือ?” ทูมูนสอบถาม นับ เป็นครั้งแรกที่เบนทราบว่าอินเดียนแดงไม่ทราบว่าต่อสู้กับผู้ใด “นอนทอดร่างอยู่บนเนิน เสียชีวิตไปแล้ว” หัวหน้าเผ่าหันหน้าปรึกษากันอีกครั้ง ความเงียบสงัดปกคลุมทั่ว แคมป์ไฟ การประชุมปรึกษาถือเป็นเรื่องส�ำคัญ ไม่มีความจ�ำเป็นใดต้อง เร่งร้อน ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ทูมูนส่งเสียงถาม “ท�ำไมเจ้าประดับขนนก อินทรี?” เบนให้ค�ำอธิบาย สิบปีก่อน เมื่อครั้งที่เขาอายุเพียงสิบสี่ เขาออก ล่าสัตว์รว่ มกับเด็กหนุม่ ไชแอนน์ ล่าสัตว์ในเขตภูเขา ทุกคนถือธนูและลูกศร เว้นแต่เบนทีไ่ ด้รบั อนุญาตให้ยมื ไรเฟิลชาร์ปของโดนัลด์สนั ถือติดมือไป หมี กริซลีย์โผล่พรวดพราดก่อนทุกคนจะรู้ตัว หมีแก่อารมณ์ฉุนเฉียว ไม่มีฟัน และเขีย้ วเหลืออยูใ่ นปากอีกแล้ว แต่กรงเล็บทรงพลังพอจะปลิดชีวติ มนุษย์ ได้จากการตะปบเพียงครั้งเดียว หมีกริซลีย์พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ ส่งเสียง ค�ำรามเลื่อนลั่น ควบเข้าใส่ ถึงจุดนี้ นักรบที่นั่งอยู่ข้างหลังของทูมูน ขออนุญาตกล่าวขัด “ข้าฯ จ�ำเรื่องนี้ได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านของญาติของข้าฯ” รอบแคมป์ไฟ ไม่มีอะไรดีกว่าการเล่านิทาน เล่าขานถึงวีรกรรม ของผู้กล้า จากปากหนึ่งไปสู่อีกปาก นักรบได้รับค�ำเชื้อเชิญให้เล่าเรื่องต่อ จนจบ นักรบซูส์ยืดคอรับฟังทุกค�ำที่ทูมูนแปลให้ทราบ 40


“หมีพุ่งตัวเข้าหา ใหญ่โตเหมือนภูเขาทั้งลูก วิ่งควบตะบึงเร็วจัด หนุ่มไชแอนน์หนีตายปีนไต่ต้นไม้ แต่เจ้าหนูวาสิชูยืนปักหลักกับที่ ยกปืน ขึน้ เล็งประณีต ลัน่ ไก กระสุนเจาะผ่านจมูก ทะลุเข้าเจาะอก หมีโกรธจัด ลุกขึ้นยืนบนสองขาหลัง สูงเหมือนต้นสน ใกล้ขาดใจ แต่ก็วิ่งเข้าหา “เด็กคนขาว คัดปลอกกระสุนออก บรรจุอีกนัดเข้าไป ยิงอีกนัด กระสุนเข้าปาก ทะลุเพดานปาก ฉีกกะโหลกสมองกระจาย หมีวิ่งมาอีก ก้าว ล้มคว�ำ่ มาข้างหน้า หัวขนาดมหึมาล้มฟาดใกล้ตวั จนฟองน�ำ้ ลายและ ลิ่มเลือดกระจายเต็มหัวเข่าของเจ้าหนู แต่เขาก็ไม่ได้ขยับตัว “หนุ่มคนหนึ่งย้อนกลับไปแจ้งข่าวที่หมู่บ้าน กลับมาพร้อมกับเปล เลือ่ น แล่เนือ้ ม้วนหนังหมีกลับมาท�ำผ้าห่มให้พอ่ ของญาติของข้าฯ ค�ำ่ คืน นั้น จัดงานเฉลิมฉลอง มีพิธีตั้งชื่อใหม่ให้เจ้าหนูวาสิชู ชื่อ ฆ่า-หมี-โดยไม่-ขยับตัว มอบขนนกอินทรีให้พรานล่าสัตว์ผู้กล้า นิทานเรื่องนี้เล่าขาน สูก่ นั ฟังในหมูบ่ า้ นของข้าฯ เมือ่ หลายร้อยดวงจันทร์ ก่อนเราจะย้ายเข้าไป อยู่ในนิคม” หัวหน้าเผ่าผงกศีรษะรับ นิทานชัน้ ดี ม้าหลังเปลือยกลุม่ ใหญ่วงิ่ ตรง มายังแคมป์ไฟ เปลเลื่อนร่วมคณะมาด้วย นักรบสองคนที่เบนไม่เคยเห็น มาก่อน เดินเข้ามาในวงแสง เครื่องแต่งกาย และการรวบผม บ่งบอกว่า เป็นไชแอนน์ หนึง่ นัน้ คือ ลิตเติลวูลฟ์ ผูเ้ ล่าเรือ่ งว่า ก�ำลังล่าสัตว์อยูท่ างตะวันออก ของแม่น�้ำ ในตอนที่เห็นกลุ่มควันพวยพุ่งทางโรสบัด เมื่อไปถึงที่นั่นก็พบ หญิงและเด็กถูกฆ่าตาย ได้ยินเสียงสิบเอกเสื้อน�้ำเงินย้อนกลับมา เกาะ ขบวนเป็นเงาตามกองก�ำลังทหารม้าวันกับคืน จนทหารม้าตั้งแคมป์ใน หุบเขา ลิตเติลวูล์ฟ มาไม่ทันการรบพุ่งครั้งใหญ่ อีกคนคือทอลล์เอลก์ ย้อนกลับจากการล่าสัตว์ หลังทัพทหารม้า เคลื่อนผ่านไปแล้ว ยังอยู่ในความเศร้าโศกต่อการสูญเสียของสตรีและเด็ก ในหมู่บ้านในตอนที่ลูกสาวหวนกลับมาหา เธอได้รับบาดเจ็บ แต่ยังมีชีวิต 41


รอด ทั้งสองกับนักรบอีกเก้า เดินม้าทั้งวันกับคืนจนพบแคมป์ไชแอนน์ เดินทางมาถึงก่อนการรบครั้งใหญ่ ทอลล์เอลก์เข้าร่วมรบด้วยไฟแค้น สุมอก เสาะหาความตายบนเนินเขาของคัสเตอร์ ฆ่าทหารม้าวาสิชตู ายไป ห้า แต่วิญญาณทุกหนแห่งไม่ยอมรับตัวเขาไป เด็กสาวบนเปลเลื่อนเป็นคนสุดท้ายที่จะมาให้ปากค�ำ ใบหน้าของ เธอซีดขาว เจ็บปวดจากบาดแผลและการเดินทางยาวไกลจากโรสบัด แต่ เสียงของเธอสดใส เธอเล่าถึงการสังหารหมู่ โดยการน�ำของทหารร่างใหญ่มีบั้งติดแขน เสือ้ เธอไม่เข้าใจภาษาพูดแต่ซบั ซาบได้วา่ ทหารผูน้ นั้ จะท�ำอะไรต่อเธอก่อน จะคร่าชีวิตให้ปลิดปลง เธอบอกเล่าว่าชายในเสื้อหนังกวางผู้นี้เป็นผู้ให้น�้ำ และปันอาหารของตนมาให้ เป็นผู้วางเธอบนหลังม้า ส่งเธอกลับมาหา ผู้คนในเผ่า หัวหน้าเผ่าหันหน้าปรึกษากัน ค�ำพิพากษามาจากปากของซิตติงบูล แต่เป็นค�ำวินิจฉัยแทนคนทั้งมวล วาสิชูจะมีชีวิตอยู่สืบไป แต่ไม่อาจคืน กลับไปหาคนเผ่าของตน คนพวกนัน้ อาจฆ่าเขาหรือไม่กค็ งบีบให้เขาบอก ต�ำแหน่งที่อยู่ของซูส์ จะมอบให้อยู่ในความดูแลของทอลล์เอลก์ จะเป็น นักโทษหรือแขกผู้มาเยือนก็สุดแต่ใจปรารถนา ในฤดูใบไม้ผลิ ปล่อยให้ เป็นอิสระ จะเดินทางต่อหรืออยู่ร่วมกับไชแอนน์ก็ย่อมท�ำได้ เสียงค�ำรามเห็นพ้องดังรอบกองไฟ ตัดสินโดยชอบเปี่ยมด้วยความ เป็นธรรม เบนขี่ม้ากลับไปพร้อมกับทอลล์เอลก์ อาศัยร่วมกระโจมกับ นักรบสองคน ผู้ท�ำหน้าที่จับตาเฝ้าดู รุ่งเช้า อินเดียนแดงถอนแคมป์ ยามย�ำ่ รุง่ แมวมองขีม่ า้ กลับเข้ามา แจ้งให้ทราบว่าทหารเสือ้ น�ำ้ เงินยกทัพมา อีกกองใหญ่จากทางตอนเหนือ ดังนั้น อินเดียนแดงตัดสินใจเคลื่อนลงใต้ มุ่งหน้าไปยังบิ๊กฮอร์น รอดูว่าวาสิชูจะติดตามมาหรือไม่ หลังจากรับเขาเข้าร่วมเผ่าแล้ว ทอลล์เอลก์มนี ำ�้ ใจโอบอ้อมอารี ม้า ทหารม้าไม่ได้รับบาดเจ็บสี่ม้า กวาดต้อนมาให้เลือก ส�ำหรับอินเดียนแดง 42


ท้องทุง่ แล้ว ม้าทหารม้าไร้คา ่ ชืน่ ชอบม้าป่าผอมเพรียวเสียมากกว่า เหตุก็ เพราะม้าเมืองไม่อาจปรับตัวเข้ากับฤดูหนาวสาหัสในท้องทุง่ ได้ ม้าเมืองต้อง กินหญ้าเฮย์ที่อินเดียนแดงไม่เคยเกี่ยวเก็บไว้ ในขณะที่ม้าป่ายังชีพให้ผ่าน ฤดูหนาวไปได้โดยไลเคน มอสส์ และเปลือกต้นวิลโลว์ เบนเลือกม้าขา ยาวสีเชสต์นัต คิดว่าน่าจะปรับตัวเข้ากับท้องทุ่งได้ดีไม่แพ้ม้าอินเดียนแดง เขาตั้งชื่อให้ว่า โรสบัด ตามสถานที่ที่เขาพบลมกระซิบ อานม้าชั้นดีหาได้ง่ายเพราะอินเดียนแดงไม่เคยใช้อานพาดหลังม้า เมื่อแกะรอยและระบุยืนยันไรเฟิลชาร์ปกับมีดโบวีแล้ว นักรบกล้าก็คืนให้ แก่เบนด้วยสายตาละห้อย จากกระเป๋าอานม้าของม้าตัวที่ตายบนเนิน เขาได้กระสุนไรเฟิลชาร์ป ไม่มีสมบัติใดเหลือให้ล่าอีกแล้ว อินเดียนแดง เก็บทุกอย่างที่แปลกตาน่าสนใจ ไม่มีความสนใจใดๆ ต่อกระดาษของ คนขาว ไม่เสียเวลาเหลือบแลแผ่นกระดาษขาวบันทึกข้อความที่กระพือ ปลิวเล่นลมในพงหญ้า หนึ่งในจ�ำนวนนี้เป็นบันทึกการสอบปากค�ำที่ ผู้กองคุกจดบันทึกไว้ทุกค�ำ การถอนแคมป์ใช้เวลาเกือบทัง้ เช้า ปลดกระโจมลงพันม้วน บรรจุ เครื่องใช้ สตรี เด็กและห่อสัมภาระขึ้นนั่งเปลเลื่อน หลังเที่ยงวัน ขบวน อินเดียนแดงออกเดินทาง คนตายทิง้ ไว้เบือ้ งหลัง นอนสงบในกระโจมของตน ทาสีระบายหน้า เพือ่ โลกใหม่ แต่งกายด้วยชุดดีทสี่ ดุ ประดับด้วยหมวกขนนกตามศักดิข์ อง ตนในเผ่า ธรรมเนียมปฏิบตั จิ ะมีการวางเครือ่ งใช้สว่ นตัวให้กระจายเกลือ่ น บนพื้นดิน ในยามที่คนของเทอร์รีมาถึงหุบเขาจากทางเหนือ ค้นพบกระโจม ผูต้ าย ก็คงเข้าใจไปเองว่าซูสก์ บั ไชแอนน์เร่งรีบถอนก�ำลังหนี ความจริงหา เป็นเช่นนัน้ การหว่านเครือ่ งใช้สว่ นตัวบนพืน้ ดินเป็นธรรมเนียมปฏิบตั ปิ กติ จะกลบจะฝังซ่อน ก็คงถูกขุดค้นลักขโมยอยู่ดี หลังจากนี้ แม้อินเดียนแดงจะประท้วงว่า ประสงค์เพียงใช้ชีวิต 43


ในท้องทุ่ง ไม่อยากรบราฆ่าฟันกัน แต่เบนก็ทราบดีว่ากองทัพบกจะ รวบรวมพล หวนกลับมาแก้แค้นให้สาสม อาจไม่ใช่ตอนนี้ แต่ต้องมา อย่างแน่นอน สภาอินเดียนแดงของซิตติงบูลทราบเรื่องนี้เช่นกัน เพียงไม่ กีว่ นั ก็ประชุมปรึกษา เห็นพ้องต้องกันว่าจะแยกย้ายกันเป็นกลุม่ เล็กกลุม่ น้อย กระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง ซึ่งก็น่าจะท�ำให้งานของทหารม้า เสื้อน�้ำเงินหนักหนาขึ้น ให้โอกาสอินเดียนแดงหามุมสงบต้านรับฤดูหนาว อิ่มท้อง แทนการถูกกวาดต้อนเข้าไปหิวโหยท้องกิ่วในนิคม เบน เครกเดินทางร่วมกับสมาชิกที่เหลือของหมู่บ้านทอลล์เอลก์ นักรบสิบคนที่สูญเสียลูกเมียที่โรสบัด สองคนเสียชีวิตบนเนินลิตเติลบิ๊กฮ อร์น อีกสองบาดเจ็บ หนึ่งนั้นกระสุนเข้าสีข้าง เลือกที่จะขี่ม้า อีกคน ต้องกระสุนปืนสปริงฟีลด์ที่หัวไหล่ในระยะประชิด นอนบนเปลเลื่อน ทอลล์เอลก์กับนักรบอีกห้าจ�ำต้องหาหญิงใหม่ ดังนั้น จึงร่วมหมู่บ้านกับ ครอบครัวอื่น ท�ำให้หมู่บ้านใหม่มีชายหญิงและเด็กหกสิบคน เมื่อลงความเห็นว่าต้องแยกกันเป็นกลุ่มเล็ก สภาหมู่บ้านมานั่ง ปรึกษาหาหนทาง ส่วนใหญ่ต้องการเดินทางลงใต้เข้าไปยังไวโอมิง ซ่อน ตัวในเทือกเขาบิ๊กฮอร์น เบนได้รับค�ำเชื้อเชิญให้ออกความเห็น “เสือ้ น�ำ้ เงินจะมาทีน่ ”ี่ เขาขีดไม้บนพืน้ ดิน ลากเส้นแม่นำ�้ บิก๊ ฮอร์น “...จะตามมาเราทางทิศใต้ และตะวันออก ข้าฯ รู้จักสถานที่หนึ่งทาง ตะวันตก เรียกว่าเทือกไพรออร์ ข้าฯ เติบโตที่นั่น” เขาบรรยายภูมิประเทศของเทือกไพรออร์ “เนินต�ำ่ จะมีสตั ว์ให้ล่ามากมาย ป่ารกครึม้ พุม่ ใบหนา ช่วยกระจาย ควันไฟจากการหุงต้มได้ ธารน�้ำมีปลาเทราต์ หากขึ้นสูง บนนั้นจะมี ทะเลสาบอุดมด้วยปลาเช่นกัน วาสิชูจะไม่ตามหาเราที่นั่น” เผ่าใหม่เห็นพ้องยอมรับ ในวันที่ 1 กรกฎาคม แยกตัวออกจาก ขบวนหลักของไชแอนน์ เบนเป็นผูน้ ำ� ทาง มุง่ หน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เข้าไปยังตอนใต้ของมอนทานา เลี่ยงหลบหน่วยลาดตระเวนของเทอร์รีที่ 44


กวาดบริเวณบิ๊กฮอร์น แต่ไม่ออกมาไกลทางตะวันตก กลางเดือนเดินทาง มาถึงเทือกไพรออร์ สุขสงบดั่งที่เบนให้สัญญาไว้ กระโจมกางในหมู่แมกไม้ ซ่อนตัวจากสายตา ห่างไปแค่ครึ่งไมล์ก็ มองไม่เห็นแล้ว จากเขายอดตัดทีป่ จั จุบนั เรียกว่า คราวน์บตั ต์ คนยืนยาม เพียงคนเดียว มองเห็นได้ไกลหลายไมล์ แต่กไ็ ม่มวี แี่ ววผูค้ น พรานล่ากวาง และเลียงผาจากป่า เด็กตกปลาอวบอ้วนจากสายธาร ลมกระซิบแรกผลิ สมบูรณ์แข็งแรงมีน�้ำมีนวล บาดแผลของเธอสมานเร็วจนวิ่งได้อีกครั้ง ปราดเปรียวไม่ต่างจาก กวางสาว บางคราว เขาประสานสายตากับเธอในยามที่เธอน�ำอาหารมา ให้ผู้ชาย ทุกคราว หัวใจของเขาเต้นถี่ระรัว เธอไม่แสดงกิริยาใดๆ ให้ ทราบถึงความรู้สึกในอก สบตากันคราวใด มีอันต้องหลุบตาต�่ำมองพื้น เขาไม่มที างทราบได้เลยว่าท้องไส้ของเธอป่วนปัน่ เหลวละลาย ซีโ่ ครงแทบ จะปริระเบิดในยามที่เธอเห็นตาสีฟ้าสดใสจ้องมอง ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง สองหนุ่มสาวรักกัน ง่ายดายปานนั้น กลุ่มสตรีสังเกตเห็น ทุกคราวที่เธอกลับจากการน�ำอาหารไปให้ บุรษุ ใบหน้าของเธอจะเรือ่ แดง อกเสือ้ หนังกวางโป่งพองแล้วยุบตัว กลุม่ สตรีหัวร่อคิกคัก ลมกระซิบไม่มีแม่ไม่มีป้าน้าอาเหลืออยู่ สตรีกลุ่มนี้มิใช่ คนหมูบ่ า้ นเดิม แต่กม็ ลี กู ชาย นักรบโสดสิบสองนายทีค่ วรคูจ่ ะแต่งงานด้วย กลุม่ สตรีพศิ วงสงสัย อยากทราบว่านักรบคนใดทีส่ มุ ไฟในทรวงให้สาวน้อย มีอาการละเมอรักได้ถงึ ขนาดนัน้ เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ ขอให้นางน้อยเปิด เผยให้ทราบก่อนทีน่ กั รบสุดสง่าผูน้ นั้ จะถูกสาวอืน่ คาบไปครอง ลมกระซิบ กล่าวตอบว่า อายุมาก กล่าวแต่เรื่องเหลวไหล ในเดือนกันยายน ใบไม้รว่ งปลิว อินเดียนแดงถอนแคมป์ เดินทาง ขึน้ สูง เข้าไปอยูใ่ นหมูส่ นเขียวขจีชวั่ นิรนั ดร์ ค�ำ่ คืนอากาศเหน็บหนาว แต่ กวางและเลียงผามีให้ล่าไม่อัตคัด ม้าป่าและเล็มหญ้าหย่อมสุดท้าย ก่อน 45


จะเปลี่ยนเป็นมอสส์ เปลือกไม้และไลเคน โรสบัดปรับตัวได้เหมือนม้าป่า นานครั้ง เบนจะลงทุ่ง ไปเกี่ยวตัดหญ้าเฮย์มาเลี้ยงม้า ตัดเป็นก�ำด้วยมีด โบวี หากลมกระซิบยังมีแม่ ผู้เป็นมารดาจะสานเรื่อง เฝ้าวิงวอนสามี ทอลล์เอลก์ทีละน้อยทีละนิดทุกค�่ำคืน จนกว่าจะใจอ่อนให้บุตรีแต่งงาน กับคนขาว ในเมื่อไม่มีผู้ใดจะพูดแทน ลมกระซิบบอกกับบิดาด้วยตนเอง ทอลล์เอลก์หัวเสียเดือดดาล คิดเรือ่ งเช่นนีไ้ ด้อย่างไรกัน? วาสิชเู ป็นผูเ้ ผาท�ำลายหมูบ่ า้ น คนขาว จะจากไป ย้อนกลับไปอยู่ร่วมกับคนขาว สังคมที่ไม่มีวันต้อนรับเธอ ยิ่ง ไปกว่านั้น นักรบที่หาญรับกระสุนเต็มหัวไหล่ที่ลิตเลิตบิ๊กฮอร์น ฟื้นคืน ความแกร่งได้แล้ว กระดูกสมาน อาจยืนยืดเหยียดได้ไม่ตรงนัก แต่หาย ดีแล้ว นักรบชื่อ วอล์กกิงอาวล์ นักรบกล้าห้าวหาญ นั่นคือ คู่หมายที่ สัญญายกให้แล้ว จะประกาศในวันพรุ่ง ยุติเพียงเท่านี้ ทอลล์เอลก์หงุดหงิดเคืองใจ เป็นไปได้ไหมว่าคนขาวจะรู้สึกเช่น เดียวกัน? จะต้องมีผู้จับตาดู ทั้งวันทั้งคืน ปล่อยให้กลับไปหาพวกพ้อง เดิมไม่ได้ เพราะทราบทีต่ งั้ ของแคมป์ไชแอนน์ จะต้องอยูท่ นี่ รี่ ว่ มกันตลอด ฤดูหนาว จะต้องมีผู้จับตาดูใกล้ชัด นั่นเป็นสิ่งที่ทอลล์เอลก์ตัดสินใจ เบนถูกย้ายไปอยู่ร่วมกระโจมกับครอบครัวอื่น มีนักรบโสดอีกสาม ร่วมพักในกระโจม หากขยับตัวหรือขี่ม้าจากไปในยามค�่ำคืน นักรบก็คง ตื่นตัวทราบได้ทันที ปลายเดือนตุลาคม ลมกระซิบมาหาเขา เขานอนตื่นลืมตาโพลง คิดถึงเธอ ในตอนที่ปลายมีดกรีดแผ่นหนังของกระโจมขาดเป็นทาง เขา ลุกจากที่นอนเงียบเชียบ เดินผ่านช่องแหวกของกระโจม เธอยืนอยู่กลาง แสงจันทร์ เงยหน้ามองเขา ทั้งสองกอดรัดสัมผัสกันเป็นคราวแรก ไออุ่น จากอกแผ่ซ่านเข้าหากัน เธอกระถดจากวงแขน ถอยหลังไปก้าวใหญ่ ให้สัญญาณเรียกเขา 46


ติดตาม เขาเดินตามผ่านดงไม้ไปนอกแคมป์ โรสบัดผูกอานไว้แล้ว ม้วน หนังควายพันรัดหลังอาน ไรเฟิลสอดอยู่ในซองยาวบนไหล่ม้า กระเป๋า อานม้าโป่งพองด้วยอาหารและกระสุน ม้าอีกตัวผูกไว้เคียงกัน เขาหัน กลับ สวมกอดเธอไว้แนบอก จุมพิตดูดดื่ม อากาศหนาวเยือกรอบข้างดู เหมือนจะไหวระริก กระซิบบอกข้างหู “พาข้าฯ ไปยังเทือกเขาของท่าน, เบน เครก รับข้าฯ เป็นผู้หญิงของท่าน” “นับแต่นี้ ตราบชั่วกาลนาน, ลมกระซิบ” ทั้งสองขึ้นม้า เดินม้าเงียบเชียบผ่านราวป่า ขี่ม้าผ่านเนินยอดตัด ออกสู่ท้องทุ่ง รุ่งสางลงมาถึงเนินเขา ในตอนย�่ำรุ่งพรานน�ำทางโครว์มอง เห็นทั้งสองเป็นจุดไกลในระยะห่าง หันม้าเปลี่ยนทิศขึ้นเหนือ มุ่งหน้าไป ยังป้อมเอลลิสบนเส้นทางโบซแมน นักรบไชแอนน์ออกไล่ล่า หกคน เคลื่อนที่เร็ว ไม่มีสมั ภาระรุงรัง มีเพียงไรเฟิลคาดเฉียงข้ามไหล่ ขวานเหล็กในแถบรัดเอว และผ้าห่มปูหลัง ม้า ค�ำสั่งนั้นเฉพาะเจาะจง...พาเจ้าสาวของวอล์กกิงอาวล์กลับมา วาสิชู ต้องตาย พรานน�ำทางโครว์ไสม้าควบตะบึง เร่งฝีเท้าเร็วจัด หนึง่ นัน้ เคยร่วม กับกองทหารม้าในฤดูร้อน และทราบว่าเสื้อน�้ำเงินติดประกาศต้องการตัว พรานน�ำทางผิวขาว เงินรางวัลก้อนโตพอจะซื้อม้าได้หลายตัวและสินค้า กองใหญ่ กลุม่ นีเ้ ดินทางไปไม่ถงึ เส้นทางโบซแมน ยีส่ บิ ไมล์ทางใต้ของเยลโลว์ สโตน พบกับหน่วยลาดตระเวนทหารม้าสิบนาย บัญชาการโดยร้อยโท อดีตพรานน�ำทางเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นสิ่งใดมาบ้าง ส่วนใหญ่จะใช้ภาษา มือแต่ผู้หมวดก็เข้าใจ เขาสั่งการบ่ายหน้าหน่วยลาดตระเวนลงใต้ มุ่งหน้า ไปหาเทือกเขา ให้โครว์เป็นผู้น�ำทาง เร่งรุดเพื่อตัดดักหน้าพรานน�ำทาง ผิวขาว ฤดูร้อนปีนั้น ข่าวการตายสยดสยองของคัสเตอร์แพร่ไปทั่วอเมริกา 47


เหมือนลมหนาวเย็นเยือก ทางฝัง่ ตะวันออก ผูย้ งิ่ ใหญ่ของประเทศชุมนุมกัน ในฟิลาเดลเฟีย มหานครแห่งภราดรภาพ เฉลิมฉลองวาระครบรอบร้อยปี ของประเทศเกิดใหม่ในวันที่ 4 กรกฎาคม 1876 ข่าวจากดินแดนตะวันตก น่าสะพรึงกลัว เรื่องเหลือเชื่อ จะต้องมีการสืบสาวหาต้นตอแท้จริงของ เรื่องนี้ออกมาให้จงได้ หลังสงคราม ทหารม้าของเทอร์รีตรวจทุกตารางนิ้วของเนินสังหาร เพื่อหาหลักฐานอธิบายภัยพิบัติ ซูส์กับไชแอนน์เปิดหนีหายไปกว่ายี่สิบสี่ ชัว่ โมงแล้ว เทอร์รไี ม่มอี ารมณ์ดพี อจะไล่ขบั ทหารม้าทีเ่ หลือรอดชีวติ ของ พันตรีเรโนไม่ทราบเรือ่ งราวทีเ่ กิดขึน้ หลังเนิน ไม่ทราบมากไปกว่าทีม่ องเห็น คัสเตอร์กับทหารม้าหายลับเหลี่ยมเนิน บนเนินสังหาร ตรวจเก็บหลักฐานทุกชิ้น ซากศพเน่าเปื่อยของ ทหารได้รับการฝังเร่งรีบ เศษกระดาษทุกแผ่นที่ซุกอยู่ในพงหญ้าถูกเก็บ มาตรวจสอบ หลักฐานที่ได้รับ แผ่นหนึ่งเป็นบันทึกการสอบสวนนักโทษ พรานน�ำทางผิวขาวของผู้กองคุก ไม่มีผู้ใดในกลุ่มนี้มีโอกาสได้ยืนฟังด้วยหูของตนเอง แต่บันทึกการ พิจารณาคดี ค�ำต่อค�ำ ถือว่าเพียงพอแล้ว กองทัพต้องการเหตุผลที่จะ มาอธิบายความสูญเสียครัง้ ใหญ่ของกองทหารม้า บัดนีไ้ ด้หลักฐานแน่ชดั ... คนป่าได้รับการเตือนจากผู้ทรยศ เตรียมรอรับมือสังหารหมู่ทหารม้าอย่าง เลือดเย็น นายพลคัสเตอร์ผู้น่าสงสารควบขับม้าเข้าไปในกับดัก...ที่ดีกว่า นั้น กองทัพบกได้แพะรับบาปแล้ว ความบกพร่องความไร้สมรรถภาพใน การรบ มิอาจยอมรับได้ แต่การทรยศเป็นเหตุผลชั้นเลิศ กองทัพบกติด ประกาศ หนึง่ พันดอลลาร์ ส�ำหรับผูล้ า่ ตัวพรานน�ำทางเบน เครก...จับเป็น หรือจับตาย ดูเหมือนว่าพรานน�ำทางผิวขาวจะหายสาบสูญไป จนกระทั่งพราน น�ำทางโครว์มองเห็นคนทรยศต่อกองทัพ เดินม้าโดยมีสาวอินเดียนแดง ตามหลัง ออกมาจากเทือกไพรออร์ ในวันสิ้นเดือนตุลาคม 48


ม้าของผู้หมวดพักตลอดทั้งคืน ได้หญ้าได้น�้ำอิ่มท้อง ม้ากระเหี้ยน กระหือ ผู้ขับขีเ่ ร่งม้าสุดฝีเท้า ยศต�ำแหน่งการเลื่อนชั้นในกองทัพบกวาง ไว้เป็นเดิมพัน เมื่ออาทิตย์ลอยดวงขึ้นสูง เบนกับลมกระซิบเดินม้าผ่านช่องเขา ไพรออร์ รอยหยักต�่ำในเทือกเขา มองเห็นเพียงยอดไพรออร์ตะวันตก ข้ามช่องเขาเข้าสูเ่ นินไพรออร์ตะวันตก หลุดเข้าไปในดงหิน เทือกเขาหญ้า ปกคลุม และหุบเหวลึก ทอดยาวต่อหน้าไปทางตะวันตกห้าสิบไมล์ เบนไม่จ�ำเป็นต้องดูดวงอาทิตย์เป็นเครื่องน�ำทาง เขามองเห็นที่ หมายไกลลิบๆ ที่ขอบฟ้า สุกสกาวเปล่งปลั่งกลางแสงอาทิตย์เจิดจ้าใต้ ฟ้าสีคราม เขามุ่งหน้าไปยังแอ็บซาโรกาวิลเดอร์เนสส์ ป่าใหญ่ที่เคยล่า สัตว์กับโดนัลด์สัน ดินแดนแถบนี้เป็นดงหิน ป่ารกร้าง และที่ราบสูงหิน ตะปุ่มตะป�่ำที่มีน้อยคนนักเคยย่างเหยียบมาเยือน เนินไต่ขึ้นสูงสู่เทือก แบร์ทูธ จากระยะไกล เขาพอจะมองเห็นยอดทัง้ ห้าของเทือกเขา ธันเดอร์, เซเคร็ด, เมดิซีน และ แบร์ทูธ ชายคนเดียวไรเฟิลในมือ พอจะยับยั้ง ทหารม้าได้ทั้งกองทัพ ที่ธารน�้ำ เขาหยุดพักให้ม้าเหงื่อโซมตัวได้ดื่มน�้ำ ก่อนจะเร่งรุดเดินทางต่อไปยังยอดเขาที่ดูคล้ายตะปูตอกตรึงแผ่นดินให้ติด ท้องฟ้า ด้านหลังห่างไปยีส่ บิ ไมล์ นักรบหกนายกวาดสายตามองพืน้ ดิน มอง หารอยเกือกม้า ปล่อยให้ม้าวิ่งย่างเหยาะ ไม่ท�ำให้ม้าเหนื่อยเกินไป เดิน ทางเช่นนี้ได้ไมล์แล้วไมล์เล่า สามสิบไมล์ทางเหนือ หน่วยลาดตระเวนทหารม้ามุ่งลงใต้เพื่อ แกะรอยเส้นทาง พบรอยเกือกม้าในตอนเที่ยงวันทางตะวันตกของยอด ไพรออร์ตะวันตก พรานน�ำทางโครว์ดึงบังเหียนหยุดม้า ชักม้าเดินอ้อม เป็นวง ตาเขม็งมองร่องรอยบนพื้นดินที่แสงอาทิตย์อบจนแห้งผาก ชี้ให้ ทหารดูรอยเกือกม้ากับรอยกีบม้าป่า ห่างไปไม่ไกลนัก พบรอยกีบม้าอีก 49


ห้าหรือหกม้า “ดีเลย...” ผูห้ มวดพึมพ�ำออกมา “...ดูเหมือนว่าเรามีคแู่ ข่งแล้วซี” ผูห้ มวดออกค�ำสัง่ ให้เดินทางต่อ มุง่ หน้าไปทางตะวันตกแม้มา้ เริม่ จะ หอบเหนื่อยแล้ว ครึ่งชั่วโมงถัดมา อยู่บนยอดเนินในทุ่งกว้าง ผู้หมวดดึง กล้องส่องทางไกลกวาดขอบฟ้า ไม่มวี แี่ ววของนักโทษทีก่ องทัพบกต้องการ ตัว แต่มีกลุ่มฝุ่นผงลอยเป็นแท่งตัดขอบฟ้า ใต้กลุ่มฝุ่นเป็นม้าป่าหกม้า ควบตะบึงมุ่งหน้าเข้าหาเทือกเขา ม้าของไชแอนน์เหนือ่ ยล้า แต่นกั รบก็ทราบว่าม้าของผูห้ ลบหนีกเ็ ช่น กัน นักรบให้ม้าดื่มน�้ำที่ธารบริดเจอร์ ปลายเขตเมืองบริดเจอร์ในปัจจุบัน ปล่อยให้ม้าพักครึ่งชั่วโมง หนึ่งนั้น แนบหูกับพื้นดิน ได้ยินเสียงเกือก ม้ากระทบพื้น ดังมาจากด้านหลัง นักรบกลับขึ้นหลังม้า เดินทางต่อไป อีกราวหนึ่งไมล์ ผู้น�ำขบวนชักม้าหลบเข้าข้างทาง ซ่อนตัวอยู่หลังเนินดิน คลานไต่ขึ้นยอดเนินเพื่อสังเกตการณ์ ห่างออกไปสามไมล์เป็นขบวนทหารม้า ไชแอนน์ไม่ทราบเรื่องราว ในแผ่นกระดาษบนเนินสังหาร ไม่ทราบว่ามีการประกาศรางวัลน�ำจับ วาสิชูทรยศ คาดคิดว่าทหารม้าน่าจะมากวาดต้อนอินเดียนแดงกลับเข้า นิคม นักรบทั้งหกซ่อนตัว รอคอย เมื่อกองทหารม้ามาถึงรอยแยกทาง ขบวนหยุดลง พรานน�ำทาง โครว์ลงจากหลังม้า ตรวจร่องรอยบนพื้นดิน ไชแอนน์มองเห็นโครว์ชี้มือ ไปทางตะวันตก ขบวนทหารม้าเดินทางอีกครั้ง มุ่งหน้าไปในทิศนั้น นักรบไชแอนน์เกาะขบวนทหารม้า เดินหน้าขนานกัน เหมือนเช่น ที่ลิตเติลวูล์ฟเคยเกาะขบวนของคัสเตอร์ แต่กลางบ่ายวันนั้น โครว์ตรวจ พบร่องรอย “ไชแอนน์...” พรานน�ำทางโครว์รายงานต่อผู้หมวด นายทหาร ยักไหล่ “ช่างมัน ปล่อยให้มันล่าสัตว์ต่อไป เรามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องท�ำ” 50


ผู้ติดตามทั้งสองคณะเดินทางรุดหน้าไปจนสิ้นแสง โครว์แกะรอย พรานน�ำทางผิวขาว ไชแอนน์เกาะขบวนทหารม้า เมื่ออาทิตย์จมดวงลับ เหลี่ยมเขา ทั้งสองคณะทราบดีว่าได้เวลาที่จะให้ม้าพักหายใจแล้ว หาก ยังฝืนเดินทางต่อ ม้าก็คงขาดใจล้มคว�่ำ เหตุผลส�ำคัญอีกข้อ ดงหินทิ้งไว้ เพียงร่องรอยเลือนราง ในความมืดหากไม่มตี ะเกียง ซึง่ ไม่ได้ถอื ติดมาด้วย ก็ไม่มีทางจะอ่านรอยบนพื้นดินได้ สิบไมล์ข้างหน้า เบน เครกทราบเรื่องนี้เช่นกัน โรสบัดเป็นม้าตัว โตแกร่ง แต่กแ็ บกน�ำ้ หนักบรรทุกและคนอีกคน เดินทางมากว่าห้าสิบไมล์ แล้ว ลมกระซิบก็มใิ ช่คนขีม่ า้ มีประสบการณ์ หากฝืนเดินทางต่อ เท่าทีม่ า ถึงทีน่ ไี่ ด้กส็ ดุ แรงแล้ว ทัง้ สองตัง้ แคมป์พกั ทีธ่ ารน�ำ้ แบร์ ทางตะวันออกของ เมืองเรดลอดจ์ปัจจุบัน ไม่มีการก่อกองไฟ เกรงว่าผู้ติดตามจะมองเห็น ความมืดมาเยือน อุณหภูมิลดต�่ำ เบนปูกางหนังควาย ลมกระซิบ แทบจะหลับใหลในทันควัน เบนไม่หลับ เขาจะหลับในภายหลัง เขาคลาน ออกจากหนังควาย ห่มคลุมด้วยผ้าห่มสีแดง นั่งเฝ้าระวังภัยให้หญิงคนรัก ไม่มีใครเฉียดมาใกล้ ก่อนรุ่งสาง เขาเก็บข้าวของ อาหารเช้าเป็น เนื้อเลียงผาแห้งกับคอร์นเบรดที่เธอน�ำมาจากกระโจม กลั้วคอด้วยน�้ำใส จากธาร ทั้งสองออกเดินทาง ผู้ติดตามเดินทางในแสงแรกของวันเช่นกัน ออกม้าในทันทีทมี่ องเห็นร่องรอยบนพืน้ ระยะห่างเก้าไมล์ และไล่กวดมา ติด ๆ เบนทราบดีว่านักรบไชแอนน์จะต้องตามมา สิ่งที่เขาท�ำลงไปแล้ว เป็นบาปผิดที่มิอาจให้อภัยได้ แต่เขาไม่ทราบว่ามีทหารม้าอีกกองยกก�ำลัง มาไล่ล่า พื้นหินขรุขระกว่าเดิม การเดินทางเชื่องช้า เขาทราบดีว่าผู้ติดตาม จะไล่ตามมาได้ทัน จะต้องหน่วงให้ช้าล่อให้ไปผิดทาง สองชั่วโมงบนอาน เป้าแห่งการไล่ลา่ เดินม้ามาถึงธารสองแยก ทางซ้ายเป็นธารร็อก ต้นน�ำ้ ตก สาดเป็นฝอย กระโจนจากผาหิน ธารเส้นนี้ไม่มีทางออกสู่ดงป่า ตรงไป ข้างหน้าเป็นธารเวสต์ ธารตื้น ไม่มีดงหินขรุขระ เขาลงจากหลังม้า ผูก 51


บังเหียนม้าป่าเข้ากับอาน จูงเหล็กพาดปากม้า เขาพาโรสบัดเดินเฉียง มุ่งหน้าไปหาธารร็อก เดินท่องลงไปในน�้ำ บ่ายหน้าขึน้ ต้นธาร ก่อนจะวกกลับย้อนลงมาหาธารเวสต์ น�ำ้ เย็นเฉียบจน เท้าชา แต่ก็ย�่ำเดินต่อไปบนพื้นท้องน�้ำกรวดกลม เดินมาได้สองไมล์ หัก ขึ้นภูเขาทางซ้ายมือ พาม้าทั้งสองหลุดเข้าไปในดงไม้ เนินไต่ขึ้นสูง ดงไม้พุ่มใบหนาทึบ ไร้แสงอาทิตย์ส่อง ในป่าเย็นยะ เยียบ ลมกระซิบชักผ้าห่มคลุมตัว นั่งบนหลังม้าเปลือย ก้าวเดินเชื่องช้า สามไมล์หา่ งไปด้านหลัง กองทหารม้ามาถึงล�ำธาร หยุดอ่านรอย ที่นั่น พรานน�ำทางโครว์ชี้ให้ดูรอยเกือกม้าย�่ำลงธารร็อก ผู้หมวดปรึกษา กับนายสิบครู่เดียว สั่งให้เดินทางลงธารร็อก ไม่นานนัก ไชแอนน์มาถึง ริมธารสองแฉก นักรบไม่มีความจ�ำเป็นใดๆ ที่จะต้องลุยธารน�้ำเพื่อซ่อน ร่องรอย แต่นักรบไชแอนน์เลือกธารเวสต์ เดินม้าเลียบธาร สายตาจ้อง จับรอยม้าขึ้นจากธารน�้ำบนฝั่งตรงข้าม สองไมล์จากธารแยก ทันทีที่เห็นรอย ก็ชักม้าตัดข้ามธาร เข้าดงป่า เที่ ย งวั น เบนมาถึ ง จุ ด ที่ จ� ำ ได้ ว ่ า เคยมาล่ า สั ต ว์ เ มื่ อ หลายปี ก ่ อ น ที่ราบสูงโล่งกว้าง...ที่ราบสูงซิลเวอร์รัน เปิดออกสู่เทือกเขาสูง แม้จะไม่ ทราบ แต่ก็มาอยู่ในที่ระดับความสูง 11,000 ฟุตแล้ว ที่ขอบที่ราบสูง เขามองลงไปเห็นล�ำธารสองสายบรรจบกัน มีจุด เล็กๆ เดินท่องน�้ำ แม้จะไม่มีกล้องส่องทางไกล แต่อากาศบางเบาท�ำให้ ทัศนวิสัยแจ่มชัด กองทหารม้าลาดตระเวน มีพรานน�ำทางโครว์ เมื่อ ทหารทราบว่ามาผิดทาง ก็เดินม้าย้อนกลับไปยังจุดแยก เบนเพิง่ ตระหนัก ในตอนนีเ้ องว่ากองทัพบกยังไล่จบั กุมตัวเขาอย่างไม่ลดละ ในฐานความผิด ปลดปล่อยเชลยสาวให้เป็นอิสระ เขาดึงไรเฟิลออกจากซองหนัง บรรจุกระสุนเพียงนัดเดียว พาดล�ำ กล้องบนก้อนหิน ตั้งศูนย์ปืนระยะไกลสุด หรี่ตามองผ่านศูนย์ปืนลงไป ยังหุบเขาเบื้องล่าง 52


“ยิงม้า...” โดนัลด์สนั เคยสอนไว้ “...ในดินแดนแถบนี้ หากไม่มมี า้ ก็ต้องหันหลังกลับ” เขาเล็งหน้าผากม้าของนายทหาร เสียงระเบิดกึกก้อง สะท้อนกังวาน กลับไปมาหลายระลอกในหุบเขาเหมือนเสียงสายฟ้ากัมปนาท กระสุน ถากหัวม้าเข้าไหล่ขวา ม้าทรุดฮวบเหมือนถุงมันฝรั่ง นายทหารหล่นร่วง ข้อเท้าแพลงเมื่อกระทบพื้น ทหารม้ากระเจิงหนีซ่อนตัวในป่า เว้นแต่หัวหมู่ที่ทิ้งตัวลงนอนบัง ซากม้า พยายามช่วยเหลือนายทหาร ม้ายังไม่รอดแต่ไม่สิ้นลม หัวหมู่ ชักปืนพกออกจากซอง เป่าสมองม้าให้พ้นความทรมาน จากนั้น ลาก นายทหารไปซ่อนตัวในป่า ไม่มีกระสุนนัดที่สอง ในป่าบนเนินเขา ไชแอนน์ทงิ้ ตัวลงจากหลังม้า นอนกอดพืน้ ใบสนแห้ง ไม่มใี ครเงยหัว นักรบสีน่ ายมีไรเฟิลสปริงฟีลด์ทรี่ บิ มาจากกองทหารม้าที่ 7 แต่ก็มีความเงอะงะในการใช้ปืนของอินเดียนแดงติดตัว ทุกคนทราบดีว่า วาสิชผู นู้ ที้ ำ� อะไรได้บ้างกับไรเฟิลชาร์ป จากระยะไหน นักรบคลานบนพืน้ เชื่องช้า คนที่หกอยู่รั้งท้าย รวบบังเหียนหกม้าไว้ เบนตัดผ้าห่มเป็นสี่ชิ้น ผูกผ้าหุ้มเกือกม้า ผ้าห่มคงอยู่ได้ไม่นาน อยู่ ระหว่างกลางเกือกเหล็กกับหินแข็ง แต่อย่างน้อยก็พอจะซ่อนรอยขูดขีด ได้อีกห้าร้อยหลา เขาเดินม้ามุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ตัดที่ราบสูง ขึ้นสู่ยอดเขา ทีร่ าบสูงซิลเวอร์รนั กว้างห้าไมล์ โล่งว่างเปล่าไร้ทกี่ ำ� บัง สองไมล์ผา่ น ไป เขาเหลียวหลังกลับมาพบจุดเล็กไต่พ้นสันเขา เข้าสู่ป่าหิน เขาเดินม้า ต่อ ไม่มีปืนกระบอกไหนยิงถึง ไม่มีใครจับเขาได้ อีกไม่กี่นาทีถัดมา มี จุดเล็กๆ เพิ่มอีก ทหารม้าผ่านพงป่า ขึ้นมาบนที่ราบสูงเช่นกัน ห่างจาก กลุ่มไชแอนน์ไปทางตะวันออกราวหนึ่งไมล์ เขาเดินทางถึงเหวลึก ไม่เคย ขึ้นมาสูงระดับนี้มาก่อน ไม่ทราบว่ามีเหวลึกที่นี่ ซอกลึก แคบและสูงชัน...โตรกธารเลกฟอร์ก ไม้สนเกาะทึบทั้งสอง 53


ฟาก น�้ำเย็นเฉียบ เบนเดินเลียบชายน�้ำ มองหาจุดที่ตื้นพอจะข้ามไปได้ เขาพบท่าข้ามในเงาของภูเขาธันเดอร์ แต่ก็เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมง เขาดันตัวเองและม้าไปสุดเพดาน เดินม้าลงไปในธารน�้ำตลิ่งสูง ขึ้น อีกฝั่ง ขึ้นสู่ที่ราบสูงสุดท้าย, ที่ราบสูงเฮลล์รอริง ในตอนที่ขึ้นตลิ่งอีกฝั่ง กระสุนปลิวหวีดหวิวข้ามหัว ทหารมองเห็นการเคลือ่ นไหวในป่าสน ยิงสุม่ การเสียเวลาของเขาไม่เพียงแค่ย่นระยะผู้ล่าไล่ หากแต่ยังชี้จุดข้ามให้ผู้ไล่ ตามได้ทราบ เบือ้ งหน้า ลานโล่งอีกสามไมล์กอ่ นจะถึงแผ่นภูผาของเมาต์เรียร์การ์ด แฝงซ่อนในดงหินนี้ได้เมื่อใด ไม่มีมนุษย์หน้าไหนบนโลกนี้จะแตะตัวเขาได้ ในอากาศบางเบา สองม้าสองคนหอบหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอด แต่เขา ก็ยังเดินม้ารุดหน้าต่อไป ความมืดจะมาเยือนในไม่ช้า เขาจะหายวับไปใน แง่งหินและซอกเขาระหว่างเรียร์การ์ด เซเคร็ดและแบร์ทูธ ไม่ทิ้งร่องรอย ใดๆ ให้อ่าน เลยไกลไปจากภูเขาเซเคร็ด จะเป็นสันปันน�้ำ และเนินลาด ลงสู่ไวโอมิง เขาจะหลุดพ้นโลกเลวร้าย แต่งงานกับลมกระซิบ ฝังตัวอยู่ ในป่าดิบ มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ เมื่อแสงเรื่อสลัว เบนกับลมกระซิบทิ้ง ผู้ติดตามไว้เบื้องหลัง บ่ายหน้าขึ้นเนินเมาต์เรียร์การ์ด ย�ำ่ สนธยา สองม้าไต่เดินขึน้ สูท่ รี่ าบดงหิน ลุถงึ ขอบหิมะทีย่ อดเขาขาว โพลนไม่เคยละลายตลอดทั้งปี ที่นั่น เขาพบแผ่นหินลานโล่ง ห้าสิบหลา คูณยีส่ บิ ขอบลานหินเป็นถ�ำ้ ต้นสนหงิกงอกระจุกใหญ่ปกคลุมปากทางเข้า เมื่อราตรีมาเยือน เบนจูงม้าเขยกมาผูกไว้ใต้ต้นสน ม้ากินใบสน ใต้ตน้ อากาศหนาวเหน็บ แต่กค็ งพ้นผ่านไปได้จากทีอ่ บั ลมของถ�ำ้ และผืน หนังควายห่อคลุม เบนโยนอานม้าและเศษผ้าห่มที่เหลือไว้ที่มุมถ�้ำ บรรจุกระสุนเข้า ไรเฟิล วางปืนไว้ขา้ งทีน่ อนก่อนจะปูหนังควายไว้ปากถ�ำ้ เบนกับลมกระซิบ นอนบนผืนหนัง ม้วนปลายพันสองร่างไว้ภายใน ในดักแด้หนังควาย ไออุ่นจากเรือนกายหวนกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวขยับเข้าหา 54


“เบน...ท�ำข้าฯ ให้เป็นผู้หญิงของท่าน เดี๋ยวนี้เลย” เขาดึงเสื้อหนังกวางของเธอสูงพ้นหัว สัมผัสเนื้อนุ่มเนียนเต่งตึง “สิ่งที่เจ้าท�ำไม่ถูกต้อง” บนยอดเขาเงียบสงัด แม้เสียงชราจะสั่นเครือ พูดด้วยลิ้นไชแอนน์ ก็ยังได้ยินถนัดชัดหู เสื้อหนังกวางของเบนถอดไปแล้ว ร่างมายืนตระหง่านหน้าปากถ�้ำ แผงอกเปลือยเปล่า ไรเฟิลกระชับในมือ เขาไม่เข้าใจว่าท�ำไมไม่เห็นชายชราผู้นี้มาก่อน พ่อเฒ่านั่งขัดสมาธิใต้ ต้นสนทีข่ อบลานหิน ผมสีเทาสยายคลุมอกเหีย่ วเปลือยเปล่า ใบหน้ายับย่น ร่องลึกเหมือนวอลนัตไหม้ อายุเก่าแก่เกินกว่าจะคาดค�ำนวณได้ ใบหน้า สุขสงบ พ่อมดประจ�ำเผ่า ผู้จาริกแสวงค�ำตอบ ปลีกวิเวกหาที่สงัดเพื่อ อดอาหาร ท�ำสมาธิ รอสดับบัญชาจากเบื้องบน “ท่านหรือทีพ่ ดู , ท่านผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิ?์ ” พรานน�ำทางเลือกเฟ้นค�ำทีส่ งวน ไว้เฉพาะผู้สูงอายุทรงปัญญา จะมาจากที่ใด ไม่อาจทราบได้ ผู้เฒ่าปีน ไต่ขึ้นมาสู่ระดับสูงขนาดนี้ได้ด้วยวิธีใด เขาไม่ทราบ ทานทนความหนาว เหน็บโดยไร้อาภรณ์ปกคลุมร่าง ยากจะหาค�ำตอบได้ เบนทราบเพียงว่า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ฉีกท�ำลายกฎเกณฑ์ทุกประการที่มนุษย์ทราบ เขารับรู้ว่าลมกระซิบเดินมายืนเคียงข้าง “ไม่ถูกต้องในสายตามนุษย์และเมห์-อิ-ยาห์...วิญญาณทุกหนแห่ง” พ่อเฒ่าตอบรับ จันทร์ยังไม่ลอยดวง แต่ดาวสกาวเต็มฟ้าใสเย็นเยียบ แสงดาวอาบ ลานหินให้แสงเรื่อเรือง เบนมองเห็นประกายดาวสะท้อนจากดวงตาเจิด จ้าที่มองจ้องเขาจากใต้ต้นสน “ท�ำไมเป็นเช่นนั้น, ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์?” “เธอต้องค�ำมั่นยกให้ผู้อื่นแล้ว ผู้จะมาเป็นคู่ครองของเธอต่อสู้กับวา สิชูอย่างห้าวหาญ เปี่ยมด้วยเกียรติยศ ไม่สมควรจะถูกหยามหมิ่นเช่นนี้” 55


“แต่เธอเป็นผู้หญิงของข้าฯ” “เธอจะเป็นหญิงของเจ้า, จอมไพร แต่มิใช่ตอนนี้ วิญญาณทุกหน แห่งด�ำรัสแล้ว เธอจะต้องกลับไปหาคนของเธอและคูค่ รอง หากเธอปฏิบตั ิ ตาม สักวันเจ้าจะได้ครองคูก่ นั เธอเป็นหญิงของเจ้า และเจ้าเป็นคูข่ องเธอ ตลอดชั่วกาลนาน ด�ำรัสโดยเมห์-อิ-ยาห์เช่นกัน” พ่ อ เฒ่ า หยิ บ ไม้ เ ท้ า จากพื้ น ข้ า งกาย ยั น ตั ว ลุ ก ขึ้ น ยื น ผิ ว หนั ง เปลือยเปล่าเหี่ยวย่นด�ำคล�้ำ ต้านรับอากาศเย็นยะเยือก มีเพียงผ้าเตี่ยว ผืนเดียวกับม็อกเคซินอีกคู่ปกป้องเรือนร่าง พ่อเฒ่าหมุนตัว เดินเชื่องช้า ผ่านป่าสน ลงตามเส้นทางหายลับไปจากสายตา ลมกระซิบเงยหน้ามองเบน น�ำ้ ตาหลัง่ ไหลอาบแก้ม แต่ไม่หยดลงพืน้ น�้ำตาแข็งเป็นเกล็ดแก้วก่อนหยาดถึงปลายคาง “ข้าฯ ต้องกลับไปหาคนของข้าฯ นั่นเป็นชะตาลิขิต” ไม่มีค�ำใดโต้แย้งได้ การโต้เถียงไร้ประโยชน์ เขาเตรียมม้าป่าใน ระหว่างที่เธอสวมม็อกเคซิน พันผ้าห่มคลุมตัว เขาดึงร่างเธอมาสวมกอด เป็นครั้งสุดท้าย ยกร่างของเธอวางบนหลังม้า ยื่นบังเหียนให้ เธอชักม้า เดินลงจากลานหิน มุ่งหน้าลงเนิน “ลมพร�่ำพูดแผ่วเบา...” เขาร้องตามไล่หลัง เธอเบือนหน้ากลับมา เขม้นจ้องใต้แสงดาว “เราจะอยู่ร่วมกัน สักวัน ด�ำรัสประกาศไว้ชัดเจนแล้ว หากหญ้ายัง งอกงาม ธารน�้ำยังรินไหล ข้าฯ จะรอเจ้า” “ข้าฯ ก็เช่นกัน, เบน เครก” เธอหายลับไปแล้ว เบนจ้องมองฟ้าโปร่งจนอากาศเย็นเยือกบาดลึก เขาจูงโรสบัดเข้าไปในถ�้ำ หอบใบไม้สนฟ่อนใหญ่วางไว้ให้ จากนั้น ลาก หนังควายเข้าไปในความมืดก้นถ�้ำ พันม้วนห่มห่อตัวหลับใหลไปโดยพลัน จันทร์ลอยดวง นักรบมองเห็นเธอเดินม้าตรงมาหา ข้ามทีร่ าบทุง่ หิน เธอมองเห็นแคมป์ไฟสองจุดเบื้องล่างในป่าสน ได้ยินเสียงฮูกแผ่วต�่ำดังมา 56


จากทางซ้าย เธอชักม้ามุ่งหน้าไปหาแคมป์ไฟนั้น ไม่มีผู้ใดปริปากพูด นั่นเป็นหน้าที่ของบิดา, ทอลล์เอลก์ แต่นักรบ ยังต้องปฏิบัติตามค�ำสั่งอีกข้อ วาสิชูผู้หยามเกียรติของหมู่บ้านจะต้องตาย นักรบจะรอคอยจนถึงรุ่งสาง ตีหนึง่ คืนนัน้ เมฆแผ่นหนาแผ่มาปกคลุมเหนือเทือกแบร์ทธู อุณหภูมิ ลดต�่ำ ผู้คนรอบสองแคมป์สั่นสะท้าน ดึงรั้งผ้าห่มให้รัดตัวแน่น แต่ก็ ไร้ประโยชน์ ไม่นานนักทุกคนสะดุ้งตื่นเต็มตา โยนฟืนเข้ากองไฟไม่ยั้ง แสงไฟลุกโชติช่วง แต่อุณหภูมิก็ยังลดต�่ำลงไปอีก ทั้งไชแอนน์และคนขาวเคยผ่านฤดูหนาวโหดเหี้ยมในดาโกตามาแล้ว และทราบดีว่าความหนาวเหน็บกึ่งฤดูสาหัสเพียงใด แต่นี่เพิ่งวันสุดท้าย ของเดือนตุลาคม เร็วเกินไป แต่อุณหภูมิก็ลดต�่ำ ตีสอง หิมะโปรยปราย เป็นสาย ตกหนาเป็นล�ำดับเหมือนก�ำแพงขาว ในแคมป์ทหารม้า พราน น�ำทางโครว์ลุกขึ้นยืน “เราต้องลาจาก...” โครว์กล่าวแก่นายทหาร แม้มีอาการปวด ข้อเท้า ผู้หมวดก็ทราบดีว่าเงินรางวัลและการจับกุมตัวนักโทษส�ำคัญ จะ แปลงโฉมอาชีพการงานในกองทัพได้ “หนาวเย็น แต่อรุณรุ่งใกล้มาถึง” นายทหารกล่าวตอบ “ไม่เย็นธรรมดา” พรานน�ำทางแย้ง “...นี่คือ ความหนาวเย็นแห่ง การหลับใหลยาวนาน ไม่มอี าภรณ์ใดจะต้านรับได้ วาสิชทู ที่ า่ นตามหาหาก ไม่ตายไปแล้ว ก็คงตายก่อนได้เห็นแสงตะวัน” “เช่นนั้น ไสหัวไป” นายทหารกล่าวตอบ ไม่มีความจ�ำเป็นต้อง พึ่งพรานแกะรอยอีกแล้ว เป้าหมายของเขาอยู่บนยอดเขา มองเห็นลิบๆ ในแสงจันทร์ก่อนหิมะจะโปรยลงมาบดบังสายตา พรานน�ำทางโครว์ขนึ้ ม้า มุง่ หน้าลงไปสูท่ รี่ าบสูงซิลเวอร์รนั ลงเนินลง ไปยังหุบเขา ก่อนจะออกพ้นแคมป์ พรานน�ำทางผูห้ นึง่ ส่งเสียงปักษาราตรี ไชแอนน์ได้ยนิ เสียงนัน้ หันมองหน้ากัน เสียงเตือนภัย นักรบไชแอนน์ 57


กอบหิมะดับกองไฟ ขึ้นม้า พาหญิงสาวลงเขา อุณหภูมิลดต�่ำลง จวบจนถึงตีสี่ หิมะถล่ม ทลายเลื่อนเป็นแผ่นหนาข้ามที่ราบสูง แนวหิมะส่งเสียงกรีดกรอน�ำหน้ามาก่อน หิมะไหลเลื่อนลงมาเป็นขบวน ท่วมโตรกธารฟอร์กเลก กวาดกลบสรรพสิ่งเบื้องล่าง ทหารและม้าไม่ได้ ขยับตัว ความหนาวเย็นตรึงแข็งค้างอยู่กับที่ หิมะเคลื่อนท่วมทับถมเป็น ระลอก...เหลือเพียงปลายยอดสนโผล่พ้นทะเลสีขาว เช้าวันใหม่ เมฆกระจายหายไป แสงอาทิตย์ส่องเจิดจ้าสะท้อนผืน หิมะขาวบริสุทธิ์ ใต้ผิวดินนับล้านรู สัตว์ภูเขาและพงไพรทราบแล้วว่าฤดู หนาวมาถึง ควรจะต้องหลับจ�ำศีลจนกว่าฤดูใบไม้ผลิจะเวียนกลับมาอีกครัง้ ในถ�้ำบนยอดเขา ม้วนอยู่ในหนังควาย พรานไพรหลับใหล เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ทราบว่าตนเองอยู่ที่ไหน เหมือนบาง คราวที่เคยเกิดขึ้น หรือว่ายังอยู่ในหมู่บา้ นของทอลล์เอลก์? เขาไม่ได้ยิน เสียงเครื่องครัวของหญิงอินเดียนแดงปรุงอาหารเช้า เขาลืมตาขึ้น เพ่ง จ้องมองผ่านขนดกหนาของหนังควาย มองเห็นผนังขรุขระของถ�้ำ ความ ทรงจ�ำหวนคืนกลับมาทันใด เขาลุกขึ้นนั่ง ทบทวนความคิด ขับไล่ความ ง่วงงุนที่ยังค้างอยู่ในหัว ภายนอก ลานหินคลุมด้วยหิมะขาว สะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ เขาเดินออกมาปากถ�ำ้ แผงอกเปลือยเปล่า สูดอากาศเย็นเยียบเข้าเต็มปอด อากาศสดชื่นหอมหวาน โรสบัดยังผูกขาหน้า เหมือนที่ท�ำไว้ก่อนนอน เดินออกมาปากถ�้ำกิน หน่อสนอ่อนที่ขอบลานหิน แสงอาทิตย์ย�่ำรุ่งส่องมาทางขวามือ เขามอง ตรงไปทางเหนือ มองทุ่งราบเวิ้งว้างของมอนทานา เขาเดินไปยังขอบลานหิน ลงไปยังเนินล่าง กวาดสายตามองไปยัง ที่ราบสูงเฮลล์รอริง มองหาแท่งควันจากกองไฟในละแวกเลกฟอร์ก ดู เหมือนว่าผู้ล่าไล่จะถอนตัวกลับไปหมดสิ้นแล้ว 58


เขาย้อนกลับมายังถ�้ำ สวมเสื้อหนังกวาง คาดเข็มขัด หยิบมีดโบวี เดินไปตัดสายเชือกหนังผูกขาหน้าของโรสบัด เธอร้องครางแผ่วเบา จมูก นุ่มเหมือนก�ำมะหยี่ดุนหัวไหล่ของเขา วินาทีนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นสิ่งผิด ปกติ หน่อต้นสนที่โรสบัดกัดกิน...จะเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ เขาเหลียวมอง โดยรอบ ต้นสนหงิกงอที่ปากถ�้ำ บัดนี้แทงยอดเขียวอ่อนชูรับแสงอาทิตย์ เขาสะดุ้งสุดตัว เมื่อตระหนักว่าเขากลายเป็นสัตว์ป่าแห่งพงไพรไปแล้ว หลับใหลจ�ำศีลตลอดฤดูหนาวยาวนาน เขาเคยได้ยนิ มาว่า มิใช่เรือ่ งเป็นไปไม่ได้ พ่อเฒ่าโดนัลด์สนั เคยเล่าให้ ฟัง มีพรานดักสัตว์คนหนึ่งติดหิมะอยู่ในถ�้ำหมี เหลือรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ หลับใหลกอดลูกหมีจ�ำศีลตลอดฤดูหนาวจนถึงฤดูใบไม้ผลิ ในกระเป๋าอานม้า เขาพบเนือ้ แห้ง เคีย้ วยากกลืนไม่ถนัด แต่กเ็ คีย้ ว จนละเอียดกลืนลงคอ ส�ำหรับความชื้นกลั้วล�ำคอแห้งผาก เขากอบหิมะ เต็มอุ้งมือ กดบีบจนกลายเป็นน�้ำ เลียฝ่ามือจนแห้ง เขารู้ดีเกินกว่าจะ กินหิมะดิบ ในกระเป๋าอานม้ามีหมวกกลมขนจิง้ จอกของพรานดักสัตว์ เขาหยิบมา สวมหัว ในยามพาดอาน เขาตรวจไรเฟิลชาร์ปและกระสุนอีกยีส่ บิ นัด ก่อน จะสอดเข้าซองอานม้า เตรียมพร้อมเดินทางต่อ แม้หนังควายจะหนาหนัก เขาพันม้วนหนังควายทีช่ ว่ ยชีวติ เขาให้มดั ติดอาน ไม่มอี ะไรเหลือตกค้างในถ�ำ้ เขาจูงเหล็กพาดปากม้า เดินลงจากลานหินสู่ที่ราบสูงเบื้องล่าง เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะท�ำอะไรต่อไป ทราบเพียงว่ามีสัตว์ให้ล่า เกลื่อนกล่นในป่าเนินต�่ำ เพียงวางแร้วดัก ก็พอจะด�ำรงชีวิตได้สุขสบาย เขาข้ามที่ราบสูงแรกด้วยการเดินเชื่องช้า กวาดสายตาระแวดระวัง สดับการเคลื่อนไหววูบวาบ หรือแม้แต่กระสุนปืนที่จะปลิวมาจากเบื้อง ล่าง ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เมื่อมาถึงเหวลึก ไม่มีร่องรอยใดๆ ว่า ผูไ้ ล่ลา่ จะย้อนกลับมาเพือ่ คร่ากุมตัว เขาไม่มที างทราบว่าพรานน�ำทางโครว์ 59


รายงานต่อกองทัพบกว่ากองทหารม้าลาดตระเวนสูญหายไปในพายุหิมะ และนักโทษส�ำคัญน่าจะไม่เหลือชีวิตอีกต่อไปแล้ว ลุถึงเหวธารเลกฟอร์ก เขาพบทางเดินน�้ำตื้นข้ามไปยังอีกฝั่ง ดวง อาทิตย์เคลื่อนขึ้นสูง ถึงจุดสามสิบองศาเหนือขอบฟ้าเมื่อเขามาชักม้าข้าม ที่ราบสูงซิลเวอร์รัน ร่างกายค่อยอุ่นขึ้นมาทีละน้อย เขาตัดเข้าป่าสนจนถึงป่าพุ่มใบดกหนา หยุดม้าตั้งแคมป์ เที่ยงวัน เขาเลือกกิ่งเรียวหยุ่นดีด ใช้เชือกหนังในกระเป๋าอานม้าผูกแร้วดักกระต่าย อีกชัว่ โมงถัดมา กระต่ายโผล่จากรู ดินปืนจากกล่องโลหะและหินเหล็กไฟ ก่อกองไฟ แล่หนัง ย่างเนื้อ เขาใช้เวลาอีกสัปดาห์ตงั้ แคมป์อยูท่ ขี่ อบป่า ฟืน้ ฟูพละก�ำลัง เนือ้ สัตว์ มีเหลือเฟือ ปลาเทราต์วดั ขึน้ จากธารน�ำ้ น�ำ้ ล�ำธารเย็นหอมหวานเป็นเพียง สิ่งเดียวที่ประสงค์จะดื่ม ปลายสัปดาห์ เบน เครกตัดสินใจเดินทางออกสูท่ งุ่ กว้าง เดินทางใน แสงจันทร์ ซ่อนตัวในเวลากลางวัน ย้อนกลับไปยังเทือกไพรออร์ ตัดไม้ สร้างกระท่อม ตั้งรกรากในป่า จากนั้นค่อยเสาะหาถามไถ่ว่าไชแอนน์ เดินทางไปทีไ่ หน รอคอยจนกว่าลมกระซิบจะเป็นไทแก่ตวั เขาไม่เคยกังขา จะไม่เกิดขึ้น เนื่องเพราะวิญญาณทุกหนแห่งด�ำรัสไว้แล้ว วั น ที่ แ ปดเขาพาดอานม้ า ออกจากราวป่ า อาศั ย ดวงดาวเป็ น เครื่องหมายน�ำทาง มุ่งหน้าขึ้นเหนือ จันทร์เต็มดวง สาดแสงเรื่อเย็น ส่องพื้นดินจนขาวโพลน เดินม้าทั้งคืน ตั้งแคมป์ในธารน�้ำแห้งในตอน กลางวัน หลบสายตาไม่ให้ผู้ใดพบเห็น ไม่มีการก่อกองไฟ เขากินเนื้อ ที่รมควันจากในป่า คืนถัดมา เขามุ่งหน้าไปทางตะวันออกสู่เทือกไพรออร์ ไม่นานก็ตัด ข้ามดาดหินแข็งสีดำ� ทอดยาวสุดลูกหูลกู ตาทัง้ ทางซ้ายและขวา ใกล้รงุ่ ข้าม เส้นสีด�ำอีกสาย จากนั้น ไม่เหลือสายหินสีด�ำอีกแล้ว ม้าเดินเข้าไปใน ดงหิน การเดินทางเชื่องช้าไม่สบายนัก แต่ก็ซ่อนตัวได้อย่างดี 60


คราวหนึ่งเขามองเห็นฝูงวัวและเล็มหญ้ากลางทุ่งกลางแสงเดือนเพ็ญ อดสงสัยความโง่เง่าของชาวไร่ผู้บุกเบิกมิได้ที่ปล่อยให้วัวกินหญ้าโดยไม่มี ผู้ดูแล หากอินเดียนแดงโครว์มาเห็นคงอิ่มท้องไปหลายมื้อ เช้าวันที่สี่ของการเดินทางที่เขามองเห็นป้อม เขาตั้งแคมป์บนเนิน เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสง มองเห็นป้อมอยู่ที่ตีนเนินของภูเขาเวสต์ไพรออร์ นัง่ เพ่งจ้องอยูน่ านเกือบชัว่ โมง สายตาสดับการเคลือ่ นไหว หูพร้อมรับเสียง แตรทหารม้าหรือควันลอยจากปล่องเตาของโรงครัว แต่ไม่มีสัญญาณใดๆ เมื่อแสงส่องจ้า เขาชักม้าหลบเข้าไปในพุ่มพฤกษ์ หลับใหล ระหว่างมือ้ อาหารยามเย็น เขาทบทวนว่าควรท�ำอย่างไร ดินแดนแห่ง นี้ยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เดินทางโดดเดี่ยวเสี่ยงภัยทุกลมหายใจ ป้อม ดูเหมือนว่าจะเพิง่ สร้างขึน้ มาใหม่ ไม่ได้อยูท่ นี่ ใี่ นฤดูใบไม้รว่ งทีผ่ า่ นมา เป็น ไปได้วา่ กองทัพบกขยายเขตการควบคุมมาจนถึงดินแดนของโครว์ ปีทผี่ า่ น มา ป้อมใกล้ที่สุดจะเป็นป้อมสมิธทางตะวันออกของแม่น�้ำบิ๊กฮอร์น และ ป้อมเอลลิสทางตะวันตกเฉียงเหนือของเส้นทางโบซแมน เขาไม่อาจโผล่ หน้าไปที่ป้อมเอลลิสได้ ที่นั่นผู้คนจ�ำหน้าเขาได้ แต่ถ้าป้อมใหม่มิใช่ที่ตั้งของกองทหารม้าที่ 7 ไม่มีทหารที่เคยสังกัด นายพลกิบบอน ไม่มเี หตุผลใดทีจ่ ะมีผจู้ ำ� เขาได้ และหากเขาให้ชอื่ ปลอม... เบนพาดอานโรสบัด ตัดสินใจส�ำรวจป้อมใหม่ในยามค�่ำคืน ซ่อนตัว ไม่ให้ผู้ใดพบเห็น เขาเดินทางมาถึงป้อมในแสงจันทร์ ไม่มีธงประจ�ำหน่วยบนยอดเสา ไม่มีช่องแสงเรื่อเรืองจากหน้าต่าง ไม่มีเสียงมนุษย์เคลื่อนไหว ความสงัด ท�ำให้ยา่ มใจ เขาชักม้าเลียบประตูค่าย แผ่นป้ายเหนือประตูมีค�ำว่าป้อม ค�ำนี้เขารู้จัก จากนั้นก็เป็นขีดยาวกับตัวยึกยือที่อ่านไม่ออก ด้านหน้ามี โซ่คล้องประตู ลั่นกุญแจ เขาชักโรสบัดผ่านก�ำแพงซุงสูงสิบสองฟุต ท�ำไมกองทัพบกสร้างป้อม ไว้ แล้วทิ้งร้างไม่มีผู้ดูแล? เป็นไปได้หรือที่ทหารถูกฆ่าตาย คว้านไส้พุง 61


ทอดร่างเป็นศพกันไปสิ้น? แล้วถ้าคนในป้อมตายหมด ท�ำไมคล้องโซ่ ลั่นกุญแจปิดประตูจากด้านนอก? เที่ยงคืน เขายืนบนอานโรสบัด คว้า เชิงเทิน เหนี่ยวดึงตัวข้ามก�ำแพง วินาทีถัดมา เขามายืนบนทางไม้หลัง เชิงเทินห้าฟุตต�่ำกว่าขอบ สูงจากพื้นดินเจ็ดฟุต เขาก้มลงมอง เรือนพักนายทหาร โรงทหาร โรงม้าและโรงครัว คลังแสงและถังน�ำ้ ร้านค้าและโรงตีเหล็ก ทุกอย่างครบครัน ขาดไร้แต่ผู้คน เขาย่องเดินเงียบเชียบลงบันได ไรเฟิลกระชับมั่นในมือ เดินส�ำรวจ ป้อมใหม่อย่างมิต้องสงสัย บ่งบอกระบุได้จากการเข้าไม้และรอยเลื่อยบน คานไม้ เรือนพักนายทหารลัน่ กุญแจ แต่อาคารหลังอืน่ เพียงแค่สะกิดประตู เผยอ้า โรงนอนทหาร และเรือนพักส�ำหรับผู้มาเยือน เขาไม่พบรางสุขา ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกสิ้นดี ติดก�ำแพงด้านหลัง มีโบสถ์หลังเล็ก และบาน ประตูติดก�ำแพง เปิดออกหลังป้อม มีดาลไม้ขนาดใหญ่พาดขวาง เขายกดาลไม้ เดินออกไปนอกป้อม จูงโรสบัดเข้ามาในป้อม วาง ดาลไม้พาดคืนกลับ เขาทราบดีว่าไม่มีทางป้องกันป้อมตามล�ำพังคนเดียว หากอินเดียนแดงยกพลมาจู่โจม ก็คงข้ามก�ำแพงง่ายดายด้วยวิธีเดียวกับ ที่เขาท�ำ แต่ก็น่าจะเป็นฐานที่พักได้ชั่วขณะ ก่อนจะเสาะค้นได้ว่าหมู่บ้าน ทอลล์เอลก์ย้ายไปอยู่ที่ใด กลางวัน เขาออกเดินส�ำรวจโรงม้า คอกม้าแบ่งช่องจุได้ยี่สิบม้า บังเหียน อานม้า และสายรัด และอาหารม้าทุกอย่างทีพ่ งึ จะมีได้ รางน�ำ้ บริสุทธิ์อยู่ด้านนอก เขาจูงโรสบัด ปลดอาน แปรงทั้งตัวด้วยแปรงแข็ง ระหว่างโรสบัดกินข้าวโอ๊ต ในโรงตีเหล็ก เขาพบกระป๋องน�้ำมัน ขัดไรเฟิลจนล�ำกล้องและพาน ท้ายสุกปลั่ง ร้านค้ามีกับดักสัตว์และผ้าห่ม เขาหยิบติดมือมาปูที่มุมห้อง ของเรือนพักส�ำหรับผู้มาเยือน ขาดหายไปเพียงสิ่งเดียวคือ อาหาร เขา ค้นในร้านค้า มีกระปุกขนม เป็นอาหารเย็น สัปดาห์แรกผ่านไปรวดเร็วเหมือนติดปีก ในตอนเช้า เขาขีม่ า้ ออกไป 62


วางกับดักและล่าสัตว์ ตอนบ่ายแล่หนัง ผึ่งตากแห้งเพื่อน�ำไปแลกเปลี่ยน สินค้า เขาได้เนื้อสดมากเท่าที่จะกินได้ เก็บพันธุ์ไม้ป่ารอบป้อมมาต้มซุป เขาพบสบู่ในร้านค้า ถือติดมือไปอาบน�้ำในล�ำธาร น�้ำเย็นเฉียบแต่ สดชื่นเป็นที่สุด หญ้าอ่อนระบัดใบส�ำหรับโรสบัด ในโรงครัว เขาพบถ้วย และจาน เขาเก็บกิ่งไม้แห้งมาก่อไฟ ต้มน�้ำเพื่อโกนหนวด สมบัติชิ้นหนึ่ง ที่เขาถือติดมือมาจากกระท่อมของโดนัลด์สันคือ มีดโกนเปลือยคม เก็บ รักษาไว้ในกล่องโลหะ เมือ่ มีนำ�้ ร้อนกับสบู่ การถากโกนหนวดเคราง่ายดาย อย่างไม่น่าเชื่อ ในกลางไพรหรือในยามที่เดินทางร่วมกับกองทหารม้า มี เพียงแค่น�้ำเย็น ไร้สบู่ ฤดูใบไม้ผลิผันผ่านไปจนถึงฤดูร้อน ไม่มีใครมาเยือน เขาเริ่มจะ กังขาแล้วว่าจะหันหน้าไปถามผู้ใดว่าไชแอนน์เคลื่อนย้ายไปที่ไหน พา ลมกระซิบไปอยู่หนแห่งใด ขอเพียงทราบข่าว เขาจะตามรอยเส้นทางได้ กลัวเพียงอย่างเดียวคือ การเดินทางมุ่งตะวันออกไปยังป้อมสมิธ หรือ ตะวันตกเฉียงเหนือสูป่ อ้ มเอลลิส จะต้องมีคนจ�ำเขาได้ทนี่ นั่ หากเขาทราบ ว่ากองทัพบกยังประสงค์จะแขวนคอเขา เขาพอจะใช้ชอื่ โดนัลด์สนั หวังว่า จะไม่สะดุดหูผู้ใด เขาปักหลักอยู่ในป้อมกว่าหนึ่งเดือนในตอนที่มีผู้คนเดินทางมายัง ป้อม ในตอนนัน้ เขาออกไปวางกับดักในป่า แปดคนในคณะนัน้ เดินทาง มาด้วยท่อโลหะรูปทรงแปลกตา เคลื่อนที่บนกงล้อสีด�ำ ดุมล้อมเงิน วาววาม แต่ไม่มีม้าลากจูง หนึ่งนั้นเป็นผู้น�ำทาง อีกเจ็ดเป็นแขก ผู้น�ำทางคือ ศาสตราจารย์ จอห์น อิงเกิลส์ คณบดีคณะประวัติศาสตร์ตะวันตก มหาวิทยาลัย มอนทานาที่โบซแมน แขกผู้มีเกียรติ เป็นวุฒิสมาชิกหนุ่มของรัฐ บินตรง มาจากวอชิงตัน สมาชิกสภานิติบัญญัติสามนายจากเฮเลนา, เมืองหลวง ของรัฐ และข้ารัฐการศึกษาธิการอีกสาม ศาสตราจารย์อิงเกิลส์ไขกุญแจ ประตูหน้า เดินน�ำคณะเข้าไปในป้อม ทุกคนตาแวววาวด้วยความสนใจ 63


อยากรู้อยากเห็น “ท่านวุฒิสมาชิก ท่านสุภาพบุรุษ...ขอต้อนรับสู่ป้อมเฮอริเทจ” ศาสตราจารย์ผายมือกว้าง ใบหน้าเปล่งปลัง่ ด้วยความยินดี เขาเป็นหนึง่ ใน คนโชคดีไม่กคี่ นทีม่ อี ารมณ์ขนั ไร้ขดี จ�ำกัด หลงรักกิจกรรมทุกเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ในชีวติ ผลงานสุดยอดเกิดจากความใหลหลงชัว่ ชีวติ ศึกษาประวัตศิ าสตร์ ดินแดนตะวันตก เจาะหารายละเอียดทุกเกร็ดในประวัตศิ าสตร์ เขารอบรู้ เรือ่ งราวมอนทานาในอดีต สงครามท้องทุง่ และเรือ่ งราวของอินเดียนแดง ท่องท้องทุ่ง รบราฆ่าฟันและจบชีวิตกลางทุ่งแพร์รี ป้อมเฮอริเทจเป็น ฝันสุดสูงที่เขาเฝ้าเพาะบ่ม โน้มน้าวจูงใจคณะกรรมการกว่าร้อยชุดจน ฝันนั้นก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในทศวรรษถัดมา “ป้อมและร้านค้าจ�ำลองจากของจริงทุกกระเบียดนิ้ว ไม่เว้นแม้ รายละเอียดเล็กน้อย ป้อมแห่งนี้ควรค่าตั้งตระหง่านในยุคของคัสเตอร์ ผูเ้ ลือ่ งชือ่ ผมดูแลรายละเอียดทุกแง่ทกุ มุม พร้อมให้คำ� อธิบายจนกระจ่าง ชัดส�ำหรับทุกเรื่อง” เขาพาคณะผู้มาเยือน เดินเที่ยวชมกระท่อมไม้ซุงและโรงเรือนอื่นๆ เล่าให้ทราบถึงต้นก�ำเนิดของโครงการนี้ตั้งแต่การยื่นเสนอเรื่องต่อสมาคม ประวัติศาสตร์มอนทานา และมูลนิธิวัฒนธรรม ทุนก่อสร้างได้จากภาษี เหมืองถ่านหิน แบ่งปันเจียดมาให้หลังจากการเซ้าซี้ ทุกตารางนิว้ ของป้อมตรงตามความเป็นจริง ไม้ซงุ ได้จากป่าท้องถิน่ เหมือนการก่อสร้างในยุคนั้น ดันให้สมบูรณ์แบบสุดยอด ตะปูที่ใช้จะต้อง อยูใ่ นรูปแบบดัง้ เดิม สัง่ ห้ามขาดการใช้ตะปูเกลียวเหล็กกล้าของยุคปัจจุบนั ความรื่นเริงดาลใจ ดูเหมือนจะแพร่ไปถึงแขกผู้มาเยือน เขาบอก กล่าวว่า “ป้อมเฮอริเทจจะเป็นประสบการณ์ทางการศึกษาลึกซึง้ ส�ำหรับ เด็กและเยาวชน ไม่จ�ำกัดแต่เพียงมอนทานา หากเปิดกว้างส�ำหรับมลรัฐ อื่นๆ ในละแวกนี้ คณะครูและนักเรียนสั่งจองทัวร์ มาไกล แม้แต่จาก ไวโอมิงและเซาธ์ดาโกตา 64


“ที่ตั้งของป้อมอยู่ชานขอบของนิคมโครว์ เราสงวนทุ่งหญ้าไว้ยี่สิบ เอเคอร์ เพื่อเกี่ยวมาท�ำหญ้าเฮย์เลี้ยงม้า ผู้เชี่ยวชาญจะเกี่ยวหญ้าด้วย เครื่องมือดั้งเดิมในยุคนั้น ผู้มาเยือนจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนยุคบุกเบิก เมื่อร้อยปีกว่าที่ผ่านมา ผมรับประกันได้ว่า ที่นี่จะเป็นสถานที่หนึ่งเดียว ในอเมริกา” “ผมชอบนะ ชอบมาก” วุฒิสมาชิกยิ้มระเรื่อ “...ท่านจะหา เจ้าหน้าที่มาประจ�ำได้อย่างไร?” “นี่เองที่เป็นเกียรติภูมิสุดยอด, ท่านวุฒิสมาชิก ที่นี่มิได้เป็นเพียง พิพิธภัณฑ์ หากแต่เป็นป้อมจ�ำลองชีวิตยุค 1870 เดินผ่านต่อหน้าต่อตา ทุนจากมูลนิธิ พอจะจ้างคนหนุ่มสาวหกสิบคน ท�ำงานพิเศษช่วงปิด ภาคฤดูร้อน ผู้จะมาประจ�ำการที่นี่ จะเป็นเด็กหนุ่มสาว คัดเลือกจาก ภาควิชาการละครจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทัว่ มอนทานา เราได้รบั การ ตอบสนองอย่างดีเยี่ยมจากคนหนุ่มสาวที่ประสงค์จะท�ำงานพิเศษปิดภาค ฤดูร้อน และสานต่อภารกิจทรงค่าพร้อมกันไปในคราวเดียว “เรามีอาสาสมัครหกสิบคน ผมเองจะด�ำรงต�ำแหน่งพันตรีอิงเกิลส์ กองทหารม้าที่ 2 ผู้บัญชาการป้อมเฮอริเทจ มีสิบเอกหนึ่งคน สิบตรี อีกหนึง่ และพลทหารแปด ทหารทุกคนขับขี่ม้าได้ ม้าในป้อมได้รบั ความ กรุณาจากไร่ในแถบนี้ให้ยืมตลอดฤดูร้อน “จะมีหญิงสาวในคณะนี้ เล่นบทหญิงซักเสื้อผ้าและแม่ครัว เครื่อง แต่งกายจะอยู่ในยุคนั้น นักเรียนการแสดงจะเล่นบทพรานดักสัตว์ พราน น�ำทางท้องทุง่ และผูบ้ กุ เบิกเดินทางข้ามเทือกร็อกกีมายังดินแดนตะวันตก “ช่างตีเหล็กตัวจริง จะมาประจ�ำการที่นี่ ผู้มาเยือนจะได้รับชมการ ตอกเกือกม้า ผมจะท�ำหน้าที่เป็นบาทหลวงจ�ำเป็น น�ำสวดด้วยเพลงสวด มนต์ของยุคนั้น แน่นอนครับ ผู้หญิงจะมีหอพักแยกเป็นสัดส่วน ท�ำ หน้าที่เป็นแม่บ้านของนายทหาร และมีผู้ดูแล, ชาร์ล็อต เบวิน ทหาร จะอยูใ่ นโรงทหาร พลเรือนพักเรือนแถวอีกแห่ง ผมรับประกันได้วา่ จะไม่มี 65


การมองข้ามรายละเอียดเล็กน้อยแม้แต่ข้อเดียว” “ก็น่าจะมีบางเรื่องราวที่คนยุคใหม่ไม่มีไม่ได้ แล้วเรื่องการท�ำความ สะอาด สุขอนามัยและผักผลไม้สดล่ะ?” สมาชิกสภาจากเฮเลนาตัง้ ค�ำถาม “แน่ทสี่ ดุ ครับ” ศาสตราจารย์องิ เกิลส์ตอบ “...เราซ่อนไว้แนบเนียน สามเรื่องนะครับ แรกสุด จะต้องไม่มีอาวุธปืนบรรจุกระสุนในป้อมนี้เด็ด ขาด ไรเฟิลและปืนพกที่เห็นจะเป็นปืนจ�ำลอง มีบางกระบอกที่ยิงส่งเสียง ไร้หัวกระสุน แต่ก็อยู่ในการควบคุมอย่างใกล้ชิดทุกคราวไป “จุดที่สอง ท่านมองเห็นคลังแสงฟากโน้นแล้วนะครับ ผนังวาง ราวปืนสปริงฟีลด์ เป็นผนังปลอม ผลักเปิดจะเป็นห้องน�้ำ มีอ่างอาบน�้ำ ฝักบัว และเครื่องสุขภัณฑ์ครบครัน เราวางท่อประปาใต้ดิน ถังไม้เก็บ น�ำ้ ฝนขนาดใหญ่เป็นถังปลอม ซ่อนประตูเปิดไว้ด้านหลัง เปิดเข้าไปเป็น ตู้เย็นใช้แก๊ส เก็บเนื้อแช่แข็ง ผักผลไม้ แก๊สเป็นถังครับ ไม่มีไฟฟ้า มี เพียงเทียนไขและตะเกียงน�้ำมันเท่านั้น” คณะผูม้ าเยือนอยูท่ ปี่ ระตูเรือนพัก หนึง่ นัน้ ยืน่ หน้าเข้าไปดูในเรือนพัก “ดูเหมือนว่าจะมีผู้มาจับจองแล้วล่ะ” ผู้นั้นให้ความเห็น ทุกคน มองจ้องผืนผ้าห่มพับซุกไว้ที่มุมห้อง จากนั้นก็เหลียวไปพบอีกร่องรอย กองขีม้ า้ ในโรงม้า และเถ้าสีเทาจากกองไฟ วุฒสิ มาชิกระเบิดเสียงหัวเราะ “ผู้มาเยือนคงอดใจรอไม่ไหว...หรือว่าท่านมีพรานป่าประจ�ำการอยู่ ที่นี่เป็นการถาวร” ทุกคนหัวเราะ “พูดจริงนะครับ ท่านท�ำได้ยอดเยี่ยมที่สุด ผมเชื่อว่าทุกท่านคงเห็น พ้อง ท่านมอบเกียรติภูมิให้รัฐของเรา” คณะผูเ้ ยีย่ มชมเดินทางกลับด้วยความอิม่ ใจ ศาสตราจารย์ลอ็ กกุญแจ ประตูปอ้ ม พิศวงสงสัยเรือ่ งผ้าห่มในเรือนพักและขีม้ ้าในโรงม้า รถทัง้ สาม คัน แล่นตามถนนดินขรุขระขึ้นไปยังลานหินสีด�ำราบเรียบ ทางหลวง หมายเลข 310 หักเลี้ยวขึ้นเหนือไปยังเมืองบิลลิงส์และสนามบิน 66


เบน เครกย้ อ นกลั บ จากการตรวจกั บดักในอีกสองชั่วโมงถัดมา ประหลาดใจที่ประตูด้านหลังพาดไม้แน่นหนา เขาทราบดีว่าเขางับประตู ใช้ไม้ลิ่มขัดไว้ ผู้ที่พาดดาลขวางประตู จะต้องเข้าประตูด้านหน้าของป้อม หรืออาจจะยังอยู่ในป้อม เขาชักม้ามาตรวจประตูหน้า กุญแจลั่นไว้แน่นหนา มีรอยบนดิน แปลกประหลาดสิ้นดี ไม่เหมือนรอยใดๆ ที่เคยรู้จัก คล้ายรอยล้อเกวียน ขนาดใหญ่ มีลวดลายหยักหยิกประทับตลอดทาง ไรเฟิลกระชับมัน่ ในมือ เขาปีนข้ามก�ำแพงป้อมอีกครัง้ ตรวจสอบอีก ชั่วโมงเต็ม แน่ใจได้ว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในป้อม ยกดาลไม้ประตูหลัง จูงโรสบัด เข้ามาในป้อม ตักข้าวโอ๊ตใส่ถุงให้ ย้อนกลับมาตรวจร่องรอยเท้าในป้อม อีกครั้ง รอยเท้า รองเท้าและบู๊ต รอยเกวียนลวดลายหยักไปมา แต่ไม่มี รอยเกือกม้า...ไม่มีรอยเท้านอกประตูป้อม แปลกสิ้นดี สองสัปดาห์ เจ้าหน้าที่ของป้อมเดินทางมาถึง อีกครั้งที่เบนออกไป ตรวจกับดักสัตว์ที่เนินเขาเทือกไพรออร์ แถวยาวเหยียด รถประจ�ำทางสามคัน รถเก๋งอีกสี่ มีคนขับส�ำรอง นั่งมาเพื่อขับรถกลับ ม้ายี่สิบม้าในรถบรรทุกม้าสีเงินวาววาม ขนข้าวของ ลงเรียบร้อยแล้ว รถประจ�ำทางแล่นกลับ เจ้าหน้าที่ทุกคนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายในเมืองบิลลิงส์ เครื่องแบบ ของแต่ละบท ในมือมีกระเป๋าถือเก็บเสื้อผ้าส�ำรอง และข้าวของส่วนตัว ศาสตราจารย์ตรวจกระเป๋าทุกใบ ตรวจทุกรายการ ยืนยันว่าจะต้อง ไม่มี ‘ของสมัยใหม่’ ติดตัวไปด้วยแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ใช้แบตเตอรีท่ กุ ชนิด แม้จะมีอาการอิดออดทีจ่ ะต้องพรากจาก วิทยุทรานซิสเตอร์ แต่ทุกคนก็ยอมรับ เพราะเป็นส่วนหนึ่งในสัญญาว่า จ้าง ไม่มีแม้แต่หนังสือที่ตีพิมพ์ในศตวรรษที่ยี่สิบ ศาสตราจารย์อิงเกิลส์ พร�่ำอบรมซ�้ำอีกรอบว่าการเดินทางย้อนยุคไปร้อยปี จะต้องท�ำให้ถูกต้อง แม่นย�ำในทุกรายละเอียด ไม่วา่ จะเป็นข้าวของเครือ่ งใช้...หรือแนวคิดความ 67


เชื่อในใจของผู้เล่นบท “เวลาผ่านไปสักนิด พวกคุณจะรู้สึกได้เอง เชื่อสนิทใจว่าคุณเป็น คนยุคบุกเบิก อาศัยอยู่ในห้วงเวลานั้นในประวัติศาสตร์ของมอนทานา” หลายชั่วโมงถัดจากนั้น นักเรียกภาควิชาการแสดง อาสาสมัครซึ่ง ไม่เพียงต้องการรายได้มากกว่าการเป็นบริกรเสิร์ฟอาหารในร้าน หากแต่ ได้ท�ำงานที่เปี่ยมคุณค่า น่าจะช่วยเสริมประสบการณ์การแสดงละครให้ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ออกเดินส�ำรวจป้อมค่ายด้วยความสนใจยิ่ง ทหารม้าน�ำม้าเข้าคอก เดินแถวเข้าไปในโรงทหาร ภาพปักหมุดของ ราเควล เวลช์ กับเออร์ ซูลา แอนเดรสปักเข้าที่ และถูกริบไปในบัดดล เสียงหัวเราะร่วนและบรรยากาศชื่นมื่น คนงานพลเรือน คนตอกเกือกม้า พ่อค้า พ่อครัว พรานน�ำทางและ ผู้บุกเบิกจากฝั่งตะวันออก เก็บข้าวของไปอยู่รวมกันในเรือนพักหลังใหญ่ เด็กสาวแปดคน แยกไปอยู่หอพัก ควบคุมสอดส่องโดยมิสเบวิน เกวียน หลังคาคลุม ทีเ่ รียกกันว่า ส�ำเภาแห่งทุง่ แพร์รี เดินทางมาถึง และน�ำจอด ไว้ใกล้หน้าประตูป้อม จุดเรียกความสนใจของผู้มาเยือน บ่ายใกล้เย็นย�ำ่ เบน เครกดึงบังเหียนรัง้ โรสบัดห่างจากป้อมราวครึง่ ไมล์ ตื่นตัวระแวงภัย ประตูป้อมเปิดอ้าทั้งสองบาน จากระยะไกล เขา มองเห็นเกวียนผ้าคลุมหลังคาสองเล่มหลังบานประตู ผู้คนเดินพล่านข้าม ลานสวนสนามในป้อม ธงชาติปลิวไสวบนยอดเสาโผล่พ้นก�ำแพง เขา มองเห็นทหารเสื้อน�้ำเงินสองนาย เขารอคอยมาหลายสัปดาห์แล้ว อยาก จะถามใครสักคน ว่าไชแอนน์อพยพไปอยู่ที่ใด หรือถูกต้อนไปที่ไหน ถึงบัดนี้ ไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าจะกล้าเปิดปากถามไถ่ ครุ่นคิดตรึกตรองกว่าครึ่งชั่วโมง เขาตัดสินใจชักม้าเดินเข้าไปในค่าย เดินม้าผ่านประตูปอ้ มในยามทีท่ หารสองนายใกล้จะปิดงับประตู ทหารสอง นายเหลือกตามอง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา เขาลงจากหลังม้า จูงโรสบัด 68


เข้าไปในโรงม้า กึ่งกลางทาง มีผู้มาดักขวางหน้า มิสชาร์ลอ็ ต เบวินหน้าตาแย้มยิม้ อารมณ์ด ี ผมบลอนด์ ใบหน้า เป็นมิตรเปิดเผย จมูกตกกระ และรอยยิ้มฉีกกว้าง เธอให้คุณลักษณ์ ข้อท้ายสุดต้อนรับเบน “ว่าไง?” อากาศร้อนเกินกว่าจะสวมหมวก เบนค้อมหัวทักทาย “คุณผู้หญิง” “คุณเป็นหนึ่งในอาสาสมัครมาช่วยงานหรือเปล่า?” ในฐานะเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ เธอเองเป็นนักศึกษาปริญญาเอก และร่วมโครงการนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม เข้าร่วมสัมภาษณ์อาสาสมัครทุกราย จนถึงการคัดเลือกตัว แต่ชายหนุ่มผู้นี้ เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน “คงเป็นเช่นนั้นครับ, คุณผู้หญิง” “คุณหมายความว่าคุณอยากจะร่วมกับโครงการของเรา?” “คงเป็นเช่นนั้น” “ผิดขัน้ ตอนไปหน่อยนะ คุณก็ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าทีท่ ผี่ า่ นการคัดเลือก ตัวเสียด้วย แต่ก็จวนมืดแล้ว ไม่เหมาะนักที่จะนอนค้างอ้างแรมกลางทุ่ง แพร์รี นอนกับเราในป้อมสักคืนก็แล้วกัน เอาม้าเข้าคอก ขอให้ฉันไปคุย กับผู้พันอิงเกิลส์เสียก่อน คุณจะแวะไปที่กองบัญชาการในอีกครึ่งชั่วโมง ได้ไหม?” เธอเดินตัดข้ามลานสวนสนามไปยังกองบัญชาการ เคาะประตูห้อง ศาสตราจารย์อิงเกิลส์ ในชุดพันตรี เสื้อสีน�้ำเงิน ผู้บัญชาการกองทหาร ม้าที่ 2 เงยหน้าจากกองเอกสาร “เชิญนั่ง, ชาร์ลี เด็กๆ เข้าที่พักเรียบร้อยหมดแล้วหรือ?” “ค่ะ, แต่เราก็มีอาสาสมัครเพิ่มมาอีกหนึ่ง” “อะไรนะ?” “ชายหนุม่ นัง่ ม้าเข้ามาในค่าย น่าจะสักยีส่ บิ เศษ ขีม่ า้ มาจากทุง่ แพร์รี 69


น่าจะเป็นอาสาสมัครท้องถิ่น อยากเข้ามาร่วมงานกับเรา” “ฉันไม่แน่ใจนักว่าเราจะรับเพิ่มอีกคนได้หรือไม่ งบประมาณของเรา ค่อนข้างจ�ำกัด” “เข้าใจค่ะ แต่หนุม่ คนนีม้ เี ครือ่ งไม้เครือ่ งมือติดตัวมาพร้อมสรรพ ม้า เสือ้ หนังกวาง ค่อนข้างจะมอมแมม เก่าคร�ำ่ คร่า มีแม้กระทัง่ ขนสัตว์หอ้ ย แขวนหลังอานม้า ดูท่าว่าจะเก็บรายละเอียดได้เข้าท่าทีเดียว” “เขาอยู่ที่ไหน?” “พาม้าเข้าคอกค่ะ ฉันบอกให้เขามารายงานตัวในอีกครึ่งชั่วโมง ฉัน คิดว่า อย่างน้อย ก็ให้ท่านได้พบพูดคุยด้วยเสียก่อน” “เอาเถอะ” เบนไม่มนี าฬิกา แต่จากการจมต�ำ่ ของดวงอาทิตย์ เขากะเวลาแม่นย�ำ คลาดเคลื่อนไม่ถึงห้านาที เสียงเชื้อเชิญหลังจากที่เขาเคาะประตู จอห์น อิงเกิลส์ กลัดกระดุมเสื้อนอก นั่งอยู่หลังโต๊ะท�ำงาน ชาร์ล็อต เบวิน ยืนอยู่ข้างๆ “ท่านต้องการพบผมหรือครับ, ผู้พัน?” ศาสตราจารย์แทบจะอ้าปากค้างไปกับความหมดจดสอดคล้องกับ ห้วงเวลาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้า หมวกขนจิ้งจอกถือกระชับในมือ ใบหน้ากร้านแดดลม ซื่อสัตย์ ตาสีฟ้าเปิดเผยสดใส ผมสีน�้ำตาลที่ไม่ได้ ตัดเล็มมานานหลายสัปดาห์ มัดรวบเป็นหางม้าด้วยเชือกหนัง ปอยผม ถักเปียรัดขนนกอินทรีห้อยเคลียพุ่มผม เสื้อหนังกวางฝีเข็มเย็บด้วยมือ เหมือนกับของจริงที่เคยเห็นมา “หนุ่มน้อย, ชาร์ลีบอกฉันว่าคุณต้องการมาร่วมงานกับเรา?” “แน่นอนครับ, ผู้พัน” ศาสตราจารย์ตัดสินใจทันที งบประมาณที่มีจ�ำกัด เจียดก้อนหนึ่งไว้ ส�ำรอง ‘เผือ่ เหตุสดุ วิสยั ’ ภาพทีเ่ ขามองเห็นเป็นเหตุสดุ วิสยั ทีค่ มุ้ ค่าใช้จา่ ย พันตรีอิงเกิลส์ดึงกระดาษแบบฟอร์มใบสมัคร ปากกาคอแร้งจุ่มลงไปใน 70


ขวดหมึก “เอาละ, ขอรายละเอียดส่วนตัวสักหน่อย...ชื่อ?” เบนชะงัก ไม่มีวี่แววในดวงตาว่าพันตรีผู้นี้จะจดจ�ำเขาได้ แต่ชื่อของ เขาอาจท�ำให้ผพู้ นั สะดุดหู แต่พนั ตรีผนู้ รี้ า่ งอวบอ้วน ใบหน้าซีดขาว น่าจะ เพิ่งเดินทางมาจากฝั่งตะวันออกมารับต�ำแหน่งที่ป้อมนี้ อาจไม่เคยทราบ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฤดูร้อนที่ผ่านมา “เครก, ครับผม เบน เครก” เขานิง่ รอคอย ไม่มอี าการใดบ่งบอกว่าผูพ้ นั จะชะงัก ปลายนิว้ อวบอ้วน เขียนชื่อลงไปว่า เบนจามิน เครก “ที่อยู่?” “ครับ?” “คุณอยู่ที่ไหน, หนุ่ม มาจากที่ไหน?” “ข้างนอกโน่นครับ” “ข้างนอกเป็นทุ่งแพร์รีและป่าดิบ” “ครับผม เกิดและเติบโตในภูเขา” “พระเจ้าช่วย...” ศาสตราจารย์เคยได้ยนิ เรือ่ งครอบครัวทีอ่ าศัยอยู่ ในเพิงไม้ในป่าเขา แต่ก็มักจะเป็นแถบเทือกเขาร็อกกี ในยูทาห์ ไวโอมิง หรือไอดาโฮ เขาเขียนลงไปว่า “ไม่มีที่อยู่แน่ชัด” “ชื่อบิดามารดา?” “ทั้งสองเสียชีวิตไปแล้ว ครับผม” “โอ, เสียใจด้วย” “ตายไปสิบห้าปีแล้ว” “แล้วใครเป็นผู้เลี้ยงดูคุณ?” “มิสเตอร์โดนัลด์สัน ครับผม” “อา...แล้วเขาอาศัยอยู่ที่...” “ตายไปเหมือนกัน โดนหมีตะปบ” 71


ศาสตราจารย์วางปากกาลง เขาไม่เคยได้ข่าวคนตายเพราะหมี แม้ นักท่องเที่ยวบางรายจะโง่พอจะเหวี่ยงขยะเกลื่อนกลาด แต่สาระจะอยู่ที่ ความรอบรู้เรื่องพงไพร เห็นได้ชัดว่าหนุ่มหน้าตาคมคายผู้นี้ไม่มีญาติมิตร “ญาติผู้ที่จะแจ้งข่าวได้?” “ครับ?” “คนที่จะติดต่อเผื่อมีเหตุ...เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน?” “ไม่มีใคร...ไม่มี” “วันเดือนปีเกิด?” “ปีห้าสอง ปลายเดือนธันวาคมกระมังครับ” “งั้นก็อายุเกือบยี่สิบห้าแล้วสินะ” “ครับผม” “หมายเลขประจ�ำตัวประกันสังคม?” เบน เครกจ้องตาค้าง ศาสตราจารย์ถอนหายใจยาว “ดูเหมือนว่าคุณจะหลุดลอดแหไปได้ เอาเถอะ, เซ็นซื่อที่นี่” ผูพ้ นั หมุนแผ่นกระดาษ เลือ่ นข้ามโต๊ะมาให้พร้อมปากกา เบนรับปาก กามาถือ แม้จะอ่านไม่ออกว่า ‘ลายเซ็นของผู้สมัคร’ แต่ช่องว่างก็เห็น ได้ชัด เขาค้อมตัวลง ขีดกากบาทลงในช่อง ศาสตราจารย์รับแบบฟอร์ม เงยหน้าจ้องมองตาค้าง “ไอ้หนู...ไอ้หนูเอ๋ย” เขายกแบบฟอร์มให้ชาร์ลีได้อ่าน เธอมองเห็น กากบาทในช่องลายเซ็น “ชาร์ลี ในฐานะที่คุณเป็นครู ฉันคิดว่าคุณมีภารกิจพิเศษเพิ่มอีกข้อ แล้วละ” เธอยิ้มกว้าง “ได้เลยค่ะ ผู้พัน ด้วยความเต็มใจยิ่ง” ชาร์ลีอายุสามสิบห้า เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว แต่ก็ไม่ราบรื่นนัก ไม่มีลูก เธอคิดว่าหนุ่มน้อยจากพงไพรผู้นี้ไร้เดียงสาไม่ต่างไปจากทารก 72


เขลา บริสุทธิ์ อ่อนต่อโลก เขาต้องการการปกป้องคุ้มครองจากเธอ “เอาละ...” พันตรีอิงเกิลส์กล่าวบอก “...เบน, ไปหาที่พักเสีย ก่อน ไปร่วมโต๊ะอาหารกับเราตอนเย็น” อาหารเลิศรส พรานน�ำทางหนุ่มคิดในใจ อาหารเหลือเฟือ ตักวาง บนจานดีบุกเคลือบ เขากินอาหารด้วยมีดโบวี ช้อน กวาดน�้ำเกรวีด้วย ก้อนขนมปัง สายตาทุกคู่ที่เหลือบแล กลัดด้วยอาการอมยิ้ม แต่เขาไม่ สังเกตเห็น ชายหนุ่มที่อยู่ร่วมห้องพักล้วนแต่เป็นมิตร หน้าใส ผิวขาวซีดไม่เคย โดนแดดโดนลม เบนคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่เพิ่งอพยพมาจากฝั่งตะวันออก แต่วันที่ผ่านมา ก็เหนื่อยสาหัส ไม่มีแสงให้อ่านหนังสือ เว้นแต่แสงเทียน ไม่นานก็เป่าดับ ทุกคนหลับใหลไปแทบจะทันที เบน เครกไม่เคยได้รับการสอนสั่งให้ยื่นจมูกเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่อง ราวของผู้อื่น แต่เขาประหลาดใจในหลายเรื่อง ชายหนุ่มกลุ่มนี้ท�ำงาน เป็นพรานน�ำทาง เป็นพรานดักสัตว์ เป็นคนฝึกม้า แต่ก็ดูเหมือนไม่รู้ เรือ่ งราวใดๆ ในงานอาชีพของตน แต่เมือ่ นึกได้ว่าทหารเกณฑ์หน้าใสของ นายพลคัสเตอร์ก็ขี่ม้าไม่เป็น ยิงปืนไม่ได้ ไม่รู้เรื่องราวของอินเดียนแดง ท้องทุ่งเลย เขาก็ลงความเห็นได้ว่า ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปมากนักจาก ช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่เขาใช้ชีวิตอยู่รวมกับไชแอนน์หรืออยู่โดดเดี่ยวตาม ล�ำพัง สองสัปดาห์แรกใช้ไปกับการเตรียมการ ฝึกซ้อมปรับตัวให้เข้ากับ บทบาทของแต่ละคน ก่อนที่คณะผู้มาเยือนจะเดินทางมาถึง ห้วงเวลานี้ จะต้องจัดระเบียบป้อมให้หมดจด ฝึกการด�ำเนินชีวติ ประจ�ำวัน เข้ารับฟัง ค�ำบรรยายจากพันตรีอิงเกิลส์ในลานสวนสนาม เบนไม่ทราบเรื่องนี้ รุ่งเช้า เขาออกเดินทางไปล่าสัตว์ ในตอนที่เดิน ม้าตัดข้ามลานสวนสนาม มุ่งหน้าไปยังประตูป้อม แบรด, คนฝึกม้าร้อง เรียกกลางทาง 73


“เฮ้ย, แกมีอะไรติดมือมาด้วย, เบน?” แบรดชีไ้ ปยังซองปืนยาวข้าง เข่าซ้ายของเบนด้านหน้าอาน “ไรเฟิล” เบนตอบ “ขอดูหน่อยซี ฉันบ้าปืนว่ะ” เบนลากไรเฟิลชาร์ปออกจากซอง ยื่นส่งให้ แบรดแทบเป็นบ้าด้วย ความลิงโลด “ยอดที่สุดเลยว่ะ ปืนโบราณยิงควาย ใช่ไหม?” “ชาร์ป ปีห้าสอง” “เยี่ยมไปเลย ฉันไม่รู้มาก่อนว่าเขาท�ำปืนจ�ำลองรุ่นนี้” แบรดยกปืนประทับบ่า เล็งไปยังระฆังเหนือประตูป้อม ระฆังที่จะ ลั่นเตือนภัยหากมีอินเดียนแดงโผล่มาให้เห็น เป็นสัญญาณเรียกตัวผู้ออก ท�ำงานนอกค่ายให้กลับเข้ามาสู่ที่ปลอดภัย แบรดเหนี่ยวไก ปากอ้าพร้อมจะเปล่งเสียง ‘เปี๊ยว’ แต่ไรเฟิลค�ำรามเลื่อนลั่นแทน เสียงพูด ร่างตีลงั กาพลิกม้วน หากกระสุนเจาะระฆังตรงๆ ก็คงฉีกให้แตก เป็นเสี่ยงๆ แต่กระสุนปะทะเฉียง แฉลบหายไปในอากาศ ระฆังส่งเสียง กังวาน ดังได้ยนิ ทัว่ ป้อม ผูพ้ นั อิงเกิลส์วงิ่ หน้าตืน่ ออกมาจากกองบัญชาการ “วะ, เกิดเรื่องอะไรกัน?” เขาเหลียวไปเห็นแบรดนั่งบนพื้นดิน ปืน ไรเฟิลในมือ “แบรด, คุณคิดว่าท�ำอะไรน่ะ” แบรดลุกขึน้ ให้คำ� อธิบาย ผูพ้ นั หันมามองเบนด้วยสายตาเศร้าสร้อย “เบน, ฉันลืมบอกไปว่าป้อมนีต้ รากฎไว้แล้วว่าจะไม่มอี าวุธปืนกระสุน จริง ฉันจะต้องเก็บไรเฟิลเข้าคลังแสง” “ไม่มีปืนหรือครับ, ผู้พัน?” “ไม่มีปืน ไม่มีปืนของจริง” “แล้วพวกซูส์ล่ะ?” “ซูส์? เท่าที่ฉันทราบ ซูส์อยู่ในนิคมอินเดียนแดงในนอร์ธดาโกตา และเซาธ์ดาโกตา” 74


“ผู้พันครับ พวกนั้นอาจหลบหนีออกมาได้” วินาทีนนั้ เองทีผ่ พู้ นั รับมุขได้ ใบหน้าของเขาสดใส เกลือ่ นด้วยรอยยิม้ “จริงว่ะ, อาจหลบหนีออกมาล่าสัตว์ในท้องทุ่ง...แต่ไม่ใช่ฤดูร้อน ปีนี้ เอาเถิด, ก่อนที่ซูส์จะมา ปืนกระบอกนี้จะต้องน�ำไปเก็บล่ามโซ่ไว้ ในคลังแสงเสียก่อน” วันที่สี่เป็นวันอาทิตย์ เจ้าหน้าที่ทุกคนไปสวดมนต์ในโบสถ์ ไม่มี บาทหลวง ผู้พันรับหน้าที่อ่านบทสวด กลางพิธีสวดมนต์ เขาเดินไปยัง แท่นเทศนา เตรียมอ่านบทสวดส�ำหรับสัปดาห์นี้ พระคัมภีร์เปิดอ้ากว้าง มีที่คั่นแทรกไว้ “บทสวดเตือนใจเราในวันนี้ ได้จากพระคัมภีร์อิชาห์ บทที่สิบเอ็ด เริ่มที่วรรคหก ศาสดาพยากรณ์ด�ำเนินไปในช่วงเวลาที่สันติสุขแห่งพระ ผู้เป็นเจ้ามาเยือนโลก “จิง้ จอกจะอาศัยอยูร่ ว่ มกับลูกแกะ เสือดาวนอนอิงไออุน่ ทารก สิงโต หนุ่มผยองอยู่ร่วมกับวัวอวบอ้วน ทารกน้อยจะเป็นผู้น�ำทาง “วัวและหมีจะกินอาหารอิ่มท้อง ลูกน้อยอาศัยร่วมกัน และ สิงโต...” ถึงจุดนี้ บาทหลวงอิงเกิลส์พลิกหน้ากระดาษ แต่กระดาษฟางข้าว ติดกันแน่น เมื่อแกะแยกจากกัน ตัวหนังสือเลอะเลือนจนอ่านไม่ออก บาทหลวงนิ่วหน้าในตอนที่เสียงชายหนุ่มดังขึ้นจากแถวที่สาม “...สิงโตจะกินฟางเหมือนวัว ทารกน้อยดูดดื่มนมจากถัน จะทอด กายนอนบนปากรูอสรพิษ ยื่นแหย่มือน้อยเข้าไปในรัง จะไม่มีผู้ใดได้รับ บาดเจ็บหรือเสียชีวติ ในภูเขาศักดิส์ ทิ ธิข์ องข้าฯ เพราะโลกจะได้สดับซับซาบ พระผู้เป็นเจ้า ดุจเดียวกับน�้ำเคลือบคลุมท้องทะล” นิ่งสงัดไปทั้งโบสถ์ ทุกคนอ้าปากค้าง สายตาทุกคู่จ้องจับอยู่ที่ชาย หนุ่มเสื้อหนังกวาง แขวนห้อยขนนกอินทรีในพุ่มผม จอห์น อิงเกิลส์ลาก ปลายนิ้วไปจนถึงตอนที่อ่านได้ความ 75


“ครบถ้วนทุกตัวอักษร บทเรียนสิ้นสุดเพียงเท่านี้” “ฉันไม่เข้าใจหนุม่ คนนีเ้ ลย” เขาหันไปกล่าวกับชาร์ลใี นห้องท�ำงาน ในตอนบ่าย “...อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ทอ่ งจ�ำพระคัมภีรท์ เี่ คยเรียน รู้ในวัยเด็กได้ยาวเหยียด...เขาเพี้ยนหรือว่าฉันบ้าไปแล้ว?” “ไม่ต้องกังวลค่ะท่าน ฉันคิดว่าฉันพอจะเดาได้รางๆ หนุ่มน้อยคนนี้ เกิดในป่าเขา เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต ก็มีผู้รับไปเลี้ยงดู อาจไม่มีการจดแจ้ง ตามกฎหมาย ชายโสดรับเด็กน้อยไปเลี้ยงเหมือนลูก นี่เองที่เป็นเหตุผล ว่าไม่ได้เข้ารับการศึกษาภาคบังคับ แต่กร็ อบรูใ้ นสามเรือ่ งราว...พระคัมภีร์ ที่แม่เคยสอน วิถีแห่งป่าดงพงไพร และประวัติศาสตร์ดินแดนตะวันตก” “รู้ได้ยังไง?” “พ่อเฒ่าทีท่ ำ� หน้าทีเ่ ลีย้ งดูเขา ตีเสียว่า อายุยนื ยาวสักแปดสิบ ซึง่ ก็ น่าเป็นเมือ่ สามปีทผี่ ่าน พ่อเฒ่าผูน้ จี้ ะเกิดตอนปลายของศตวรรษทีผ่ ่านมา ยุคนี้ ชีวติ ยังเรียบง่าย เขาน่าจะเล่าเรือ่ งราวทีเ่ คยพบเห็น หรือเรือ่ งราวที่ เคยได้ยินมา จากนิทานรอบกองไฟของพรานดักสัตว์” “แล้วหนุ่มคนนี้เล่นบทได้แนบเนียนเป็นที่สุด เขาจะมีอันตรายอะไร ไหม?” “ไม่มีแน่นอนค่ะ รับรองได้ เขาเพียงแค่ฝันเพ้อ หลอกตัวเองจน หลงเชื่อว่ามีสิทธิชอบธรรมที่จะดักสัตว์และล่าสัตว์ตามอ�ำเภอใจ เหมือน ในยุคโบราณ” “เล่นละคร?” “แน่นอนค่ะ...พวกเราทุกคนก็เช่นกัน ไม่ใช่หรือ?” ศาสตราจารย์ระเบิดเสียงหัวเราะ ฝ่ามือฟาดท่อนขา “จริงด้วย เรามาที่นี่เพื่อเล่นละครให้สมบทบาท เจ้าหนูคนนี้เล่นได้ แนบเนียนเป็นที่สุด” เธอลุกขึ้นยืน “เพราะเขาเชื่อโดยสัตย์จริง นั่นละที่ท�ำให้เล่นได้สมจริงที่สุด ปล่อย 76


ให้ เ ป็ น ภาระของฉั น เถอะค่ ะ ฉั น จะดู แ ลเองไม่ ใ ห้ มี ภั ย อั น ตรายอะไร กล�้ำกรายเขา...จะว่าไป ตอนนี้สาวน้อยสองนางเล่นหูเล่นตากับเขาแล้ว” ในเรือนพัก เบน เครกคิดว่าเพื่อนร่วมที่พักค่อนข้างประหลาด ใน ยามเข้านอน เปลื้องเสื้อผ้าสอดตัวเข้าผ้าห่ม ทุกคนจะสวมกางเกงฝ้าย ขาสั้น ในขณะที่เขาใช้กางเกงขนสัตว์ขายาว ล่วงมาอีกสัปดาห์ ความ แตกต่างกันเริ่มก่อปัญหา หนุ่มร่วมที่พักน�ำความไปบอกเล่าให้ชาร์ลีได้ รับทราบ ชาร์ลเี ดินตามหาเบน พบเขาผ่าฟืนด้วยขวานด้ามยาว ตัดต้นสนเป็น ท่อน ก่อนจะผ่าซีกเพื่อใช้เป็นฟืนโรงครัว “เบน, ขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหม?” “ได้ครับ, คุณผู้หญิง” “เรียกฉันว่า ชาร์ลีก็ได้” “ได้ครับ, ชาร์ลี, คุณผู้หญิง” “เบน...เคยอาบน�้ำบ้างไหม?” “อาบน�้ำ?” “หมายถึงการเปลื้องผ้า ขัดถูด้วยสบู่ทั่วทั้งตัว ไม่ใช่แค่ล้างมือล้าง หน้า” “เคยอยู่แล้วครับ, คุณผู้หญิง” “ดีจังที่ได้ทราบ...ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?” เบนนิ่งคิด พ่อเฒ่าโดนัลด์สันสอนว่าการอาบน�้ำเป็นประจ�ำเป็นเรื่อง ส�ำคัญ แต่ล�ำธารที่สายน�้ำเย็นเฉียบจากหิมะละลาย ไม่ชวนให้เสพติด การอาบน�้ำเท่าใดนัก “คราวที่แล้ว ก็เดือนก่อน” “สงสัยอยู่เหมือนกัน คุณคิดว่าจะท�ำซ�้ำได้อีกไหม...ตอนนี้เลย” อี ก สิ บ นาที ถั ด มา ชาร์ ลี ม องเห็ น เบนจู ง โรสบั ด ออกจากโรงม้ า พาดอานเรียบร้อย 77


“จะไปไหน, เบน?” “ไปอาบน�้ำ, ชาร์ลี คุณผู้หญิง เหมือนที่คุณบอก” “ที่ไหน?” “ที่ล�ำธาร จะไปที่ไหนได้?” เป็นประจ�ำทุกวัน เบนจะออกจากป้อม ไปท�ำธุระประจ�ำวันใน พงหญ้าสูงของทุ่งแพร์รี ล้างหน้า ล้างแขน และมือในรางน�้ำของม้า ฟันขาวสะอาดจากการขัดนับชั่วโมงด้วยกิ่งวิลโลว์ทุบปลายให้แผ่บาน เขา ขัดฟันบนหลังม้าในระหว่างเดินทาง “ผูกม้า ตามฉันมา” เธอเดินน�ำชายหนุ่มเข้าไปในคลังแสง ไขด้วยกุญแจคล้องติดเข็มขัด พาเขาเดินเข้าไปภายใน หลังราวปืนเป็นผนังห้อง กดปุ่มตาไม้กลายเป็น ประตูลับ เปิดเข้าสู่ห้องที่มีเครื่องสุขภัณฑ์ เบนเคยเห็นอ่างน�้ำร้อนมาก่อน ในช่วงสองปีที่เขาท�ำงานอยู่ในป้อม เอลลิส แต่อ่างอาบน�้ำท�ำจากไม้ อ่างทีเห็นต่อหน้าเป็นอ่างเหล็กเคลือบ เขาทราบดีว่าจะต้องต้มน�้ำจากโรงครัว ยกมาเทผสมกับน�้ำเย็น แต่ชาร์ลี บิดหมุนปุ่มโลหะที่ปลายอ่าง น�้ำร้อนควันฉุยไหลพรูเป็นสาย “เบน, ฉันจะกลับมาในอีกสองนาที วางเสื้อผ้าทุกชิ้น เว้นแต่เสื้อ หนังกวาง ไว้หน้าประตูห้อง ต้องเอาไปซัก “จากนั้นลงไปในอ่าง ขัดเนื้อตัวด้วยแปรงกับสบู่ ขัดให้สะอาด เลยนะ แล้วใช้ขวดนี้สระผม” เธอยื่นขวดสีเขียว ของเหลวในขวดเหมือนกลิ่นหน่อสน “ท้ายที่สุด ฉันอยากให้คุณแต่งตัวด้วยชุดชั้นในและเสื้อเชิ้ตที่หาได้ จากชั้นวางที่นี่ แต่งตัวเสร็จแล้ว ออกมาได้” เขาปฏิบตั ติ ามค�ำสัง่ อย่างเคร่งครัด ไม่เคยนอนแช่นำ�้ อุน่ ในอ่างมาก่อน ในชีวิต พบว่าสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็มีปัญหา ไม่รู้วิธีเปิดปิดก็อก เกือบท�ำให้น�้ำท่วมห้อง เมื่ออาบน�้ำเสร็จ สระผม ล้างจนสะอาด น�้ำใน 78


อ่างเป็นสีเทา เขาพบจุกอุดที่สะดืออ่าง ดึงจุกออก จ้องมองน�้ำสีเทาไหล กรูจนเกลี้ยงอ่าง เขาเลือกกางเกงชัน้ ในผ้าฝ้ายขาสัน้ เสือ้ ยืดสีขาว และเสือ้ ขนสัตว์ตา หมากรุกจากชั้นวาง ถัดเปียรัดขนนกอินทรี เดินออกจากห้องน�้ำ เธอรอ เขาอยู่ที่นั่น ในมือมีกรรไกรกับหวี “ฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็น่าจะพอใช้งานได้...นั่งลง” เธอตัดเล็มผมสีน�้ำตาลหยักสลวย ไม่เฉียดใกล้เปียผมขนนกอินทรี “นั่นไง ดูดีขึ้นเยอะ แล้วกลิ่นเนื้อตัวก็ดีขึ้นเยอะ” เธอวางเก้าอี้คืนกลับเข้าที่ ปิดห้องลับหลังราวปืน คาดว่าน่าจะได้ รับค�ำขอบคุณซาบซึ้งใจจากชายหนุ่ม แต่ก็พบเพียงเค้าหน้าเศร้าสร้อย หมองหม่น “ชาร์ลี, คุณผู้หญิง เดินไปกับผมสักหน่อยได้ไหมครับ?” “ได้อยู่แล้ว, เบน คิดอะไรในใจหรือ?” เธอแอบปลื้ ม ปี ติ ใ นใจ เธออาจได้ เ ค้ า เงื่ อ นที่ พ อจะเข้ า ใจหนุ ่ ม ประหลาดจากพงไพรผูน้ ไี้ ด้บา้ ง ทัง้ สองเดินผ่านประตูปอ้ ม เดินออกสูท่ อ้ ง ทุง่ ไปจนถึงริมธารน�ำ้ ชายหนุม่ เงียบขรึม ดูเหมือนตกอยูใ่ นภวังค์ความคิด เธอปิดปากแน่น กลั้นความสงสัย ธารน�้ำห่างจากป้อมราวหนึ่งไมล์ เดิน มาเกือบยี่สิบนาที ทุ่งแพร์รีให้กลิ่นหญ้าเฮย์พร้อมเก็บเกี่ยว หลายคราวที่ชายหนุ่มเงย หน้ามองเทือกไพรออร์ สูงทะมึนทางทิศใต้ “ดีเหลือเกินที่ได้ออกมาทุ่งโล่ง ได้เห็นเทือกเขา” “บ้านของผม” ชายหนุม่ ตอบรับ จมไปในความเงียบงันอีกครัง้ เมือ่ ถึงริมน�้ำ เขาทรุดตัวนั่งบนก้อนหิน เธอรวบชายประโปรงผ้าฝ้าย นั่งลง ตรงหน้าหนุ่มน้อย “มีอะไรหรือ, เบน?” “ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม, คุณผู้หญิง?” 79


“ชาร์ลีจ้ะ ถามได้อยู่แล้ว” “คุณคงไม่โกหกผม” “ไม่มีค�ำโกหก มีแต่ความสัตย์จริง” “ปีนี้ปีอะไรครับ?” เธอเบิกตาโพลง เธอคาดว่าจะได้ฟังปัญหาคับอก การปรับทุกข์ แก้ไขปัญหายุ่งยากในการปรับตัวเข้ากับเพื่อนพ้อง เธอเบิ่งตาค้าง จ้อง มองเข้าไปในตาสีฟ้าสดใส และอดสงสัยมิได้...เธออายุมากกว่าหนุ่มน้อย ผู้นี้สิบปี แต่... “ท�ำไมหรือ?, เบน ปีนี้ 1977” เธอคาดว่าจะได้รับการผงกศีรษะรับทราบเฉยเมย แต่นั่นมิใช่สิ่งที่ ได้เห็น หนุ่มน้อย ค้อมร่างจมลงไปในซอกเข่า มือปิดหน้า ไหล่สะท้าน เป็นระลอก เธอเคยเห็นบุรุษตัวโตร�่ำไห้เพียงครั้งเดียว นั่งข้างซากรถยนต์ริม ทางหลวงจากโบซแมนไปยังบิลลิงส์ เธอโน้มตัวไปหา วางมือบนหัวไหล่ ของชายหนุ่ม “มีอะไรหรือ, เบน? ปีนี้เป็นอะไร?” เบน เครกเคยพบพานความกลัวมาก่อน เคยเผชิญหน้าหมีกริซลีย์ เคยจ้องมองความตายเหนือเนินลิตเติลบิ๊กฮอร์น...แต่ไม่มีสิ่งใดเทียบทาน กับเรื่องนี้ “ผมเกิด...” เสียงของเขาตะกุกตะกักขาดห้วง “...ในปี 1852” เธอไม่ได้ประหลาดใจ เธอทราบดีว่าหนุ่มน้อยผู้นี้มีปัญหา เธอ สวมกอด ดึงร่างนั้นมาแนบอก มือลูบไล้พุ่มผม เธอเป็นหญิงสมัยใหม่ สตรีแห่งยุคสมัย เคยอ่านเรือ่ งราวเช่นนีผ้ า่ น ตามาแล้ว เด็กหนุม่ สาวโลกตะวันตกกว่าครึง่ หลงใหลเรือ่ งลีล้ บั ศาสตร์ไร้คำ� 80


อธิบายของโลกตะวันออก เธอทราบถึงเรือ่ งการกลับชาติมาเกิดใหม่ ทราบ ว่ามีหลายคนเชื่อจริงจัง เคยอ่านเรื่องคล้ายจะเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน เชื่อสนิทใจว่าเรื่องราวเช่นนี้เกิดที่ไหนมาก่อนแล้ว ในอดีตกาลนานโพ้น นี่เองกระมังที่เป็นปัญหาของหนุ่มผู้นี้ ภาพหลอนใจ หลอนจน เชื่อ ครบถ้วนตามค�ำบรรยายในต�ำราจิตวิทยา ซึง่ ก็มหี นทางช่วยเหลือ มี จิตแพทย์บ�ำบัดรักษาได้ “ไม่เป็นอะไรแล้ว, เบน” เธอพึมพ�ำบอก โยกตัวเขาไปมาเหมือน เด็กตัวเล็กๆ “ไม่เป็นไรแล้ว ทุกอย่างจะเรียบร้อย ถ้าคุณเชื่อว่าเป็น เช่นนั้นจริง ก็ไม่แปลก ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเราในป้อมได้ตลอดฤดูร้อน เราจะใช้ชีวิตเหมือนเมื่อครั้งร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ในฤดูใบไม้ร่วง คุณกลับ ไปที่เมืองโบซแมนพร้อมกับฉันก็ได้ ฉันจะหาคนช่วยเหลือดูแลคุณเอง ไม่มีปัญหาแล้ว, เบน วางใจฉันเถอะ” เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าฝ้ายออกจากแขนเสื้อ แตะซับน�้ำตาบน ใบหน้า สะท้อนใจไปกับไออุ่นในอก ผูกพันชิดเชื้อใคร่จะปกป้องเด็กหนุ่ม มีปัญหาจากพงไพรผู้นี้ ทั้งสองเดินกลับป้อมด้วยกัน เธอผ่อนคลายสบายใจที่ได้ทราบว่า ชุดชั้นในที่สวมใส่เป็นของยุคใหม่ มีเวชภัณฑ์ยุคใหม่รอพร้อมให้หยิบฉวย มาใช้หากเกิดบาดแผล ฟกช�้ำหรือป่วยไข้ อุ่นใจที่ได้ทราบว่าโรงพยาบาล บิลลิงส์เมมโมเรียลอยู่ห่างออกไปไม่กี่นาทีโดยเฮลิคอปเตอร์ ชาร์ลี เบวิน เริ่มรู้สึกคุ้นเคยสุขใจไปกับชุดผ้าฝ้ายที่สวมใส่ และวิถีชีวิตเรียบง่ายในป้อม ดินแดนบุกเบิกเมื่อร้อยปีก่อน ถึงขณะนี้ เธอทราบแล้วว่าวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอกอยู่ในก�ำมือแล้ว การบรรยายของพันตรีอิงเกิลส์ เป็นภาคบังคับที่ทุกคนต้องรับฟัง เนื่องจากอากาศร้อนอบอ้าว ผู้พันจัดการบรรยายในลานสวนสนาม นั ก ศึ ก ษานั่ ง ม้ า ยาวเป็ น แถว เมื่ อ ใดที่ ยื น อยู ่ ห ลั ง แท่ น พู ด มี ภ าพ ประวัติศาสตร์ในมือ และเริ่มบรรยายความเป็นมาในดินแดนตะวันตกยุค 81


โบราณ ผู้พันอิงเกิลส์เปล่งประกายสดใสทันควัน การบรรยายวันที่สิบ เล่ามาถึงสงครามในท้องทุ่ง ด้านหลังของ ผู้พันมีกระดานใหญ่ ติดรูปถ่ายของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง เบน เครก พบว่าตนเองเบิ่งตาจ้องมองรูปถ่ายของซิตติงบูล ถ่ายไว้ในบั้นปลายชีวิต พ่อมดศักดิ์สิทธิ์เดินทางไปหลบภัยในแคนาดา ก่อนจะย้อนกลับมา พา ผู้คนในเผ่า ยอมจ�ำนนในอุ้งมือของกองทัพบกสหรัฐฯ ภาพบนกระดาน ถ่ายไว้ไม่นานก่อนซิตติงบูลจะถูกฆาตกรรม “ที่ประหลาดที่สุด จะเป็นหัวหน้าเผ่าโอกลาลา...เครซีฮอร์ส” เสียงศาสตราจารย์บรรยาย “...เขาไม่ยอมถ่ายรูป โดยเกรงไปว่ากล้อง ถ่ายรูปจะดูดวิญญาณเขาไป ดังนั้น เขาจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีรูปถ่าย ไว้เป็นหลักฐาน เราไม่มีทางทราบได้แล้วว่าหน้าตาหัวหน้าเผ่าผู้ยิ่งใหญ่ คนนี้เป็นอย่างไร” เบน เครกอ้าปากจะพูด แต่ก็หุบปากลง ในการบรรยายอีกหน ศาสตราจารย์เล่าถึงรายละเอียดของการรบ บนเนินลิตเติลบิ๊กฮอร์น เบนเพิ่งได้ทราบชะตากรรมของพันตรีเรโนและ ทหารสามกองร้อย ทราบว่าผู้กองเบ็นทีนยกก�ำลังมาสมทบบนเนิน ถูก ปิดล้อมอยู่บนนั้น เขาอดดีใจมิได้ที่ทหารม้าได้รับความช่วยเหลือจากนาย พลเทอร์รี การบรรยายครั้ ง ท้ า ยสุ ด ศาสตราจารย์ ส รุ ป การกวาดต้ อ น อินเดียนแดงไชแอนน์และซูสท์ กี่ ระจัดกระจายทัว่ ท้องทุง่ กลับไปอยูใ่ นนิคม อินเดียนแดงในปี 1877 ในตอนที่พันตรีอิงเกิลส์สอบถามว่าใครมีค�ำถาม ใดหรือไม่ เบนยกมือ “มีอะไรหรือ, เบน?” ศาสตราจารย์ปีติเป็นที่สุดที่คนที่ไม่ผ่านการ เรียนแม้ระดับประถม มีความสนใจจนถึงขั้นตั้งค�ำถาม “ผู้พันครับ มีการกล่าวถึงหัวหน้าหมู่บ้านไชแอนน์ชื่อ ทอลล์เอลก์ บ้างไหม? หรือนักรบที่มีชื่อว่า วอล์กกิงอาวล์” 82


ศาสตราจารย์ขมวดคิ้ว ตาลอย เขามีเอกสารประวัติศาสตร์ที่คณะ มากพอจะเติมรถบรรทุกจนเต็มได้ทงั้ คัน รายละเอียดเกือบทุกเรือ่ งบันทึกไว้ ในหัวสมอง คาดว่าน่าจะได้รบั ค�ำถามทีง่ า่ ยกว่านี้ ผูพ้ นั เค้นสมองหาค�ำตอบ “ไม่...ไม่นะ ไม่มผี ใู้ ดทราบ ไม่มอี นิ เดียนแดงท้องทุง่ คนไหนกล่าวถึง เรื่องนี้จนบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ท�ำไมยกเรื่องนี้มาถาม?” “ผมทราบมาว่าทอลล์เอลก์แยกตัวจากเผ่าใหญ่ แยกกระจายกันไป เพื่อไม่ให้ทหารของนายพลเทอร์รีตามตัวได้ง่ายนัก เขาพาผู้คนในหมู่บ้าน ไปพักผ่านฤดูหนาวในเทือกเขาไพรออร์” “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อน หากเขาท�ำเช่นนั้นจริง ทหารม้าก็ คงพบตัวในฤดูใบไม้ผลิ คุณน่าจะไปถามทีเ่ ลมเดียร์ กองอ�ำนวยการของ นิคมไชแอนน์เหนือ คงมีใครที่วิทยาลัยดัลล์ไนฟ์เมมโมเรียลทราบเรื่องนี้” เบนท่องจ�ำชือ่ นีไ้ ว้ขนึ้ ใจ เมือ่ ถึงฤดูใบไม้รว่ ง เขาจะเดินทางไปยังเลม เดียร์ ไม่ว่าเมืองนั้นจะอยู่ที่ไหน จะต้องสอบถามจนได้ความ ผู้มาเยือนคณะแรกเดินทางมาถึงในวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังจากนั้น ก็มีคณะผู้มาเยือนไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนใหญ่เดินทางมาโดยรถประจ�ำทาง บ้างก็มาด้วยรถยนต์ส่วนตัว คณะผู้มาเยือน มีครูดูแล หรือไม่ก็เป็นพ่อ แม่ รถจะจอดทิง้ ไว้หา่ งจากป้อมให้พน้ ตาราวครึง่ ไมล์ ผูม้ าเยือนจะมีเกวียน มุงหลังคาไปรับ เดินทางต่อมายังป้อมเฮอริเทจ ข้อก�ำหนดสุดพิเศษของ พันตรีอิงเกิลส์ ปรับอารมณ์ให้สอดคล้องกับยุคสมัย ได้ผลดัง่ คาด ผูม้ าเยือนส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน โปรดปรานการนัง่ เกวียนโบราณ ให้ความรูส้ กึ ตืน่ ตาตืน่ ใจ สองร้อยหลาสุดท้ายก่อนถึงประตู ป้อม เด็กๆ คิดว่าตนเองเป็นผู้บุกเบิกดินแดนตะวันตกไปแล้ว เด็กวิ่ง กรูเกรียวออกจากเกวียน เสียงพูดคุยหัวเราะเซ็งแซ่ เบนได้รับมอบหมายให้ท�ำหนังสัตว์ ขึงหนังตากแดด โรยเกลือ ขูด หนังให้นุ่ม เตรียมไว้เพื่อการฟอกหนังในขั้นถัดไป ทหารเดินสวนสนาม ช่างเหล็กสูบลมเป่าไฟแดงฉาน สตรีในชุดผ้าฝ้ายซักผ้าในอ่างไม้ขนาดใหญ่ 83


พันตรีอิงเกิลส์เดินน�ำขบวน บรรยายถึงงานแต่ละอย่างว่ามีความจ�ำเป็น อย่างไรต่อชีวิตประจ�ำวันในดินแดนรกร้าง นักศึกษาอินเดียนแดงสองคน เล่นบทเป็นพรานน�ำทางและแมวมอง อาศัยอยูใ่ นป้อมค่าย รอพร้อมให้ทหารม้าเรียกตัวในยามทีอ่ นิ เดียนแดงป่า เถื่อนจะบุกเข้ามาโจมตีป้อม อินเดียนแดงสวมกางเกงผ้าฝ้าย เสื้อทหาร สีน�้ำเงิน มีผ้าคาดเอว สวมวิกยาวสยายคลุมไหล่ใต้หมวกทรงกระบอก กิจกรรมที่เด็กโปรดที่สุด จะเป็นโรงเหล็กและการขูดหนังของเบน “คุณล่าเองหรือครับ?” เด็กนักเรียนคนหนึ่งจากเฮเลนายื่นหน้า มาถาม “อือ” “มีใบอนุญาตให้ล่าหรือเปล่า?” “หือ?” “ท�ำไมคุณถึงมีขนนกผูกเส้นผมในเมื่อคุณไม่ได้เป็นอินเดียนแดง?” “ไชแอนน์มอบให้” “เพราะอะไร?” “จากการยิงหมีกริซลีย์” “นิทานน่าฟังทีเดียว” คุณครูดูแลคณะนักเรียนสนองรับ “ไม่จริงหรอก” เจ้าหนูแย้ง “...เขาก็เป็นนักแสดงเหมือนคน อื่นๆ” ทุกคราวทีเ่ กวียนน�ำผูม้ าเยือนเดินทางมาถึง เบนจะเขม้นมอง มองหา ผมยาวสลวยด�ำขลับเหมือนขนกาน�ำ้ ดวงตากลมโต และเสีย้ วหน้าคมคาย แต่เธอก็ไม่มา กรกฎาคมเคลื่อนผ่านมาถึงสิงหาคม เบนขออนุญาตเข้าป่าสามวัน เขาออกจากป้อมก่อนรุ่งสาง ในเทือก เขา เขาพบเชอร์รโี ฮเสจ เขาดึงขวาน ยืมมาจากโรงเหล็ก ตัดไม้ หลาและ เกลาจนเป็นคันธนู ต้องใช้เชือกจากป้อม เพราะไม่มีเอ็นสัตว์ ลูกศรท�ำจากไม้แอช หน่ออ่อนเหยียดตรง หางลูกศรดึงจากก้น 84


ไก่งวง ริมธารน�้ำ เขาเสาะหาแหล่งหินเหล็กไฟ ทุบสะกัดจนกลายเป็น หัวลูกศร ทั้งไชแอนน์และซูส์จะใช้หัวลูกศรหินเหล็กไฟ หรือไม่ก็หัวโลหะ เสียบเข้าปลายลูกศร รัดให้แน่นด้วยเชือกหนังเส้นละเอียด หัวลูกศรสองชนิด ผู้ตระเวนท้องทุ่งกลัวหัวลูกศรหินเหล็กไฟที่สุด หัวลูกศรโลหะพอจะกรีดเนื้อให้พ้นเงี่ยง ดึงลูกศรออกมาได้ แต่หัวลูกศร หินเหล็กจะแตกกระจาย ฝังลึกในเนื้อ จะน�ำออกมาได้ ก็ต้องผ่าตัดด้วย ยาสลบ กรีดทีละแผล เก็บออกทีละชิน้ เบนทุบหัวลูกศรหินเหล็กไฟสีอ่ นั เช้าวันที่สาม เขายิงกวางด้วยธนู ในตอนทีเ่ ขาชักม้าเข้าค่าย กวางพาดบนอาน ลูกศรยังปักกลางหัวใจ เขาน�ำกวางไปยังโรงครัว ผูกโยง คว้านเครื่องใน ลอกหนังและมอบเนื้อ กวางสดๆ หกสิบปอนด์ให้พ่อครัว ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของคนเมือง ที่มายืนล้อมดู “ฝีมือการท�ำครัวของผมแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?” พ่อครัวโอดครวญ “ไม่ใช่เช่นนั้น ผมชอบพายเนยแข็งที่มีเกล็ดสีโรยหน้า” “เขาเรียกกันว่า พิซซา” “ผมคิดว่า เราน่าจะกินเนื้อสดกันบ้าง” ในระหว่างที่พรานน�ำทางล้างมือและท่อนแขนในรางน�้ำม้า พ่อครัว น�ำเอาลูกศรเปื้อนเลือด เดินตรงไปยังกองบัญชาการ “โบราณวัตถุสวยงาม” ศาตราจารย์อิงเกิลส์กล่าวชม พลิกหมุน ลูกศรในมือ “เคยเห็นในพิพิธภัณฑ์ แม่นย�ำในรายละเอียดถึงขนไก่งวง ระบุได้ชัดว่าเป็นฝีมือไชแอนน์ เขาได้มาจากที่ไหน?” “เขาบอกว่าท�ำเอง” พ่อครัวตอบ “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครทุบหัวลูกศรแบบนี้ได้กันอีกแล้ว” “เขามีสี่ดอก...” พ่อครัวกล่าวบอก “...แล้วลูกศรดอกนี้ปักหัวใจ กวาง คืนนี้ ผมจะปรุงเนื้อกวาง” เจ้าหน้าทีป่ ระจ�ำป้อม ล้อมวงรอบบาร์บคี วิ นอกก�ำแพงป้อม ทุกคน 85


กินอิ่ม เนื้ออร่อย พันตรีอิงเกิลส์มองข้ามกองไฟ จับตามองเบน เครก เฉือนเนื้อย่าง ด้วยมีดโบวีคมกริบ เขาย้อนนึกไปถึงค�ำรับรองของชาร์ลวี า่ หนุม่ น้อยผูน้ ไี้ ม่มี พิษภัย บัดนี้ เขาไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้ว จะเป็นไปได้ไหมว่าชายแปลกหน้า ผู้นี้จะเสียสติบ้าคลั่งกลายเป็นตัวอันตราย? เขาสังเกตเห็นนักศึกษาสาว สี่นาง กระเพื่อมเข้าหา พยายามดึงดูดความสนใจของหนุ่มหน้าซื่อ แต่ ดูเหมือนว่าความคิดของหนุ่มน้อยล่องลอยไปที่ไกลโพ้นจนไม่สังเกตเห็น กลางเดือนนั้น หมาด�ำแห่งความหดหู่สิ้นหวังเกาะกุมใจของเบน เครก ส่วนหนึง่ ยังเหลือความเชือ่ มัน่ ว่าวิญญาณทุกหนแห่งไม่โกหกเขาเป็น แน่ เป็นไปได้หรือไม่วา่ หญิงทีเ่ ขารักจะต้องค�ำสาปของชีวติ สิน้ ชีวติ ปลิดปลง ไปแล้ว? ไม่มผี ใู้ ดในป้อมทราบว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว หากสิน้ ฤดูรอ้ น นี้เขาไม่พบผู้เป็นที่รัก ดั่งระบุไว้ด้วยด�ำรัสยืนยันของวิญญาณทุกหนแห่ง เขาจะเดินม้าย้อนกลับไปในเทือกเขารกชัฏ ปลิดชีวิตตนเอง ปลดปล่อย วิญญาณให้เดินทางไปร่วมอยู่กับเธอในชาติภพหน้า อีกสัปดาห์ตอ่ มา เกวียนสองเล่มคลานเอียดออดเข้ามาในป้อม คนขับ ดึงบังเหียนหยุดม้าเหงื่อโซมตัว เด็กนักเรียนกรูเกรียวออกจากเกวียน เขา สอดมีดคืนฝัก หลังจากลับคมกับหิน เดินตรงไปหาเกวียน ครูนักเรียน ประถมหันหลังให้ ผมด�ำสลวยยาวประบ่า เธอหันหน้ามามอง เด็กสาวญี่ปุ่นอเมริกัน ใบหน้ากลมแป้น พราน น�ำทางเดินผละจากไป ความแค้นเคืองประจุอัดแน่นเต็มอก เขาหยุดเท้า กลางลาน ก�ำปั้นชูสูงสู่ท้องฟ้า “ท่านโกหกข้าฯ เมห์-อิ-ยาห์...ท่านโกหกข้าฯ พ่อเฒ่า ท่านบอก ข้าฯ ให้รอคอย แต่ท่านก็ถีบข้าฯ กระเด็นอยู่ในป่ารกร้าง ผลักไสให้อยู่ นอกวงมนุษย์และพระผู้เป็นเจ้า” ทุกคนในลานสวนสนามชะงักเท้า หันมามองเป็นตาเดียว เบือ้ งหน้า ของเขา พรานน�ำทางหนุ่มอินเดียนแดง เดินจากไป อินเดียนแดงผู้นี้ 86


ชะงักเท้าเช่นกัน ใบหน้าที่เหลียวกลับมาเป็นใบหน้าเหี่ยวย่น กร้านแดดลมเหมือน วอลนัตย่างไฟไหม้เกรียม เค้าหน้าโบราณเหมือนชั้นหินในเทือกแบร์ทูธ ใบหน้าในกรอบของเส้นผมขาวโพลน สายตาเพ่งจ้องมองใต้หมวกทรง กระบอก ประกายตาสดใสเจิดจ้าเจือด้วยความเศร้าชัว่ นิรนั ดร์ อินเดียนแดง ผู้นั้นส่ายหัวไปมาเชื่องช้า เงยหน้ามองข้ามหัวไหล่ของพรานน�ำทางหนุ่ม ผงกศีรษะเชื่องไปในทิศทางนั้น เบน เครกเหลียวหลัง ไม่พบอะไร หันกลับมาอีกครั้ง พบใบหน้า อ่อนใสของไบรอัน เฮฟวีชีลด์ ใต้หมวกทรงกระบอก นักศึกษาหนุ่มเชื้อ สายอินเดียนแดง ผูเ้ ล่นบทพรานน�ำทาง เหม่อมองเขาด้วยอาการตืน่ ตะลึง ประหนึ่งว่าเขาเสียสติไปแล้ว ไบรอันหมุนตัวเดินจาก เกวียนเล่มที่สองเคลื่อนมาถึงประตูป้อม นักเรียนกระโดดลงจาก เกวียน แย่งกันมาจูงมือครูผู้สวมกางเกงยีน เสื้อลายหมากรุกและหมวก เบสบอล เธอวุน่ อยูก่ บั การแยกเด็กออกจากกัน ยกแขนเสือ้ เช็ดหน้าผาก ท่อนแขนปัดหมวกเบสบอลหลุดหล่น พุ่มผมสีด�ำมันวาวเหมือนขนกาน�้ำ คลีส่ ยายลงมาถึงบัน้ เอว เธอรับรูก้ ารเพ่งจ้อง หันขวับมาหา ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสีด�ำกลมโต...ลมกระซิบ เขาตัวแข็งค้าง ปากไม่อาจอ้า เขาทราบดีว่าควรพูดอะไรสักอย่าง เดินตรงไปหาเธอ พูดจาทักทาย แต่ก็ขยับตัวไม่ได้ มีเพียงสายตาเบิ่งจ้อง ค้าง เธออับอาย หน้าแดง หลบตามองพื้น กวาดต้อนเด็กนักเรียนเดิน ออกจากที่ อีกชัว่ โมงถัดมา เธอพาคณะนักเรียนมายังโรงม้า น�ำขบวนโดย ชาร์ลี เบนใช้แปรงขัดโรสบัด เขาทราบดีว่าเธอจะต้องมา โรงม้าเป็นหนึ่ง ในกิจกรรมที่นักเรียนต้องมาชม “เราให้มา้ พักทีน่ ี่ ส่วนหนึง่ จะเป็นม้าของทหารม้า ทีเ่ หลือเป็นม้าของ พรานป่าทีอ่ าศัยอยูใ่ นป้อมหรือเดินทางผ่านมา เบนดูแลม้าของเขา ชือ่ ว่า โรสบัด เบนเป็นพรานป่าล่าสัตว์ พรานดักสัตว์ พรานน�ำทาง และคน 87


ภูเขา” “อยากเห็นม้าทั้งหมด” เด็กนักเรียนร้องเสียงแหลม “ได้เลย, ที่รัก เราจะไปดูม้ากัน แต่ระวังสักหน่อย อย่าเข้าไปใกล้ กีบม้า เผือ่ ม้าเตะ” ชาร์ลตี อบ เดินน�ำนักเรียนลึกเข้าไปในโรงม้า เหลือ เพียงเบนกับหญิงสาวยืนประจันหน้ากัน “ต้องขออภัย, คุณผู้หญิง” เบอก “ข้าฯ ชื่อเบน เครก” “สวัสดีค่ะ ลินดา พิกเก็ตต์” เธอยื่นมือ เขาสัมผัสมือ มืออุ่น นิ้วเรียวเล็ก เหมือนที่เขาจ�ำได้ “ขอถามอะไรสักอย่าง, คุณผู้หญิง” “คุณเรียกทุกคนว่าคุณผู้หญิงเสมอหรือ?” “คงเป็นเช่นนั้น ได้รับการสอนสั่งมาเช่นนั้น ผิดด้วยหรือ?” “เป็นทางการไปนิด เหมือนอดีตโบราณ ต้องการถามอะไรหรือ?” “ท่านจ�ำข้าฯ ได้ไหม?” หัวคิ้วของเธอขมวดมุ่น “ไม่น่านะ เราเคยพบกันหรือ?” “ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” เธอหัวเราะ เสียงสดใสเหมือนทีเ่ ขาเคยได้ยนิ รอบแคมป์ไฟในหมูบ่ า้ น ของทอลล์เอลก์ “ตอนนั้น ฉันก็คงเป็นเด็กทารก พบกันที่ไหน?” “ตามมา ข้าฯ มีอะไรให้ดู” เขาเดินน�ำหญิงสาวงุนงงออกไปนอกป้อม ยอดเขาของเทือกไพรออร์ แทงเสียดฟ้าทางทิศใต้ “ท่านทราบไหมว่าที่นั่นเรียกว่าอย่างไร?” “เทือกแบร์ทูธ?” “ไม่ใช่, เทือกนั้นอยู่ทางตะวันตก ทางใต้เป็นเทือกไพรออร์ ที่นั่น... ที่เรารู้จักกัน” 88


“แต่ฉนั ไม่เคยไปทีน่ นั่ เลย พีช่ ายเคยพาไปเดินป่า แต่ไม่เคยไปทีน่ นั่ ” เขาหันกลับมามองใบหน้าผู้เป็นที่รักเต็มตา “ท่านเป็นครูสินะ?” “ใช่ค่ะ, สอนในบิลลิงส์ ท�ำไมหรือ?” “ท่านจะกลับมาที่นี่อีกได้ไหม?” “ไม่รู้ซี น่าจะมีคณะนักเรียนมาเยี่ยมชมที่นี่ ฉันอาจได้คุมนักเรียน มาอีกครั้ง ท�ำไมหรือ?” “ข้าฯ อยากให้ท่านมาที่นี่อีก ได้โปรด จะต้องพบท่านอีก รับปาก ว่าท่านจะกลับมา” มิสพิกเก็ตต์หน้าแดงเรือ่ หน้าหวานสวยซึง้ ชาชินกับการเกีย้ วพาราสี ปกติแล้ว เธอบอกปัดด้วยเสียงหัวเราะ แย้มยิม้ หากไม่ทำ� ร้ายความรูส้ กึ ของ อีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มผู้นี้แปลกพิกล ไม่มีการเยินยอ ไม่มียิ้มหื่นกระหาย เค้าหน้าทีเ่ ธอเห็นไร้เดียงสา เอาจริงเอาจัง เธอจ้องมองตาสีฟา้ ใสสดจริงจัง เปิดเผย ไอร้อนแล่นวูบวาบในอก ชาร์ลีเดินน�ำขบวนนักเรียนออกมา “ไม่รู้ซี ขอคิดดูก่อน” อีกชั่วโมงถัดมา เธอกับคณะนักเรียนเดินทางจากไป ผ่านไปอีกสัปดาห์ เธอหวนกลับมาอีกครั้ง เพื่อนครูต้องไปเฝ้าไข้ กะทันหัน ไม่มีครูดูแลคณะนักเรียน เธอรับอาสา วันนั้นอากาศอบอ้าว เธอสวมชุดกระโปรงผ้าฝ้าย เบนขอให้ชาร์ลีตรวจรายการผู้มาเยือน กลุ่มนักเรียนที่จะมาชมป้อม “เหล่ใครไว้หรือ, เบน?” ชาร์ลีถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เธอไม่ผิด หวัง หากหนุ่มตาสีฟ้าผู้นี้สนใจหญิงฉลาดสักคน ก็น่าจะช่วยฟื้นฟูสภาพ จิตใจให้กลับมายังโลกความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น เธอปีติเป็นที่สุดที่เห็นความ ก้าวหน้าในการอ่านเขียนของเบน เธอหาหนังสือเบือ้ งต้นมาให้เขา สอนให้ อ่านเรียงค�ำ ในฤดูใบไม้ร่วง เธอคงพอจะหาที่พักในเมืองให้เขา อาจเป็น งานเสมียนหรือบริกรในร้านอาหารในระหว่างทีเ่ ธอท�ำวิทยานิพนธ์ รายงาน 89


ความคืบหน้าของพรานไพรหลงยุค ปรับตัวฟื้นคืนจากยุคประวัติศาสตร์ กลับมายังโลกปัจจุบัน เขารอคอยในยามทีเ่ กวียนปล่อยให้เด็กนักเรียนหลัง่ ไหลออกมาพร้อม กับครูดูแลกลุ่ม “เดินกับข้าฯ ได้ไหม, มิสลินดา?” “เดิน? ไปที่ไหน?” “ไปกลางทุ่ง เราจะได้คุยกัน” เธอประท้วงว่าเด็กนักเรียนไม่มผี ดู้ แู ล แต่เพือ่ นครูวยั กลางคนขยิบตา ให้ กระซิบบอกว่าเธอจะใช้เวลากับหนุ่มผู้ชื่นชมเธอก็ได้หากใจปรารถนา เธอปรารถนาจะท�ำเช่นนั้น สองหนุม่ สาวเดินออกจากป้อม ไปถึงดงหินใต้รม่ ไม้ใหญ่ ดูเหมือนว่า ลิ้นเขาพองคับปาก ไม่อาจส่งเสียงออกมาได้ “คุณมาจากที่ไหน, เบน?” เธอสอบถาม ตระหนักถึงความขี้อาย ของเขา อดชื่นชอบในใจมิได้ เขาพยักหน้าไปทางเทือกเขา “คุณเกิดและโตมาในเทือกเขา อย่างนั้นหรือ?” อีกครั้งที่เขาพยัก หน้ารับ “ไปเรียนหนังสือที่ไหน?” “ไม่เคยเรียน” เธอพยายามท�ำความเข้าใจ ช่วงวัยเด็กเกิดและเติบใหญ่ไปกับการ ล่าสัตว์และดักสัตว์ ไม่เคยไปเรียนหนังสือ...พิลึกพิลั่นสิ้นดี “ชีวิตในเทือกเขาน่าจะเงียบสงัด ไม่มีการจราจรขวักไขว่ ไม่มีวิทยุ ไม่มีโทรทัศน์” เขาไม่ทราบว่าเธอพูดถึงเรื่องใด แต่ก็น่าจะเสียงเซ็งแซ่ นอกเหนือ ไปจากเสียงลมส่ายใบไม้ไหวและเสียงนกร้องขับขาน “นัน่ เป็นเสียงแห่งอิสรภาพ” เขากล่าวตอบ “...บอกข้าฯ, มิสลินดา ท่านเคยได้ยินเรื่องไชแอนน์ทางตอนเหนือบ้างไหม?” 90


เธอประหลาดใจ แต่ก็โล่งใจที่เปลี่ยนเรื่องไปเสียได้ “เคยอยู่แล้ว ยายทวดของฉันเป็นหญิงไชแอนน์” เขาหันขวับมาจ้องหน้าเธอ ขนนกอินทรีเต้นระริกในลมร้อนอบอ้าว ตาสีฟ้าเพ่งจ้องมองเธอแน่วนิ่ง ประกายตาวิงวอน “เล่าเรื่องของเธอให้ฟัง, ได้โปรด” ลินดา พิกเก็ตต์ยงั จ�ำได้วา่ คุณยายเคยเอารูปถ่ายโบราณมาให้ดู บอก ว่าเป็นยายทวด แม้จะเป็นวัยบั้นปลายชีวิต ดวงตากลมโต โหนกแก้มสูง จมูกโด่งเป็นสัน ก็ยืนยันได้ว่าเมื่อครั้งยังเป็นสาวรุ่น ยายทวดน่าจะหน้า หวานงามซึ้ง ลินดาบอกเล่าเรื่องเท่าที่เธอทราบ ถ่ายทอดเรื่องราวที่เธอ ได้รับฟังมาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เรื่องเล่าจากปากคุณยาย สตรีไชแอนน์ผู้นั้นแต่งงานกับนักรบอินเดียนแดง ได้ลูกชาย แต่ อหิวาตกโรคระบาดในนิคมอินเดียนแดงปี 1880 คร่าชีวิตสองพ่อลูก สองปีถดั มา เธอแต่งงานใหม่กบั บาทหลวงดินแดนตะวันตก หักหาญเสียง คัดค้านเซ็งแซ่จากชุมชนผิวขาว บาทหลวงเชือ้ สายสวีเดน ร่างยักษ์ผมทอง ได้ทายาทลูกสาวสามนาง คนสุดท้องคือ ยายของลินดา พิกเก็ตต์ ลืมตา ดูโลกในปี 1890 ยายแต่งงานกับคนขาว ได้ลูกชายหนึ่งลูกสาวสอง ลูกสาวคนเล็ก เกิดในปี 1925, แมรี เมื่อเติบใหญ่อยู่ในช่วงวัยรุ่น เดินทางมาตะวันตก มายังเมืองบิลลิงส์ ได้งานเสมียนในธนาคารกสิกร ชายผูน้ งั่ ท�ำงานข้างเธอในคอกเสมียน เป็นหนุม่ เอางานเอาการ เปีย่ ม ด้วยความรับผิดชอบ ชือ่ ไมเคิล พิกเก็ตต์ ทัง้ สองแต่งงานกันในปี 1945 บิดาของลินดาไม่ได้ไปร่วมรบในสงครามเพราะสายตาสั้น ลินดามีพี่ชาย ร่างยักษ์ผมทองสี่คน คนสุดท้อง, ลินดา เกิดในปี 1959 อายุของเธอ เพิ่งย่างสิบแปดปี “ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าท�ำไมเกิดมาตาด�ำผมด�ำ ไม่เหมือนพ่อเหมือน แม่ ไม่เหมือนพี่ชาย มีเพียงเท่านี้ เอาเรื่องของคุณบ้าง” 91


พรานน�ำทางหนุ่มไม่รับค�ำเชิญ “ท่านมีรอยแผลเป็นที่ต้นขาขวา” “ปานแดง... คุณรู้ได้ยังไง?” “ได้โปรด ข้าฯ ขอดู” “จะบ้าเหรอ? อยู่ในที่ลับ” “ได้โปรด” เธออึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะดึงชายกระโปรงขึ้นสูง เผยให้เห็นท่อนขา สีน�้ำผึ้งกลมกลึง รอยแผลเป็นอยู่ที่นั่น รอยกระสุนของทหารม้าที่โรสบัด เจาะเข้าด้านหนึ่ง ทะลุออกด้านตรงข้าม เธอขมวดคิ้วขุ่นเคืองใจ ปล่อย ชายกระโปรงลงคลุมข้อเท้า “มีอะไรอีกไหม?” เสียงเขียวประชดประเทียด “อีกเรือ่ งเดียว ท่านทราบไหมว่า อีโมส-เอสต์-เซ-ฮาอี มีความหมาย อย่างไรในภาษาไชแอนน์?” “ใครจะไปรู้ได้” “หมายถึงลมพร�่ำพูดแผ่วเบา...ลมกระซิบ ข้าฯ ขอเรียกท่านว่า ลมกระซิบได้ไหม?” “ไม่รู้ซี ถ้าท�ำให้คุณสบายใจ จะเรียกก็ได้ ท�ำไมหรือ?” “เพราะนั่นเป็นชื่อของท่านในกาลครั้งหนึ่ง เพราะข้าฯ ฝันถึงท่าน ตลอดมา เพราะข้าฯ เฝ้ารอคอยท่านมานานแสนนาน เพราะข้าฯ รักท่าน” ใบหน้าของเธอแดงเรื่อเป็นสีชมพูลามไปถึงล�ำคอ เธอลุกขึ้นยืน “เหลวไหลสิน้ ดี คุณไม่เคยรูจ้ กั ฉัน ฉันไม่รจู้ กั คุณ แล้วอีกอย่าง ฉัน ก็หมั้นกับชายอื่นแล้ว” เธอเดินกลับมาร่วมกลุ่มนักเรียน ไม่ยอมคุยกับเขาอีกแล้ว แต่เธอเดินทางกลับมายังป้อมอีกครัง้ เธอรบรากับศึกในอก ต�ำหนิกน่ ด่าตัวเองว่าคงเสียสติไปแล้ว โง่เง่าไม่มที เี่ ปรียบ แต่ภาพทีส่ ลักตรึงตรา จะ เป็นดวงตาสีฟา้ สดใสคูน่ นั้ จ้องจับแน่วนิง่ ไม่เคยสักครัง้ จะละสายตาไปทาง 92


อืน่ เธอพร�ำ่ บอกตนเองว่าควรจะพูดให้แตกหัก บอกหนุม่ เพ้อรักผูน้ วี้ า่ ไม่มี ประโยชน์อันใดจะพูดคุยกันสืบไป อย่างน้อยที่สุด ก็ควรจะเดินทางมายัง ป้อมอีกครั้งเพื่อบอกกล่าวให้เขารู้สึกส�ำนึกตัว วันอาทิตย์ สัปดาห์สดุ ท้ายก่อนจะเปิดเทอมใหม่ เธอนัง่ รถทัวร์จาก กลางเมืองมายังป้อมเฮอริเทจ ลงรถทีล่ านจอด ดูเหมือนว่าเขาจะทราบว่า เธอจะกลับมา เขารอคอยอยู่ที่ลานสวนสนาม โรสบัดพาดอานเรียบร้อย รอคอยที่นั่นเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เขาดึงร่างเธอมาร่วมนั่งอานบนหลังม้า เดินม้าออกไปกลางทุ่งแพร์รี โรสบัดมุ่งหน้าไปยังธารน�้ำ ลงม้าข้างล�ำธารระยิบระยับ เขาเล่าให้เธอฟัง ว่าบิดามารดาของเขาเสียชีวติ ไปเมือ่ ครัง้ ทีย่ งั เป็นเด็ก พรานดักสัตว์รบั เลีย้ ง เป็นลูกบุญธรรม เขาอธิบายให้ทราบว่าแทนทีจ่ ะได้เรียนหนังสือ เขาเรียนรู้ ร่องรอยของสรรพสัตว์ในป่า เสียงร้องของนกนานาพันธุ์ รูปทรงและ คุณสมบัติของไม้ทุกชนิดในป่า เธอให้ค�ำอธิบายว่าชีวิตของเธอผิดแผกแตกต่าง ด�ำเนินไปตาม ครรลองสังคม วางแผนไว้แล้ว คูห่ มัน้ ของเธอเป็นหนุม่ ร�ำ่ รวยจากครอบครัว มหาเศรษฐี ผู้ที่จะมอบทุกสิ่งให้เธอได้ ทุกอย่างที่ต้องการและที่ไม่จ�ำเป็น ต้องใช้ แม่ย�้ำอธิบายให้ฟังจนขึ้นใจแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะ... เขาจุมพิตผะแผ่ว เธอพยายามผลักไส แต่เมือ่ ริมฝีปากแตะสัมผัสกัน เรี่ยวแรงเหือดหายไปสิ้น สองมือของเธออ้อมเลื่อนไปโอบรั้งต้นคอของเขา ริมฝีปากของจอมไพรไม่มีกลิ่นซิการ์หรือเหล้าเหม็นหืนเหมือนคู่หมั้น ของเธอ มือกอดรัดนุม่ นวล ไร้การขยีข้ ย�ำ เธอได้กลิน่ เสือ้ หนังกวาง กลิน่ ควันไฟและกลิ่นสน เธอตัดใจผลักเขาออกห่าง เดินกลับมายังป้อม เขาเดินตามหลัง ไม่ แตะเนือ้ ต้องตัวเธอ โรสบัดเลิกสนใจและเล็มหญ้า เดินตามหลังมาห่างๆ “อยู่กับข้าฯ...ลมกระซิบ” “ไม่ได้” 93


“ชะตาลิขิตแล้วว่าเราจะอยู่ร่วมกัน ตราไว้แน่ชัดนานแสนนานมา แล้ว” “ฉันตอบตอนนี้ไม่ได้ ขอคิดอีกหน่อย บ้าสิ้นดี ฉันหมั้นแล้ว จะ ต้องแต่งงานกับชายอื่น” “หมอนั่นต้องรอไปก่อน” “เป็นไปไม่ได้” เกวียนหลังคาคลุมออกจากประตูป้อม บ่ายหน้าไปหาลานจอดรถ เธอเปลีย่ นทิศ เดินไปขึน้ เกวียน เบน เครกชักโรสบัดเดินตามหลังเกวียน ที่ลานจอดรถ ผู้โดยสารออกจากเกวียน เดินขึ้นรถทัวร์ “ลมกระซิบ...” เขาส่งเสียงไล่หลัง “...ท่านจะกลับมาอีกได้ไหม?” “ท�ำไม่ได้ ฉันจะแต่งงานกับคนอื่น” ผู้โดยสารหลายคนถลึงตาจ้องหนุ่มป่าเถื่อนบนหลังม้าที่เฝ้าเกาะแกะ เซ้าซี้สาวหน้าสวย ประตูรถปิด คนขับบิดกุญแจสตาร์ตเครื่องยนต์ โรสบัดตกใจโผนผกยืนบนสองขาหลัง รถเคลื่อนออกจากที่ เร่ง ความเร็วบนถนนดิน มุ่งหน้าไปหาถนนลาดยาง เบนปักส้นเท้าเข้าข้างม้า โรสบัดทะยานออกไปเต็มฝีเท้าไล่หลังรถ ม้าเหลือกตาหวาดกลัวยักษ์ใหญ่แล่นตะบึงเคียงข้าง ยักษ์ส่งเสียง ค�ำรามบาดหู เสียงลมปะทะหวีดหวิว คนโดยสารในรถได้ยินเสียงตะโกน “ลมกระซิบ...ร่วมทางข้าฯ ไปยังภูเขา เป็นผู้หญิงของข้าฯ “ คนขั บ เงยหน้ า มองกระจกส่ อ งหลั ง มองเห็ น จมู ก ม้ า บาน พะเยิ บ พะยาบ ตาเหลื อ กโปน คนขั บ เหยี ย บคั น เร่ ง รถกระโจน กระโดกกระเดกบนทางขรุขระ ผู้โดยสารกรีดร้อง คว้าตัวลูกตัวอวบอ้วน ลินดา พิกเก็ตต์ลุกขึ้นยืนจากเบาะด้านหลัง เลื่อนกระจกหน้าต่าง รถเร่งความเร็วทิ้งหนึ่งม้าหนึ่งคนไว้ไกลทุกขณะ โรสบัดตื่นตระหนก แต่วางใจหัวเข่ามั่นคงหนีบสีข้าง และมือถือบังเหียนกระชับ ผมด�ำขลับ ยาวสลวยต้องลมปลิว โผล่หน้าต่างออกมา เสียงตอบของเธอล่องลอย 94


แทรกมาในแรงลม “ได้เลย, เบน เครก เป็นอันตกลงตามนั้น” หนุ่มบนหลังม้าดึงบังเหียน ร่างหายลับไปในฝุ่นคละคลุ้ง ลินดาเขียนจดหมายอยู่นาน เลือกสรรถ้อยค�ำพิถีพิถันไม่ให้คู่หมั้น โกรธเคือง เพลิงโทสะที่เธอเคยประสบมาแล้ว แม้จะใช้ถ้อยค�ำอ่อนโยน แต่การบอกเลิกการหมั้นก็แจ้งชัด ส�ำเนาที่สี่ เธอลงชื่อ และส่งไปให้ คูห่ มัน้ ทางไปรษณีย์ ไม่มขี ่าวคราวใดตลอดหนึง่ สัปดาห์ ค�ำตอบ เมือ่ เดิน ทางมาถึง ห้วนสั้นและเหี้ยมเกรียม ไมเคิล พิกเก็ตต์เป็นเสาหลักของชุมชน เป็นประธานและผู้อ�ำนวย บริหารของธนาคารกสิกรเมืองบิลลิงส์ ไต่เต้ามาจากต�ำแหน่งเสมียนก่อน วิกฤตเพิร์ลฮาร์เบอร์ เลื่อนต�ำแหน่งขึ้นมาถึงผู้ช่วยผู้จัดการ การทุ่มเท ท�ำงานหนัก ความสุขุมละเอียดรอบคอบ และความเอื้ออารีเป็นมิตร สะดุดตาเจ้าของและผู้ก่อตั้ง ชายโสดไม่มีญาติพี่น้อง เมือ่ ถึงวาระเกษียณอายุ ผูก้ อ่ ตัง้ เสนอขายหุน้ ให้ไมเคิล พิกเก็ตต์ เพือ่ ให้สบื สานขนบดีงามเลือ่ งชือ่ ของธนาคารแห่งนี้ หุน้ กูต้ ราไว้ชดั เจน การซือ้ ขายเปลี่ยนมือด้วยดี หุ้นกู้ส่วนใหญ่มีการช�ำระเกือบเต็มจ�ำนวน แต่ปลาย ทศวรรษหกศูนย์ มีปัญหาที่คาดไม่ถึง การขยายตัวเร็วเกินไป หนี้เสีย และการยึดหลักประกันของลูกหนี้ ธนาคารของพิกเก็ตต์ไม่มที างเลือกเป็น อื่น นอกจากจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มทุนขายหุ้นเพื่อความอยู่รอด วิกฤตผ่านพ้นไป สภาพคล่องหวนคืนกลับมา หนึ่งสัปดาห์หลังจากจดหมายของลินดาตกมาอยู่ในมือของคู่หมั้น ไมเคิล พิกเก็ตต์มิได้รับค�ำเชิญ หากแต่ได้รับค�ำสั่งเรียกตัวเข้าจากบิดา ของคู่หมั้นที่บ้านไร่ ในคอกปศุสัตว์ บาร์-ที บนริมฝั่งแม่น�้ำเยลโลว์สโตน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของบิลลิงส์ ทั้งสองเคยพบกันมาก่อน ในวาระที่มี การทาบทามการหมั้น แต่คราวนั้น พบกันในห้องอาหารของสโมรสร ผู้ค้าเนื้อสัตว์ 95


นายธนาคารมีผนู้ ำ� ทางเข้าไปยังห้องท�ำงานมหึมา พืน้ ไม้มนั วาว ผนัง ลายไม้ราคาแพงสุกปลัง่ มีถว้ ยรางวัลเรียงราย ใบประกาศนียบัตร และหัว วัวที่เคยได้รับรางวัล ชายผู้นั่งหลังโต๊ะท�ำงานขนาดใหญ่มิได้ลุกขึ้นต้อนรับ หรือกล่าวทักทาย เพียงแค่ชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ว่างหน้าโต๊ะ เมื่อแขกผู้มาเยือน นั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าเหย้าถลึงตาจ้องมองเงียบงัน ไมเคิล พิกเก็ตต์ขยับ ตัวกระสับกระส่ายบนเก้าอี้ เขาทราบแล้วว่าเป็นเรื่องใดกัน เจ้าพ่อปศุสตั ว์เคลือ่ นไหวเนิบนาบเชือ่ งช้า แกะห่อซิการ์โคฮิบาจุดสูบ พลิกหมุนจนติดไฟแดงโร่ มืออีกข้างเลื่อนกระดาษข้ามโต๊ะมาให้อ่าน ไมเคิล พิกเก็ตต์อ่านจดหมายของบุตรี “ผมเสียใจ” เขาเงยหน้าบอก “...เธอบอกผมแล้วว่าเธอเขียน จดหมาย ผมไม่ได้อ่านเนื้อความในจดหมายฉบับนี้” เจ้าพ่อปศุสตั ว์โน้มตัวมาข้างหน้า ปลายนิว้ ชีย้ กกระดิกใส่หน้า ดวงตา วาววามด้วยเพลิงพิโรธใต้หมวกปีกที่สวมใส่แม้อยู่ในห้องท�ำงาน “ไม่มที าง” เสียงเค้นลอดริมฝีปากออกมา “...ไม่มที างว่ะทีจ่ ะมาท�ำ อย่างนี้กับลูกชายของฉัน” นายธนาคารยักไหล่ “ผมเองก็ผิดหวังเหมือนคุณ” เขากล่าวตอบ “...แต่ท�ำไงได้ คน หนุ่มคนสาว บางคราว ตัดสินใจได้ ก็เปลี่ยนใจได้ ทั้งสองยังเด็ก อาจ จะด่วนตัดสินใจเร็วเกินไป” “ไปคุยกับลูกสาวแก ชี้แนะให้เห็นว่าเธอตัดสินใจพลาดไปแล้ว” “ผมคุยกับเธอแล้ว แม่ของเธอเห็นพ้องด้วย เธออยากจะยกเลิก การหมั้น” เจ้าพ่อปศุสตั ว์เงยหน้ากวาดสายตามองไปทัว่ ห้อง ครุน่ คิดทบทวนว่า มาไกลแค่ไหนจากการเป็นโคบาลต้อนวัว “ถ้าเป็นเรือ่ งของลูกชายฉัน ไม่มที างเกิดขึน้ ” เจ้าพ่อหยิบกระดาษ อีกแผ่น ไสข้ามโต๊ะมาให้ “...อ่านให้เต็มตา” 96


วิลเลียม ‘บิก๊ บิล’ แบรดด็อกมีเส้นทางชีวติ ยาวไกล ปูเ่ ดินทางมายัง ดินแดนตะวันตกจากเมืองบิสมาร์ก, นอร์ธดาโกตา เกิดนอกสมรส ลูกชาย ของทหารม้าที่เสียชีวิตกลางทุ่งแพร์รี ปู่ได้งานเสมียนในร้านค้า ไม่เคย เลือ่ นต�ำแหน่งสูง ไม่ถกู ไล่ออก ลูกชายก็ดำ� เนินรอยตามชีวติ แต่หลานชาย ไปท�ำงานเป็นโคบาลต้อนวัว หลานชายร่างยักษ์ เหีย้ มเกรียม แสดงอ�ำนาจข่มขูใ่ นทุกเรือ่ งทุกราว ตัดสินปัญหาด้วยก�ำปั้นสองข้าง...เฉพาะในยามที่ประเมินแล้วว่าเป็นฝ่าย ได้เปรียบ ร่างยักษ์ แต่ฉลาดเป็นกรด หลังสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง มองเห็น โอกาสตั้งบริษัทใหม่...รถตู้เย็นส่งเนื้อ ส่งเนื้อชั้นเลิศจากมอนทานาไปยัง ร้านค้าห่างไกลออกไปหลายร้อยไมล์ บิ๊กบิลท�ำงานล�ำพังตัวคนเดียว เริ่มต้นด้วยการขับรถบรรทุกส่งเนื้อ ขยายงานไปซื้อกิจการโรงฆ่าสัตว์และช�ำแหละเนื้อ ท้ายที่สุดก็ครอบครอง กิจการทุกขั้นตอน ตั้งแต่ปากประตูคอกปศุสัตว์ไปจนถึงเนื้อสันบนเตา บาร์บคี วิ บิก๊ บิลสร้างตราโดดเด่น...เนือ้ ของบิก๊ บิล เลีย้ งในทุง่ เปิด เนือ้ ฉ�ำ่ ชะลอความสดมาอยู่ในตู้ของห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เมื่อเขาย้ายกลับมา ท�ำคอกปศุสตั ว์ ซึง่ เป็นจุดบอดเพียงจุดเดียวในกระบวนการนี้ เขากลับมา ในฐานะเจ้าพ่อ ไร่ปศุสัตว์ บาร์-ที ซื้อมาสิบปีก่อนหน้านี้ สร้างคฤหาสน์หลังงาม หรูที่สุดบนฝั่งแม่น�้ำเยลโลว์สโตน ภรรยาของเขา สตรีร่างเล็กที่แทบมอง ไม่เห็นด้วยตาเปล่า ให้ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล ห่างไกลนักกับ การถอดแบบพิมพ์เดียวกับบิดา เควินเป็นหนุ่มวัยกลางยี่สิบ ได้รับการ พะเน้าพะนอ มีผตู้ ามใจจนเหลิง หวาดกลัวบิดาเป็นทีส่ ดุ บิก๊ บิลมองข้าม รายละเอียดทุกเรื่องไปสิ้น...ไม่มีอะไรดีเกินไปส�ำหรับลูกชายเพียงคนเดียว ไมเคิล พิกเก็ตต์อ่านกระดาษแผ่นนั้นจนจบ ใบหน้าซีดขาว “ผมไม่เข้าใจ” “วะ, ภาษาคนธรรมดานะ, พิกเก็ตต์ ฉันใช้เวลาตลอดสัปดาห์ทผี่ า่ นมา 97


กว้านซื้อหุ้นธนาคารกสิกรของแก ทุกหุ้นที่แกยังค้างช�ำระอยู่ นั่นก็ หมายความว่า ฉันเป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างมาก ฉันเป็นเจ้าของธนาคารว่ะ สูญเงินไปมหาศาลเชียวนะ เพราะลูกสาวของแกเพียงคนเดียว สวยว่ะ นั่นต้องยอมรับ แต่โง่ ฉันไม่รู้ว่าอีหนูอยากจะไปแต่งงานกับใคร ไม่สนใจ ด้วยว่าไปพบชายคนไหน แกไปบอกลูกสาวแกได้เลยว่าลืมไอ้หมอนัน่ ไปเสีย “สัง่ ให้นงั หนูนนั่ เขียนจดหมายอีกฉบับ ยอมรับว่าตัดสินใจผิด วิงวอน ขอคืนกลับมาหมั้นกันตามเดิม” “แล้วถ้าผมไม่อาจชี้แจงให้เธอเปลี่ยนใจได้ล่ะ?” “แกบอกมันไปได้เลยว่า มันเป็นตัวซวยที่ท�ำให้ครอบครัวล่มจม ฉัน จะยึดธนาคารของแก ฉันจะยึดบ้าน ยึดทรัพย์สินทุกอย่างที่แกมีอยู่ในมือ แกไปบอกนังลูกสาวได้เลยว่า ไม่มีกาแฟแม้แต่แก้วเดียวในมลรัฐนี้ที่แกจะ แปะโป้งขอเชื่อไว้ก่อนได้ ได้ยินไหม?” ในตอนที่เขาขับรถมาบนทางหลวง ไมเคิล พิกเก็ตต์ไม่เหลือความ หวังใด ๆ ในชีวิตอีกต่อไปแล้ว เขาทราบดีว่าแบรดด็อกไม่ล้อเล่น มัน เคยท�ำลายล้างคนที่บังอาจไปขวางทางมันมาก่อนแล้ว ไมเคิล พิกเก็ตต์ ได้รับค�ำสั่งว่า พิธีแต่งงานจ�ำเป็นต้องเลื่อนเข้ามาให้เร็วขึ้นอีก...กลางเดือน ตุลาคมที่จะถึงนี้ การประชุมปรึกษากันในครอบครัวคืนนัน้ หดหูท่ กุ ข์ตรม ผูเ้ ป็นมารดา ขึน้ เสียงกล่าวโทษ สลับกับการออดอ้อนเว้าวอน ลินดาคิดอะไร? ไม่รเู้ ลย หรือว่าท�ำเรือ่ งเลวร้ายอะไรลงไปแล้ว? หากได้แต่งงานกับเควิน แบรดด็อก จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นๆ เฝ้าฝันตลอดชีวิต ส�ำเร็จในชั่วพริบตา ไม่ ว่าจะเป็นคฤหาสน์งามหรูใหญ่โตกว้างขวางมีทเี่ ลีย้ งดูลกู เป็นโขลง ส่งให้เข้า เรียนในโรงเรียนแพงทีส่ ดุ ได้สถานะเลิศล�ำ้ ในสังคม ท�ำได้ยงั ไง? ยอมสละ ทุกอย่างไป เพียงแค่ไปหลงรักไอ้หนุ่มตกงานที่แสร้งเล่นบทพรานน�ำทาง ท�ำงานชั่วคราวช่วงฤดูร้อน? พี่ชายร่างยักษ์สองคน ใช้ชีวิตและท�ำงานอยู่ในท้องถิ่น ได้รับการ 98


เรียกตัวมาร่วมประชุมด้วย หนึง่ นัน้ รับอาสาจะเดินทางไปยังป้อมเฮอริเทจ เพื่อพูดเปิดอก เกลี้ยกล่อมไอ้หนุ่มผมยาว พี่ชายทั้งสองคนหวาดเกรงไป ว่าตระกูลแบรดด็อกจะพยาบาทแค้นเคือง อาละวาดจนทั้งสองตกงานไป ด้วย พี่ชายผู้ที่ออกความเห็นท�ำงานในหน่วยงานของรัฐ ทราบดีว่าแบรด ด็อกมีเพื่อนทรงอิทธิพลในเฮเลนา ไมเคิล พิกเก็ตต์ตาลอยไร้ประกาย ถอดแว่นตาออกมาเช็ด คงเป็น ภาพแสนเศร้านัน้ เองทีท่ ำ� ให้ลนิ ดาตัดสินใจได้ในท้ายทีส่ ดุ เธอผงกศีรษะรับ คืนนั้น เขียนจดหมายอีกสองฉบับ ฉบับแรกส่งไปยังเควิน แบรดด็อก ยอมรับโดยดุษณีว่าเธอพลาด ไปแล้ว หลงใหลได้ปลื้มไปกับเด็กหนุ่มโคบาลนักแสดงไร้อนาคต บัดนี้ ภาพลวงตานั้นสลายหายไปสิ้นแล้ว เธอยอมรับผิดที่บังอาจเขียนจดหมาย ฉบับก่อน และร้องขอให้เขายกโทษให้ เธอประสงค์จะให้การหมัน้ ยังด�ำรง อยู่ และพร้อมจะเป็นภรรยาของเขาก่อนสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ฉบับทีส่ องส่งไปยังมิสเตอร์เบน เครก ป้อมเฮอริเทจ มณฑลบิก๊ ฮอร์น มอนทานา ทั้งสองฉบับลงตู้ไปรษณีย์ในวันรุ่งขึ้น แม้ จ ะฝั ง ใจอยู ่ กั บ การสานฝั น แม่ น ย� ำ ในทุ ก รายละเอี ย ดของ ประวัตศิ าสตร์ ศาสตราจารย์องิ เกิลส์ยนิ ยอมให้ขอ้ ยกเว้นเพียงสองประการ หนึง่ นัน้ จะต้องไม่มสี ายโทรศัพท์พาดสายมายังป้อมเฮอริเทจ แต่กม็ วี ทิ ยุ/ โทรศัพท์ ใช้แบตเตอรี่นิเกิลแดคเมียมซ่อนอยู่ในห้องท�ำงาน และอีกหนึ่ง จะเป็นบริการไปรษณีย์ ส�ำนักงานไปรษณีย์เมืองบิลลิงส์ จะส่งจดหมายและไปรษณีย์ภัณฑ์ ทุกชิ้นของป้อมเฮอริเทจไปที่บริษัทรถทัวร์ ถุงเมล์ของป้อมเฮอริเทจจะ บรรทุกไปในรถทัวร์เที่ยวถัดไปที่เดินทางไปเยือนป้อม เบน เครกได้รับ จดหมายของลินดาในอีกสี่วันถัดมา เขาพยายามอ่าน แต่ก็ล�ำบากสาหัส ชาร์ลี เบวินสอนให้เรียนรู้ รุดหน้าดียงิ่ เขารูจ้ กั ตัวพิมพ์ใหญ่ และตัวพิมพ์เล็ก แต่เมือ่ เป็นตัวเขียนของ 99


เด็กสาว ลายเส้นตวัดเป็นวง ก็จนปัญญา เขาถือจดหมายตรงไปหาชาร์ลี เธอกวาดสายตาอ่าน เงยหน้ามองด้วยความสมเพชเวทนา “เสียใจด้วย, เบน จดหมายจากสาวที่เธอหลงรัก” “ได้โปรดอ่านให้ผมฟัง” “เบนทีร่ กั ...” เธอเริม่ อ่าน “...เมือ่ สองสัปดาห์กอ่ น ฉันตัดสินใจ ท�ำเรื่องโง่เขลาที่สุด ในตอนที่คุณตะโกนเรียกฉันจากหลังม้า ฉันตะโกน ตอบ และให้สัญญาว่าจะแต่งงานกับคุณ เมื่อเดินทางกลับถึงบ้าน ฉัน เพิ่งตระหนักว่าท�ำเรื่องผิดพลาดอย่างมหันต์ “แท้จริงแล้ว ฉันหมั้นหมายกับชายอีกคน คนดี คนที่ฉันรู้จักมา หลายขวบปี ฉันพบว่าฉันไม่อาจถอนหมั้นจากชายผู้นี้ได้ เราจะแต่งงาน กันในเดือนหน้า “ได้โปรดอวยพรความสุขและโชคดีแก่ฉัน เหมือนที่ฉันตั้งความ ปรารถนาดีต่อคุณ ด้วยจูบอ�ำลา, ลินดา พิกเก็ตต์” ชาร์ลีพับจดหมาย ยื่นส่งคืนให้เบน เขาเงยหน้าเหม่อจ้องยอดเขา ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด ชาร์ลีเอื้อมมือไปกุมมือชายหนุ่มไว้ “ฉันเสียใจ, เบน เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้ เรือที่แล่นผ่านมาในความมืด ของยามราตรี สาวรุ่นอาจเพ้อฝันใหลหลงหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแบบคุณ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอตัดสินใจจะอยู่กับคู่หมั้นสืบต่อไป” เบนไม่เคยเห็นเรือมาก่อนในชีวิต สายตายังมองเหม่อไปที่ยอดเขา ส่งเสียงถาม “...ใครหรือที่เธอสัญญาจะแต่งงานด้วย?” “ไม่ทราบได้ เธอไม่ได้เขียนบอกไว้” “พอจะสืบให้ได้ไหม?” “ไม่เอาน่า, เบน คุณคงไม่ก่อเรื่องวุ่นวายกระมัง?” กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชาร์ลี เบวินเคยมีหนุ่มสองคนแย่งชิงตัว เธอเอาเป็นเอาตาย เธออิ่มใจเป็นที่สุด แต่นั่นก็กลายเป็นอดีตไร้สาระไป แล้ว เธอไม่อยากให้หนุ่มที่อยู่ในความคุ้มครองของเธอ หน้ามืดตามัวไป 100


ชกต่อยกับชายอื่นเพื่อสาวหน้าหวานที่ผ่านมาเยือนป้อม หลอกหนุ่มตา ซื่อให้หัวปั่นเล่น “ไม่, ชาร์ลี ไม่มีเรื่องวุ่นวาย เพียงแค่อยากรู้” “คุณคงไม่เข้าเมืองไปหาเรื่องต่อยตีกันนะ” “เพียงแค่ใช้สิทธิที่พึงมีพึงได้เท่านั้น ในสายตามนุษย์และวิญญาณ ทุกหนแห่ง ด�ำรัสนั้นตราไว้ชัดเจนนานแสนนานมาแล้ว” หนุ่มน้อยพูดเป็นปริศนาอีกแล้ว เธอย�้ำอีกครั้ง “แต่ไม่ใช่ลินดา พิกเก็ตต์กระมัง” เขาครุ่นคิดอยู่นาน เคี้ยวเรียวหญ้า รับค�ำหนักแน่น “ไม่ครับ...มิใช่ลินดา พิกเก็ตต์” “ให้สัญญาได้ไหม, เบน” “สัญญา” “เอาเถอะ, จะลองสอบถามให้” ในวิทยาลัยที่โบซแมน ชาร์ลีมีเพื่อนนักข่าว เพิ่งย้ายมาประจ�ำใน บิลลิงส์ กาเซ็ตต์ เธอโทรศัพท์ไปหาสาวนักข่าว ขอให้ตรวจดูหนังสือพิมพ์ ฉบับย้อนหลังว่ามีข่าวประกาศการหมั้นของลินดา พิกเก็ตต์หรือไม่ การ ตรวจสอบกินเวลาไม่นาน อีกสีว่ นั ถัดมา จดหมายถึงชาร์ลจี ะมีชนิ้ ข่าวต้นฤดูรอ้ น มิสเตอร์และ มิสซิสพิกเก็ตต์กบั มิสเตอร์และมิสซิสแบรดด็อก มีความยินดีจะประกาศให้ ทราบทั่วกันถึงการหมั้นของลินดากับเควิน ชาร์ลีเลิกคิ้วสูง ผิวปากหวือ มิน่าเล่าอนงค์นางนี้จึงไม่ยอมถอนหมั้น “ลูกชายของบิก๊ บิล แบรดด็อก” เธอบอกให้เบนทราบ “...ราชา เนื้อสเต็ก” พรานน�ำทางหนุ่มสั่นหัว “ไม่เคยได้ยินชื่อเลยหรือ?” ชาร์ถอนหายใจยาว “...เอาสินะ, คุณก็ล่าเนื้อกินเอง ล่าเนื้อโดยไม่มีใบอนุญาตจากทางการ ช่างเถอะ, พ่อ 101


ของหนุม่ ทีล่ นิ ดาจะแต่งงานด้วย รวยระดับมหาเศรษฐี อาศัยอยูใ่ นบ้านไร่ ที่ดินผืนใหญ่ ทางเหนือของป้อม ใกล้เยลโลว์สโตน คุณรู้จักแม่น�้ำไหม?” เบนผงกหัวรับ เขาเดินม้าย�่ำไปแทบจะทุกตารางนิ้วริมฝั่งแม่น�้ำ ตอนใต้กบั นายพลกิบบอน จากป้อมเอลลิสไปยังแม่นำ�้ ทังก์ ไปไกลสุดทาง ตะวันออกที่โรสบัด ก่อนจะย้อนกลับหลัง “พอจะสอบถามได้ไหม, ชาร์ลี ว่างานแต่งงานจะจัดเมื่อใด?” “ยังจ�ำได้ไหมว่าให้สัญญาไว้แล้ว” “จ�ำได้...มิใช่ ลินดา พิกเก็ตต์” “ถูกต้อง...แล้วคิดอะไรไว้? ต้องการจะมอบเซอร์ไพรส์เล็กๆ ให้ หรือ?” “ครับ” ชาร์ ลี โ ทรศั พ ท์ อี ก ครั้ ง เดื อ นกั น ยายนเคลื่ อ นผ่ า นไปยั ง ตุ ล าคม อากาศยังโปร่ง เย็นสบาย พยากรณ์อากาศคาดว่าน่าจะเป็นฤดูหนาว อินเดียนแดง...แดดจ้า อุ่นสบายไปจนถึงปลายเดือนตุลาคม หนังสือพิมพ์บิลลิงส์ กาเซ็ตต์ ฉบับวันที่ 10 เดินทางมาถึงพร้อม กับรถทัวร์ หลังจากโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ จ�ำนวนผู้มาเยือนลดน้อยลง จนบางตา จากชิ้นข่าวที่เพื่อนส่งมาให้ มีรายละเอียดจากคอลัมน์ซุบซิบสังคม เธออ่านให้เบนฟัง คอลัมน์ซุบซิบเขียนบรรยายเอร็ดอร่อยถึงงานแต่งงานยักษ์ระหว่าง ลินดา พิกเก็ตต์กบั เควิน แบรดด็อก งานพิธจี ะจัดทีบ่ ้านไร่หรูเริด บาร์-ที ทางใต้ของเมืองลอเรล ในวันที่ 20 ตุลาคม จะจัดพิธีกลางสนามหญ้า หน้าคฤหาสน์ เวลา 14.00 ต่อหน้าแขกนับพัน คัดสรรแต่เฉพาะผู้มี ชื่อเสียงและทรงอิทธิพลทั้งในวงสังคมและแวดวงธุรกิจทั่วมลรัฐมอนทานา ชาร์ลีอ่านรายละเอียดไปจบหน้ากระดาษ เบนนิ่งฟัง จดจ�ำรายละเอียด ทุกอย่าง ท่องไว้จนขึ้นใจ 102


วันถัดมา ผู้บัญชาการป้อมเฮอริเทจเรียกประชุมในลานสวนสนาม ประกาศว่าป้อมเฮอริเทจจะสิน้ สุดประสบการณ์ฤดูรอ้ นในวันที่ 21 ตุลาคม ปิดท�ำการไปตลอดฤดูหนาว ผลงานที่ผ่านมาถือได้ว่ายอดเยี่ยม ประสบ ความส�ำเร็จงดงามยิ่ง ได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญจากนักการศึกษาและ สมาชิกสภานิติบัญญัติของมลรัฐ “เวลาที่เหลืออีกสี่วัน จะเป็นช่วงงานหนัก” ศาสตราจารย์อิงเกิลส์ กล่าวบอกอาสาสมัครหนุม่ สาว “เงินเดือนและค่าจ้างจะจ่ายให้กอ่ นวันปิด ท�ำการ เราจะต้องท�ำความสะอาดโรงเรือน เก็บข้าวของให้พ้นฤดูหนาว ยาวนานก่อนเราจะปิดป้อม” หลังจากนั้นไม่นาน ชาร์ลีคว้าแขนเบน เครกไปคุยด้วย “เบน, เราเดินทางมาถึงปลายทางกันแล้ว อีกไม่นาน เราก็คงได้ กลับไปสวมเสื้อผ้าปกติ โอ, ฉันคิดว่านี่คงเป็นชุดเสื้อผ้าปกติของคุณอยู่ แล้ว เอาเถอะ, คุณมีเงินค่าจ้างก้อนหนึ่ง เราพอจะเข้าเมืองบิลลิงส์ด้วย กัน คุณจะได้ไปหาซือ้ รองเท้าผ้าใบ กางเกงยีน เสือ้ นอกสักตัว แล้วก็เสือ้ กันหนาวอุ่นๆ ส�ำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึง “ฉันอยากให้คุณเดินทางเข้าโบซแมนไปพร้อมกับฉัน ฉันจะหาที่พัก ให้ และแนะน�ำให้รู้จักคนที่จะช่วยเหลือคุณได้” “เป็นเช่นนั้น, ชาร์ลี” เย็นวันนั้น เบนเคาะประตูห้องท�ำงานของผู้พันอิงเกิลส์ ผู้พันนั่งอยู่ หลังโต๊ะท�ำงาน เตาผิงเหล็กอ้วนป้อมส่งแสงเรืองจากมุมห้อง พอจะช่วย ขับไล่ความหนาวเหน็บย�่ำเย็นไปได้บ้าง ศาสตราจารย์ต้อนรับการมา เยือนของหนุ่มเสื้อหนังกวางด้วยรอยยิ้ม ประทับใจไปกับการเล่นบทของ หนุม่ น้อยผูน้ ี้ ประทับใจไปกับความรอบรูเ้ รือ่ งป่าดงพงไพร ดินแดนบุกเบิก ไม่เคยสักครัง้ ทีห่ นุม่ เสือ้ หนังกวางจะหลุดจากบททีแ่ สดง ยอดเยีย่ มเป็นทีส่ ดุ หากนับความรอบรูเ้ รือ่ งป่าเขาบวกกับปริญญาอีกใบ ศาสตราจารย์มนั่ ใจว่า จะหาต�ำแหน่งให้หนุ่มน้อยผู้นี้ในภาควิชาได้อย่างแน่นอน 103


“เบน, ไอ้หนู มีอะไรให้ฉันช่วยได้บ้าง?” ศาสตราจารย์ ค าดว่ า น่ า จะได้ โ อกาสสอนสั่งดุจบิด าสอนบุตรต่อ หนุ่มน้อยผู้นี้ “ผู้พันมีแผนที่ไหมครับ?” “แผนที่? มีอยู่แล้ว ต้องการแผนที่บริเวณไหนล่ะ?” “แผนที่บริเวณป้อม ไปทางเหนือของโยลโลว์สโตน, ได้โปรด” “ไอเดียไม่เลวเลยนี่ รู้ไว้ใช่ว่า คนเราจะไปตกอยู่ที่ไหน ก็สมควรจะ รู้แหล่งที่ตั้งและปริมณฑลโดยรอบ นี่ไง...” ศาสตราจารย์วางกางแผนที่บนโต๊ะท�ำงาน ลากปลายนิ้วพร้อม ค�ำอธิบาย เบนเคยเห็นแผนที่ทหารมาก่อน แต่แผนที่พวกนั้นแทบจะเป็น กระดาษว่างเปล่า มีเพียงจุดสังเกตหลักที่พรานน�ำทางและพรานดักสัตว์ ทราบกันดี แผนที่แผ่นนี้มีเส้นสายยุ่งเหยิง ระบายสีเข้มจางต่างกัน “ป้อมอยู่ที่นี่ ทางเหนือของเทือกไพรออร์ตะวันตก หันทางเหนือไป ยังเยลโลว์สโตนและใต้ไปยังเทือกไพรออร์ เมืองบิลลิงส์อยู่ตรงนี้...และที่นี่ คือ เมืองที่ฉันอยู่, โบซแมน” เบนลากปลายนิ้วหลายร้อยไมล์ระหว่างกลางของสองเมือง “เส้นทางโบซแมน?” “ใช่เลย ชื่อโบราณที่เรียกกันสมัยโน้น ตอนนี้กลายเป็นทางหลวง ลาดยางไปแล้ว” เบนไม่ทราบว่าทางหลวงลาดยางคือสิง่ ใด แต่คดิ ว่าน่าจะเป็นแผ่นหิน ดาดสีด�ำที่เขาเคยเห็นใต้แสงจันทร์ มีเมืองเล็กเมืองน้อยนับสิบในแผนที่ แผ่นใหญ่ บนริมฝั่งใต้ของเยลโลว์สโตน บริเวณปากแม่น�้ำต่อกับธารน�้ำ คลาร์ก เป็นทีต่ งั้ ของไร่ปศุสตั ว์บาร์-ที เบนคะเนว่า น่าจะอยูบ่ นเส้นตะวันตก เฉียงจากแกนเหนือใต้ลากตรงจากป้อม ข้ามทุ่งโล่งสักยี่สิบไมล์ เขา ขอบคุณผู้พัน พับแผ่นที่คืนกลับให้ คืนวันที่ 19 ตุลาคม เบน เครกเข้านอนเร็วกว่าปกติ หลังอาหาร 104


เย็นไม่นานนัก ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติ หนุ่มทุกคนท�ำงานเต็มวัน ท�ำความสะอาด ทาจาระบีหมุ้ เครือ่ งมือต้านน�ำ้ ค้างแข็งฤดูหนาว เก็บเครือ่ ง มือไว้ในโรงเรือนจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิ ผูค้ นทีเ่ หลือในโรงเรือนอืน่ พร้อมใจ กันเข้านอนก่อนสีท่ มุ่ หลับใหลในทันทีทหี่ วั ถึงหมอน ไม่มใี ครสังเกตเห็นว่า พรานน�ำทางหนุ่มแต่งตัวครบเครื่องใต้ผ้าห่มผืนบาง เขาตื่นเที่ยงคืน หยิบหมวกขนจิ้งจอกวางบนหัว พับผ้าห่มสองผืน ย่องออกจากเรือนพักเงียบเชียบ ไม่มใี ครพบเห็นเขาเดินตัดข้ามไปยังโรงม้า เปิดประตูไม้บานใหญ่ พาดอานโรสบัด เขาตักข้าวโอ๊ตให้โรสบัดมากเป็น สองเท่า กินอิ่มท้องสะสมเรี่ยวแรงส�ำหรับงานสาหัสที่รอท่า เขาปล่อยโรสบัดไว้ในโรงม้า แฝงกายเข้าไปในโรงเหล็ก หยิบเครื่อง มือที่หมายตาไว้ในวันก่อน ขวานพร้อมซองคาดเข็มขัด ชะแลงสั้นและ คีมตัดลวด ชะแลงจัดการสายยูอาคารคลังแสง เมื่อเข้าไปภายใน คีมตัดโซ่ราว ปืน ปืนทุกกระบอกเป็นปืนจ�ำลองเว้นแต่เพียงกระบอกเดียว เขาหยิบ ชาร์ป’52 ออกจากราวปืน เบนจูงโรสบัดไปยังประตูไม้หลังป้อม ยกดาลไม้ออก ผ้าห่มสองผืน ของเขาอยูใ่ ต้อาน ม้วนหนังควายพันม้วนมัดหลังอาน ไรเฟิลอยูใ่ นซองปืน หันด้ามออกทางหัวม้า ข้างเข่าซ้าย ฝั่งตรงข้ามทางเข่าขวา จะเป็นซอง ใส่ลูกศรสี่ดอก คันธนูห้อยเฉียงบ่า เขาจูงม้าเดินห่างจากป้อมไปกว่าครึ่ง ไมล์ ก่อนจะขึ้นอาน เงาตะคุ่มในยามราตรีลักษณะนี้เองที่เบน เครก, พรานน�ำทาง และเจ้าพงไพร บุรุษหนึ่งเดียวที่เหลือรอดชีวิตจากการสังหารหมู่ที่ลิตเติล บิก๊ ฮอร์น ชักม้าดุม่ เดินออกจากปีแห่งพระผูเ้ ป็นเจ้า 1877 บ่ายหน้ามายัง เสี้ยวท้ายสุดของศตวรรษที่ยี่สิบ จากต�ำแหน่งเดือนเคลื่อนคล้อย เขาคิดว่าน่าจะเป็นเวลาตีสอง มี เวลาเหลือเฟือทีจ่ ะปล่อยให้โรสบัดเดินเอือ่ ยไปยีส่ บิ ไมล์กอ่ นจะถึงไร่ปศุสตั ว์ 105


บาร์-ที ออมก�ำลังโรสบัดไว้ ใบหน้าแหงนหงาย สายตากวาดมองหา ดาวเหนือ ก�ำหนดเส้นทางมุ่งเหนือเบี่ยงไปทางตะวันตกสองสามองศา ทุง่ แพร์รเี ปลีย่ นเป็นไร่นา เขาพบเสาไม้ปกั หลัก มีลวดขึงพาดหัวเสา เขาใช้คีมตัด เดินม้ามุ่งหน้าต่อไป ข้ามเส้นแบ่งอาณาเขตจากบิ๊กฮอร์นไป ยังมลฑลเยลโลว์สโตน ซึ่งเขาไม่เคยทราบว่ามีอยู่ รุ่งสาง โรสบัดเดินมา ถึงธารคลาร์ก เขาชักม้าเลียบฝั่งธารมุ่งหน้าขึ้นเหนือ เมื่ออาทิตย์แสงแรก มาเยือน เขานั่งอานมองท้องทุ่งไพศาล เสาสีขาวราวพาดสีเดียวกันยาว เหยียดสุดลูกหูลูกตา ป้ายประกาศแจ้งไว้ว่า ‘ไร่บาร์-ที ทรัพย์สินสวน บุคคล ห้ามบุกรุก’ เขาไล่สายตาเรียงตัว พยายามสะกดเสียงอ่าน เขา ชักม้าเลียบราวรั้วจนถึงถนนดิน ทอดยาวไปสู่ประตูหน้า เดินม้ามาราวครึ่งไมล์ มองเห็นประตูหน้าลิบๆ เลยไกลออกไป จะเป็นคฤหาสน์หลังมหึมา ห้อมล้อมด้วยโรงนาและโรงม้างามบาดตา ที่ ประตูหน้า มีไม้พาดขาวแดงขวางถนนและป้อมยาม ตามช่องหน้าต่างไฟ กลางคืนเรือ่ เรือง เบนชักม้าถอยห่างเข้ามาในดงไม้ ห่างออกมาราวครึง่ ไมล์ ปลดอานให้โรสบัดและเล็มหญ้าฤดูใบไม้รว่ ง ออมแรงไว้เต็มที่ เขาพักผ่อน คลายแต่มิได้หลับใหล ตื่นตัวระแวงภัยเหมือนสัตว์ป่า กล่าวโดยแท้จริงแล้ว นักข่าวสังคมผู้เขียนบทความบรรยายพิธี แต่งงานหรูเลิศ ประเมินค่าการเตรียมความพร้อมในงานวิวาห์ของบิ๊กบิล แบรดด็อกต�่ำเกินจริงไปหลายขุม บิก๊ บิลยืนยันว่าว่าทีเ่ จ้าสาวจะต้องผ่านการตรวจร่างกาย...โดยละเอียด จากแพทย์ประจ�ำครอบครัว สาวเจ้าอับอายแค้นเคือง แต่ไม่มีทางเลือก เป็นอื่น ในยามที่บิ๊กบิลอ่านรายงานแพทย์ คิ้วเลิกสูง “อะไรนะ?” เสียงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ นายแพทย์ ชะโงกหน้ามองตามปลายนิ้วอวบอูม “อ๋อเรื่องนั้น, ยืนยันได้ เนื้อเยื่อยังอยู่ครบสมบูรณ์” แบรดด็อกแสยะยิ้มหื่นกระหาย 106


“หวา, ไอ้หนูเควินโชคดีว่ะ แล้วเรื่องอื่น?” “ไม่มีที่ติ สาวรุ่นหน้าหวานผุดผ่อง สมบูรณ์แข็งแรง” คฤหาสน์แปลงโฉมด้วยฝีมือนักแตกแต่งภายในฝีมือดีที่สุดเท่าที่เงิน จะว่าจ้างได้ กลายเป็นปราสาทในเทพนิยาย ในสนามเขียวขจีกว้างใหญ่ ไพศาลทัง้ เอเคอร์ จะตัง้ แท่นพิธหี า่ งจากราวไม้รวั้ ขาวราวยีส่ บิ หลา หันหน้า ออกสู่ทุ่งแพร์รี เบื้องหน้าของแท่นพิธี จะวางเก้าอี้นุ่มสบาย แยกเป็น สองแถว เปิดทางเดินกลางให้คู่บ่าวสาวน่ารักเดินผ่านสักขีพยาน เควิน พร้อมกับเพื่อนเจ้าบ่าว จะเดินก่อน มายืนรอที่หน้าแท่นพิธี เจ้าสาวจะ มีบิดาหน้าโง่ผู้นั้นคล้องแขนส่งตัวเจ้าสาวมายังแท่นพิธี คลอด้วยท�ำนอง เพลงเดินของเจ้าสาว อาหารจัดเลี้ยงบุฟเฟต์วางบนม้ายาว ผ้าคลุมหมดจด ไม่ค�ำนึงถึง ค่าใช้จ่าย แก้วเชมเปญสจวร์ตตั้งเรียงซ้อนเป็นพีระมิดสูงลิบ แชมเปญ ฝรั่งเศสท่วมท้นทั้งมหาสมุทร คัดสรรเฉพาะตราราคาชวนเลิกคิ้วสูงและ ปีวินเทจ บิ๊กบิลตรวจยืนยันว่าแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน จะต้องไม่พบ ที่ติใดๆ แม้แต่จุดเดียว นับจากกุ้งมังกร หอยนางรม และปู ส่งใหม่สด บินมาบนก้อน น�้ำแข็ง นับจากเครื่องดื่มที่เข้มกว่า จะเป็นชีวาสรีกัลเต็มคันรถบรรทุก ในยามที่ปีนขึ้นเตียงนอนม่านมุ้งสี่เสา เรื่องเดียวที่บิ๊กบิลปริวิตก จะเป็น ลูกชายสุดที่รักคนเดียว ไอ้หนูดื่มเมามายอีกแล้ว จะต้องตื่นมาอาบน�้ำ ฝักบัวเย็นเฉียบนานเป็นชั่วโมงเพื่อให้สร่างเมาพอร่วมพิธีแต่งงานได้ ความบันเทิงพิเศษสุดส�ำหรับแขกผู้มาร่วมงาน ในระหว่างที่คู่บ่าว สาวเปลี่ยนเครื่องทรงเพื่อเดินทางไปฮันนีมูนบนเกาะส่วนตัวในหมู่เกาะ บาฮามาส์ แบรดด็อกเตรียมการแสดงไวลด์เวสต์โรดีโอ ข้างลานสนาม คณะละครเร่ ก็เหมือนเช่นผู้จัดหาอาหาร ล้วนแล้วแต่ได้รับการว่าจ้าง มาทั้งสิ้น กลุ่มคนหยิบมือเดียวที่ไม่ได้จ้างมา จะเป็นหน่วยรักษาความ ปลอดภัยของบิ๊กบิล 107


บิ๊กบิลเสียสติไปกับเรื่องความปลอดภัยของตนเอง จัดสร้างกองทัพ ส่วนตัว องครักษ์มือดีสามหรือสี่คนจะอยู่ข้างกายตลอดเวลา ส่วนที่เหลือ จะท�ำงานเป็นโคบาลในไร่ เคาบอยหน้าตาสามัญ หากแต่ผา่ นการฝึกอบรม การใช้อาวุธมาอย่างช�่ำชอง เคยผ่านสนามรบ และพร้อมจะปฏิบัติตาม ค�ำสั่งอย่างเคร่งครัด...เงินเดือนที่จ่ายจ้างมากพอจะบันดาลให้เป็นเช่นนั้น งานแต่งงานวันนี้ องครักษ์ทั้งสามสิบนายจะตระเวนรอบบ้าน สอง นายประจ�ำการที่ป้อมยาม หัวหน้าคณะรักษาความปลอดภัย อดีต นายทหารหน่วยจู่โจมพิเศษกรีนแบเรต์จะอยู่ข้างกายของเขา ส่วนที่เหลือ จะท�ำหน้าที่เป็นผู้ดูแลแขก ตลอดเช้าวันนัน้ ลิมซู นี และรถทัวร์หรูรบั แขกมาจากสนามบินเมืองบิล ลิงส์ แล่นไหลเอื่อยเข้ามาในบ้านไร่ไม่ขาดสาย ยามหน้าประตูตรวจตรา เอกสารก่ อ นปล่ อ ยให้ ผ ่ า น เบนจั บ ตามองจากราวป่ า ราวเที่ ย งวั น บาทหลวงผู้ประกอบพิธีเดินทางมาถึงพร้อมกลุ่มนักดนตรี รถตูข้ องผูจ้ ดั อาหารและคณะแสดงไวลด์เวสต์ เดินทางเข้าประตูดา้ น ข้าง หายลับพ้นสายตา หลังบ่ายโมงได้ไม่นาน นักดนตรีเทียบเสียงขึน้ สาย เบนสดับเสียง พาดอานโรสบัด เขาชักม้าออกไปในทุ่งแพร์รี เดินเลียบราวรั้วสีขาวจนป้อมยามลับ หายไปจากสายตา จากนัน้ ชักบังเหียนหันตรงเข้าหาราวรัว้ กระตุน้ สีข้าง ของโรสบัดจากย่างเหยาะกลายเป็นการควบตะบึง โรสบัดมองเห็นราวรัว้ ไม้ สีขาว ปรับจังหวะย่างก้าว ส่งตัวลอยข้ามรัว้ พรานน�ำทางหนุม่ พบตัวเอง อยูใ่ นลานหญ้าล้อมรัว้ ห่างจากโรงนาราวครึง่ ไมล์ วัวเขายาวและเล็มหญ้า เดินม้าข้ามทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ เขาพบกลุ่มอาคารโรงนา เปิดประตู รั้วเข้าไปในลานปูหิน ทิ้งประตูรั้วเปิดอ้าไว้ ยามรักษาการณ์ตะโกนเรียก “แกคงเป็นนักแสดงคาบาเรต์กระมัง?” เบน เครกเหม่อมอง ผงกหัวรับ “แกมาผิดที่แล้วว่ะ ไปทางโน้น จะพบเพื่อนชุมนุมกันทั้งโขยงหลัง 108


ตัวบ้าน” เบนชักม้าเข้าไปในซอกอาคาร นิง่ รอคอยจนยามทัง้ สองนายเดินผ่าน ไป เขาชักม้าหมุนกลับ มุ่งตรงไปหาเสียงดนตรี เขาไม่ทราบว่าเป็นเพลง เดินของเจ้าสาว หน้าแท่นพิธี เควินกับเพื่อนเจ้าบ่าวยืนรอรับเจ้าสาว มาดสุดสง่า ในชุดทักซีโด เตี้ยกว่าบิดาแปดนิ้ว และเบากว่าห้าสิบปอนด์ ไหล่แคบ เอวกว้างอวบอ้วน สิวหัวช้างหลายเม็ดผุดขึ้นสองข้างแก้ม บางเม็ดกลบ ซ่อนด้วยแป้งฝุ่นของมารดา มิสซิสพิกเก็ตต์กบั บิดามารดาแบรดด็อก นัง่ ประจ�ำแถวหน้าสุด แยก อยู่สองฟากทางเดินกลาง ปลายทางเดิน ลินดา พิกเก็ตต์เกาะท่อนแขน บิดา เค้าหน้างามหวานซึง้ ในชุดวิวาห์ผา้ ไหมสีขาว บินตรงมาจากห้องเสือ้ บาเลนชิอากา ฝรัง่ เศส ใบหน้าเจ้าสาวเผือดขาว เครียดเคร่ง ตาจ้องมอง ตรงไปข้างหน้า ไร้รอยยิ้ม ใบหน้าทัง้ พันหันไปจ้องมองเจ้าสาวเดินมาตามช่องทางเดินกลาง ตรง ไปยังแท่นพิธี เบื้องหลังแถวที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ บริกรและสาวเสิร์ฟยืน เรียงรายจ้องมอง เลยไกลออกไป หนุ่มเสื้อหนังกวางยืนม้าโดดเด่น ไมเคิล พิกเก็ตต์น�ำเจ้าสาวมาส่งยืนเคียงข้างเควิน แบรดด็อก ก่อน จะเดินกลับไปนั่งเคียงข้างภรรยาผู้ยกมุมผ้าเช็ดหน้าซับน�้ำตา บาทหลวง เปล่งเสียงก้องกังวาน “ญาติมิตรแสนรัก เรามาชุมนุมกันในวันนี้เพื่อเป็นสักขีพยานการ เสพรสสมรักของชายหญิงคูน่ ใี้ นพิธแี ต่งงานศักดิส์ ทิ ธิ”์ เสียงกล่าวนัน้ ดังขึน้ เมื่อเพลงขาดหาย หากหลวงพ่อจะมองเห็นชายหนุ่มยืนม้าอยู่ไกลโพ้น ก็ อาจฉงนฉงาย แต่ไม่มีความรู้สึกใดๆ ปรากฏบนใบหน้า บริกรนับสิบเซ พ้นทางเมื่อแผงอกม้าดันแหวกเป็นทาง องครักษ์รักษาความปลอดภัยของ แบรดด็อกมิได้สังเกตเห็น สายตาทุกคู่จ้องจับที่การประกอบพิธี “...ด�ำเนินล่วงสู่สถานะศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งสองปลงใจร่วมกัน” 109


มิสซิลพิกเก็ตต์สะอื้นออกเสียง แบรดด็อกถลึงตาเข้าใส่ หลวงพ่อ อดประหลาดใจมิได้ทไี่ ด้เห็นน�ำ้ ตาสองสายไหลรินอาบแก้มเจ้าสาว คิดไปว่า เจ้าสาวคงร�่ำไห้ด้วยความปีติโสมนัส “ดังนั้น หากชายใดมีเหตุกล่าวอ้างโดยชอบธรรมว่าหนุ่มสาวทั้งสอง ไม่อาจครองคู่กันโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เปล่งวาจา ณ บัดนี้ หรือ ไม่ก็เก็บปากค�ำไปชั่วนิรันดร์” หลวงพ่อเงยหน้าจากสมุดสวด ส่งยิ้มระเรื่อไปยังผู้ร่วมชุมนุม “ข้าฯ เปล่งเสียงคัดค้าน แม่นางผูน้ หี้ มัน้ หมายเป็นคูค่ รองของข้าฯ” เสียงนั้นหนักแน่นทรงพลัง กังวานไกลได้ยินถนัดชัดเจนทุกมุมสนาม ในขณะที่ม้าควบตะบึงตรงมายังแท่นพิธี บริกรแตกกระเจิง หน่วยรักษา ความปลอดภัยวิง่ กรูเข้ามาหา สองฟากฝัง่ ต้องฝ่าเท้าในรองเท้าหนังกวางนุม่ เข้าเต็มใบหน้า ล้มคว�ำ่ เข้าไปในแถวทีน่ งั่ ของแขกผูม้ าร่วมงาน บุรษุ ตะโกน ตะคอก สตรีกรีดร้อง หลวงพ่ออ้าปากค้างเป็นรูปตัวโอกลมดิก โรสบัดเร่งฝีเท้าจากการย่างเหยาะมาเป็นการควบตะบึงในไม่กี่วินาที ผูข้ บั ขีด่ งึ บังเหียนรัง้ เบีย่ งหัวไปทางซ้าย แขนขวาของชายบนหลังม้าโอบ รอบเอวคอดกิว่ ของเจ้าสาว ยกร่างของเธอมาวางบนตัก เสีย้ ววินาทีถดั มา เธอหมุนร่างจากด้านหน้ามานั่งเกาะหลัง นั่งบนม้วนหนังควายไบซันหลัง อาน สองมือกอดเอวเขาไว้แน่น ม้าสูงใหญ่วิ่งผ่านแถวหน้า พุ่งตรงเข้าหาราวรั้วไม้ขาว กระโจนข้าม ออกสูท่ งุ่ แพร์รี หญ้าสูงถึงท้องม้า ทิง้ ความวุน่ วายโกลาหลไว้บนสนามหญ้า แขกผู้มีเกียรติลุกขึ้นยืน ส่งเสียงตะโกนและกรีดร้อง ฝูงวัวเขายาว เดินผ่านประตูรั้วกั้นออกมาและเล็มหญ้าสนาม หนึ่งในสี่ขององครักษ์ ประจ�ำตัวแบรดด็อก ดึงปืนพกออกมา วิง่ ผ่านหน้าหลวงพ่อ ปักหลักวาด ปืนเล็งคนบนหลังม้าลดขนาดเหลือเพียงจุดเล็ก ไมเคิล พิกเก็ตต์กระโจน เข้าหา “อย่า...” มือคว้าข้อมือ เสยดันให้ชูสูง เสียงปืนดังสามนัดใน ระหว่างกอดปล�้ำกัน 110


เพียงเท่านั้น สัญญาณแห่งความวายป่วงส�ำหรับแขกผู้มีเกียรติและ ฝูงวัว ทั้งคนทั้งวัวตื่นเสียงปืน เก้าอี้ล้มระเนระนาด กุ้งปูสีส้มเรื่อแดง สาดกระจายบนหญ้าเขียว นายกเทศมนตรีถูกเหวี่ยงเข้าไปในพีระมิดแก้ว แชมเปญสจวร์ต ล้มคว�่ำด้วยเสียงเกรียวกราวสดใส หลวงพ่อมุดหลบเข้า ใต้แท่นพิธี...จ้องวงหน้าดวงตาเบิกโพลงของว่าที่เจ้าบ่าว ถนนใหญ่หน้าคฤหาสน์ จอดรถสายตรวจของส�ำนักนายอ�ำเภอสอง คัน เจ้าหน้าที่สี่นาย มาท�ำหน้าที่ดูแลการจราจร ได้รับแจกจ่ายอาหาร กลางวัน สายตรวจได้ยินเสียงปืน เหลียวมองหน้ากัน เหวี่ยงเบอร์เกอร์ ในมือทิ้งวิ่งตรงไปยังสนามหน้าบ้าน ที่ขอบสนาม ปลัดอาวุโสปะทะกับเหล่าบริกร ดึงอกเสื้อสูทสีขาวให้ บริกรลุกขึ้นยืน ส่งเสียงสอบถาม “เกิดห่ะอะไรกัน?” ต�ำรวจอีกสามนายอ้าปากค้างมองความโกลาหล บ้าคลั่ง ปลัดอาวุโสฟังเรื่องเล่าจากบริกร หันไปหาลูกน้อง “...กลับไปที่ รถ รายงานให้นายอ�ำเภอทราบว่าเกิดปัญหาแล้ว” นายอ�ำเภอลูอิสไม่ได้ประจ�ำการในส�ำนักงานตอนบ่ายวันเสาร์ แต่ก็ แวะมาสะสางงานเอกสารไม่ให้คงั่ ค้างไปถึงสัปดาห์หน้า ยีส่ บิ นาทีหลังบ่าย สองโมงในตอนที่ปลัดเวรโผล่หน้ามาที่ประตูห้องท�ำงาน “มีปัญหาที่บาร์-ที” ปลัดถือหูโทรศัพท์ในมือ “...งานแต่งงาน แบรดด็อกน่ะ เอ็ดวิทยุเข้ามาแจ้งว่า เจ้าสาวเพิ่งถูกลักพาตัว” “อะไรนะ?...โอนสายมาที” ไฟสีแดงกะพริบวาบบนตัวเครื่อง นายอ�ำเภอหยิบโทรศัพท์ “เอ็ด, พอล เรื่องห่ะอะไรกัน?” นายอ�ำเภอนิ่งรับฟังรายงาน เฉกเช่นมือกฎหมายทั่วไป เขาเกลียด การลักพาตัวเข้ากระดูกด�ำ หนึ่งนั้นเป็นอาชญากรรรมสกปรก มักจะพุ่ง เป้าไปยังเมียและลูกของเศรษฐี อีกประการหนึ่ง จะเป็นความผิดระดับ รัฐบาลกลาง นั่นก็หมายความว่าเอฟบีไอจะเดินพล่านเต็มท้องที่ ตลอด 111


สามสิบปีที่ผ่านมา ในอาชีพการเป็นข้ารัฐการในมณฑลคาร์บอน สิบปี ในต�ำแหน่งนายอ�ำเภอ เคยมีคดีจับตัวประกันเพียงสามครั้ง แต่ละราย จบลงด้วยดี ไม่เคยสักครั้งจะมีการลักพาตัว นายอ�ำเภอคาดว่าน่าจะเป็น ฝีมือของพวกเจ้าพ่อ รถยนต์ความเร็วสูงหนีจากที่เกิดเหตุ หรืออาจจะมี เฮลิคอปเตอร์ด้วยซ�้ำไป “หนุ่มคนเดียวบนหลังม้า? เสียสติไปแล้วหรือ? มันไปทางไหน?...ขี่ ม้าข้ามรั้ว หายไปในทุ่งแพร์รี เอาละ, หมอนี่น่าจะมีรถยนต์ซุกไว้ที่ไหน สักแห่ง ฉันจะส่งวิทยุขอความช่วยเหลือจากเมืองข้างเคียงให้ช่วยปิดกั้น ถนน ฟังนะ, เอ็ด สอบปากค�ำทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ เข้ามาทางไหน ท�ำอะไรบ้าง และทุบเจ้าสาวให้หมดสติยังไง หนีไปได้อย่างไร วิทยุกลับ มาให้ทราบด้วย” นายอ�ำเภอใช้เวลาครึ่งชั่วโมงถัดมา เรียกระดมก�ำลังส�ำรอง ส่ง รถสายตรวจออกไปจากมณฑลคาร์บอนทางเหนือ ใต้ ตะวันออกและ ตะวันตก ต�ำรวจทางหลวงได้รบั ค�ำสัง่ ให้ตรวจรถยนต์ทกุ คันและทีเ่ ก็บของ ท้ายรถ มองหาหญิงสาวผมด�ำขลับในชุดแต่งงานผ้าไหมสีขาว หลังบ่าย สามโมง เอ็ดรายงานจากรถสายตรวจหน้าบาร์-ที “เรื่องพิลึกพิลั่นขึ้นทุกขณะ, หัวหน้า เราสอบปากค�ำจากพยานกว่า ยี่สิบคน หมอนั่นขี่ม้าเข้ามาในงาน ทุกคนคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของคณะ ละครเร่ สวมเสื้อหนังกวาง ม้าเชสต์นัตสูงใหญ่ สวมหมวกขนสัตว์ของ พรานดักสัตว์ มีขนนกห้อยจากพุ่มผม แล้วก็มีโบว์” “โบว์? โบว์ประประเภทไหน? โบว์สีชมพู?” “ไม่ใช่โบว์ประเภทนัน้ ครับ โบว์แอนด์แอโรว์...คันศรกับลูกธนูนะ่ ครับ จากนี้ไปก็ยิ่งพิลึกกว่าเดิม” “ไม่น่าจะเป็นได้นะ เล่าต่อไปเถอะ” “พยานทุกคนให้ความเห็นตรงกันว่า ตอนที่เขาขี่ม้ามาหน้าแท่นพิธี มือเอือ้ มลงไปคว้าเจ้าสาว เธอก็ยนื่ มือหาเขา พยานยืนยันว่าเธอน่าจะรูจ้ กั 112


มักคุ้นกับหนุ่มเสื้อหนังกวาง เธอกอดเอวเขาไว้แน่นตอนที่ม้ากระโดดข้าม รั้วไม้ ไม่เช่นนั้น เธอก็คงตกจากหลังม้า ไม่ได้จากไปไหน” นายอ�ำเภอระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากโชคดีสกั นิด ก็คงไม่ใช่การลักพาตัว...หากแต่เป็นการหนีตามกัน รอยยิ้มฉีกกว้างบน ใบหน้า “แน่ใจนะว่าไม่ได้ฟังผิด เขาไม่ได้ทุบยายหนูให้สลบ ลากขึ้นมาพาด หน้าอาน จับตัวเป็นเชลยในตอนที่ขี่ม้าหนีไป?” “ไม่เฉียดใกล้เลยครับ แต่ก็ทิ้งความเสียหายสาหัส พิธีแต่งงาน ล้มเลิกไปกลางคัน งานจัดเลี้ยงพินาศไม่มีชิ้นดี เจ้าบ่าวเยี่ยวราด เจ้าสาว หายตัวไปแล้ว” รอยยิ้มของนายอ�ำเภอลูอิสฉีกแทบจรดใบหู “แย่จังเลยนะ” นายอ�ำเภอตอบ “...พอจะรู้ไหมว่าหมอนั่นเป็น ใคร?” “น่าจะพอสืบได้ครับ พ่อเจ้าสาวบอกว่าลูกสาวไปหลงรักหนุม่ นักแสดง เล่นบทพรานน�ำทางที่ป้อมเฮอริเทจ กิจกรรมที่จัดตลอดฤดูร้อน พอจะ ทราบใช่ไหม?” ลูอสิ ทราบเรือ่ งป้อมเฮอริเทจ ลูกสาวเพิง่ พาหลานไปเทีย่ วทีน่ นั่ เด็กๆ พูดถึงไม่ขาดปาก “หนุม่ คนนีน้ เี่ องทีท่ ำ� ให้เธอบอกเลิกการหมัน้ กับเควิน แบรดด็อก พ่อ แม่ของเธออ้อนวอนว่าสิ่งที่เธอตัดสินใจเหลวไหลสิ้นดี การหมั้นยังคงอยู่ หมอนั่นชื่อว่า เบน เครก” ปลัดย้อนกลับไปสอบปากค�ำต่อ นายอ�ำเภอลูอิสเกือบจะโทรศัพท์ ไปยังป้อมเฮอริเทจอยู่แล้ว ในตอนที่ศาสตราจารย์อิงเกิลส์ต่อสายเข้ามา “เรือ่ งนีอ้ าจจะไม่มอี ะไรก็เป็นได้ แต่ลกู จ้างของป้อมคนหนึง่ หายหน้า ไปจากป้อมกลางดึก” “ขโมยอะไรไปหรือเปล่า, ศาสตราจารย์?” 113


“ก็ไม่นะ, ไม่นา่ จะเรียกว่าขโมย เขามีมา้ และเสือ้ ผ้าของเขาเอง แล้ว ก็มีไรเฟิลอีกกระบอก ฉันยึดไว้ชั่วคราว ตอนที่เขาหนีออกจากป้อม เขา ตัดโซ่เอาไรเฟิลของตัวเองติดมือไปด้วย” “เอาไปใช้ท�ำอะไรกัน?” “คงเอาไปล่าสัตว์กระมัง หนุ่มหน้าซื่อแต่ก็เพี้ยนเอาการ เกิดและ เติบใหญ่ในเทือกไพรออร์ พ่อแม่ของเขาน่าจะเป็นพรานภูเขา เจ้าหนูไม่ เคยเข้าโรงเรียน” “ฟังนะ, ท่านศาสตราจารย์ จะเป็นไปได้ไหมว่าหนุ่มคนนี้จะเป็น ตัวแสบเปี่ยมด้วยภัยอันตราย?” “ไม่น่านะ ไม่น่าจะเป็นไปได้” “มีอาวุธอื่นอีกไหม?” “ก็มีมีดโบวี อ้อ, ขวานด้ามสั้นหายไปอีกหนึ่ง แล้วก็มีธนูไชแอนน์ ลูกศรสี่ดอก หัวหินเหล็กไฟ” “ขโมยจากร้านของเก่าหรือไง?” “ไม่ครับ, เขาทุบหัวลูกศรเอง” นายอ�ำเภอนับในใจเชื่องช้า หนึ่งถึงห้า ก่อนจะกล่าวต่อ “เป็นไปได้ไหมที่หนุ่มคนนี้ชื่อ เบน เครก?” “หนึ่งเดียวคนนั้น...ท�ำไมทราบล่ะครับ?” “ช่วยกันเดาครับ, ท่านศาสตราจารย์ คนเดียวกันนี้ใช่ไหมที่หลงรัก ครูสาวหน้าหวานจากบิลลิงส์ ครูที่คุมคณะนักเรียนมาเที่ยวที่ป้อม?” นายอ�ำเภอได้ยินเสียงปรึกษากันกับสตรีที่มีชื่อว่า ชาร์ลี “ดูเหมือนว่าหนุ่มพรานน�ำทางจะหลงรักครูสาวดูดดื่ม เขาคิดว่าเธอ ยอมรับรัก แต่ก็ได้รับค�ำบอกกล่าวว่าครูส่งจดหมายมาบอกเลิก เจ้าหนู หัวใจสลาย สอบถามว่างานแต่งงานจะจัดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ฉันหวังว่า เจ้าหนูคงไม่โผล่ไปที่นั่น กลายตัวตลกให้ผู้คนโห่ฮาเยาะเย้ยนะ” “ก็ไม่เชิง...ไอ้หนูฉกเจ้าสาวจากแท่นพิธี” 114


“โอ, พระเจ้าช่วย” “จะเป็นไปได้ไหมที่เจ้าหนูจะเปลี่ยนจากม้ามาเป็นรถยนต์?” “สวรรค์โปรด ไม่มที าง ไม่เคยนัง่ รถแม้สกั ครัง้ ในชีวติ ไปไหนก็ขมี่ ้า ไป หายไปในทุ่งกว้างเป็นนิจ” “เขาจะไปที่ไหนได้?” “เป็นไปได้มากว่าจะมุง่ หน้าลงใต้ เทือกไพรออร์ ล่าสัตว์และดักสัตว์ ที่นั่นมาตลอดชีวิต” “ขอบคุณมาก, ศาสตราจารย์ ท่านช่วยงานของเราได้มากทีเดียว” นายอ� ำ เภอวิ ท ยุ ย กเลิ ก การปิ ด กั้ น ถนน โทรศั พ ท์ ไ ปหานั ก บิ น เฮลิคอปเตอร์มณฑลคาร์บอน สั่งการให้น�ำเครื่องขึ้นฟ้า รายงานข่าวให้ ทราบ จากนั้น นายอ�ำเภอลูอิสนิ่งรอโทรศัพท์จากบิ๊กบิล แบรดด็อก นายอ�ำเภอลูอิสเป็นผู้รักษากฎหมายชั้นดี เคร่งครัดซื่อตรงหากแต่ เปี่ยมด้วยเมตตา เขาอยากช่วยเหลือผู้คนยิ่งไปกว่าการจับยัดขังคุก แต่ กฎหมายก็คือกฎหมาย หากท�ำผิด ก็ไม่รีรอที่จะลากคอเข้ากรง ปู่ของเขาเป็นทหารม้า เสียชีวิตกลางท้องทุ่ง ทิ้งแม่หม้ายกับลูกชาย อีกคนไว้ในป้อมลินคอล์น แม่หม้ายสงครามแต่งงานกับทหารม้าอีกคน ที่มาประจ�ำการทางตะวันตกของมอนทานา พ่อของเขาเติบใหญ่ในเมือง แต่งงานสองครั้ง การแต่งงานครั้งแรกในปี 1900 ได้ลูกสาวสองคน เมื่อ ภรรยาเสียชีวติ เขาแต่งงานใหม่ในตอนทีม่ อี ายุ 45 ปี ได้ลกู ชายคนเดียว ในปี 1920 นายอ�ำเภอลูอิสอายุห้าสิบแปด จะปลดเกษียณในอีกสองปีขา้ งหน้า หลังจากนั้น เขารู้จักทะเลสาบหลายแห่งในมอนทานาและไวโอมิงที่มีปลา เทราต์อวบอ้วน รอท่าท้าทายการเดินทางไปเยือนของเขา นายอ�ำเภอไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีแต่งงาน ไม่กังขาถกหาเหตุ ผล สี่ครั้งสี่คราวในรอบหลายปีที่ผ่านมา นายอ�ำเภอเคยสอบสวนคดีเมา สุราอาละวาดของเควิน แบรดด็อก ทุกคดี เจ้าของร้านเหล้าได้รับเงิน 115


ตบรางวัลชดเชยจนไม่มีใครแจ้งความตั้งข้อหา นายอ�ำเภอไม่ค่อยใส่ใจนัก กับการร�ำก�ำปั้นดวลกันของเด็กหนุ่ม แต่พิโรธตาลุกเป็นไฟในคดีที่หนุ่ม เควินทุบตีสาวบาร์ เนื่องเพราะแม่นางไม่ยินยอมร่วมรักวิตถาร นายอ�ำเภอลูอิสโยนหนุ่มเควินเข้าคุก ตั้งใจจะด�ำเนินคดีจนถึงที่สุด แต่แม่นางเปลี่ยนใจ กลับค�ำให้การว่าแผลฟกช�้ำเกิดขึ้นเพราะซุ่มซ่าม ตกบันไดลงมาเอง ข้อมูลอีกชิ้นที่นายอ�ำเภอไม่เคยเผยให้ผู้ใดทราบ สามปีก่อนหน้านี้ เขาได้โทรศัพท์จากเพื่อนต�ำรวจในเฮเลนา เพื่อนสนิทเมื่อครั้งเรียนอยู่ใน โรงเรียนต�ำรวจด้วยกัน เพื่อนคนนั้นเล่าถึงการบุกไนต์คลับ จู่โจมเข้าจับยาเสพติด ชื่อเสียง เรียงนามและทีอ่ ยูข่ องชายนักเทีย่ วทุกคนจดแจ้งไว้ในบันทึกการจับกุม หนึง่ ในจ�ำนวนนั้นคือ เควิน แบรดด็อก หากมียาเสพติดติดตัว ก็คงก�ำจัด ทิ้งไปได้ทันเวลา เมื่อไม่มีหลักฐาน ต�ำรวจต้องปล่อยตัว แต่ไนต์คลับ แห่งนั้นเป็นบาร์เกย์ โทรศัพท์กรีดกริ่ง มิสเตอร์วาเลนติโน ทนายหน้าหอของบิ๊กบิล แบรดด็อก “นายอ�ำเภอคงได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นตอนบ่ายวันนี้แล้ว ปลัดอ�ำเภอ เข้าไปในที่เกิดเหตุ ในอีกไม่กี่นาทีถัดมา” “เท่าทีท่ ราบ ดูเหมือนว่าทุกอย่างไม่ดำ� เนินไปตามแผนงานทีว่ างไว้” “ได้โปรดอย่าได้ล้อเล่นให้เห็นข�ำ, นายอ�ำเภอลูอิส เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นการลักพาตัวเหี้ยมเกรียมโฉดชั่ว อาชญากรจะต้องถูกคร่าจับกุมตัว” “ได้ยินเต็มสองหู, คุณทนาย แต่จากปากค�ำของแขกผู้มาร่วมงาน และเจ้าหน้าทีจ่ ดั เลีย้ ง ดูเหมือนว่าเจ้าสาวให้ความร่วมมือ ตะกายขึน้ ไปนัง่ บนหลังม้า และดูเหมือนว่าจะรักใคร่กบั ไอ้หนุม่ เสือ้ หนังกวางคนนัน้ มาก่อน แล้ว ในมุมมองของฉัน ดูจะเป็นเรื่องรักกันหนาพากันหนีเสียมากกว่า” “ถ้อยเหลวไหล, ท่านนายอ�ำเภอ ถ้าเจ้าสาวประสงค์จะถอนหมั้น 116


ก็ไม่มีอะไรมาขัดขวาง เจ้าสาวถูกยื้อยุดลากถูไปโดยใช้ก�ำลังประทุษร้าย อาชญากรผู ้ นั้ น ท� ำ ผิ ด ฐานบุ ก รุ ก เข้ า มาในเคหสถาน แล้ ว ยั ง ใช้ ก� ำ ลั ง ประทุษร้ายถีบหน้าองครักษ์สองนาย แถมด้วยการท�ำให้เสียทรัพย์ วินาศ สันตะโร ท่านแบรดด็อกประสงค์จะแจ้งความด�ำเนินคดีถึงที่สุด ทุกข้อหา ท่านนายอ�ำเภอจะลากคออาชญากรผู้นี้มารับโทษ หรือว่าจะให้เราด�ำเนิน การเอง?” นายอ�ำเภอลูอิสไม่เคยอดทนข่มกลั้นต่อค�ำขู่ท้าทาย “ฉันไม่คดิ ว่าคุณกับลูกความของคุณคิดไปถึงการตัง้ ศาลเตีย้ พิพากษา โทษเสียเองกระมัง, คุณทนาย เพียงแค่คิดก็ไม่ใคร่ฉลาดเท่าไหร่” ทนายหน้าหอไขหูไม่ฟังค�ำขู่โต้กลับ “ท่านแบรดด็อกเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของลูกสะใภ้ เขามีสิทธิ เต็มเปี่ยมในการค้นหา พาตัวเธอคืนกลับมาสู่ความปลอดภัย” “พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วหรือ?” “อะไรนะ?” “บุตรชายของลูกความของคุณกับสาวเจ้าเป็นสามีภรรยากันตาม กฎหมายแล้วหรือไม่?” “ก็...” “เช่นนั้น ก็ยังไม่อาจถือได้ว่าสาวน้อยเป็นลูกสะใภ้ของท่านแบรดด็ อก เธอมิใช่ญาติ ตระกูลแบรดด็อกไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีส่วนได้เสีย” “ก่อนจะได้ขอ้ มูลใหม่มาเพิม่ เติม เธอก็ยงั เป็นคูห่ มัน้ ของลูกความของ ฉัน ท่านแบรดด็อกท�ำทุกประการในฐานะพลเมืองดี นายอ�ำเภอจะลาก คออาชญากรมารับโทษหรือไม่? หากไม่ไหว ยังมีกองก�ำลังที่เฮเลนานะ” นายอ�ำเภอลูอิสถอนหายใจยาว เขาทราบดีว่าอิทธิพลของบิ๊กบิล แบรดด็อกต่อสมาชิกสภาในเฮเลนา เมืองหลวงของรัฐมีมากแค่ไหน เขา ไม่กลัวอิทธิพลนั้น แต่ไอ้หนุ่มเสื้อหนังกวาง, เบน เครก หวดรังต่อ ท�ำ ผิดกฎหมายอย่างไม่ต้องสงสัย 117


“ในทันทีทมี่ ผี พู้ บตัว ฉันจะไปทีน่ นั่ ” นายอ�ำเภอลูอสิ วางหูโทรศัพท์ ความคิดผุดขึ้นมาในใจว่าเขาจะต้องเร่งรุดไปถึงตัวหนุ่มสาวหนีงานวิวาห์ ก่อนคนของแบรดด็อก นักบินเฮลิคอปเตอร์ตอ่ สายเข้ามา บ่ายสีโ่ มง เหลือ เวลาฟ้าเปิดอีกสองชั่วโมงก่อนอาทิตย์จะจมดวงสิ้นแสงสว่าง “เจอร์รี ฉันอยากให้แกไปที่ไร่บาร์-ที วนดูแถวนั้นก่อน แล้วบินต่อ ไปที่เทือกไพรออร์ มองข้างหน้าและซ้ายขวา” “มองหา ‘ไร, นายอ�ำเภอ?” “ชายบนหลังม้า น่าจะมุ่งหน้าลงใต้ไปหาเทือกเขา มีสาวซ้อนท้าย สวมชุดแต่งงานผ้าไหมสีขาว” “ล้อเล่นเปล่า?” “ไม่ผิด ไอ้หนุ่มบนอานม้าฉกคู่หมั้นของลูกชายบิ๊กบิล แบรดด็อก จากแท่นพิธี” “ฮ่า, ฮ่า...ชักชอบหน้าไอ้หมอนีแ่ ล้วละ” นักบินส่งเสียงมาทางวิทยุ ในขณะที่น�ำเครื่องขึ้นจากสนามบินบิลลิงส์ “ค้นหาเขาให้ฉันด้วย, เจอร์รี” “ย.ห. ถ้าไอ้หนุ่มอยู่ในทุ่ง หาเจออยู่แล้ว ไปละ” นักบินโฉบมาเหนือไร่บาร์-ทีในอีกห้านาทีถัดมา ก่อนจะบ่ายหน้ามุ่ง ลงใต้ คงระดับความสูงไว้ที่หนึ่งพันฟุต ต�่ำพอจะมองเห็นคนขี่ม้ากลาง ทุ่ง และสูงพอจะมองกวาดทางซ้ายและขวา มองเห็นบริเวณกว้างสิบไมล์ ทางขวามือจะเป็นทางหลวง 310 และรางรถไฟมุ่งลงใต้ไปยัง หมู่บ้านวอเร็น ตัดผ่านทุ่งราบออกสู่ไวโอมิง เลยไกลไปข้างหน้า นักบิน มองเห็นเทือกไพรออร์ เผื่อคนบนหลังม้าจะเปลี่ยนทิศ ตัดข้ามทางหลวง มุ่งหน้าไปทาง ตะวันตก นายอ�ำเภอลูอิสสั่งให้ต�ำรวจทางหลวงแล่นตรวจทางหลวง 310 เบิ่งตาให้กว้างไว้ มองสองฟากถนน เผื่อจะพบคนบนหลังม้าที่โผล่พ้น เรียวหญ้าสูงของทุ่งแพร์รี 118


บิ๊กบิล แบรดด็อกไม่อยู่นิ่งเฉย ปล่อยให้คนงานในไร่ดูแลเก็บกวาด ความวายป่วงบนสนามหญ้า เขาพาองครักษ์ประจ�ำตัวเข้าไปในห้องท�ำงาน บิ๊กบิลไม่เคยสร้างชื่อว่าเป็นคนอารมณ์ดีมีอารมณ์ขัน แต่ลูกน้องก็ไม่เคย เห็นเจ้านายเดือดจัดขนาดนีม้ าก่อน นาทีนนั้ เขานัง่ เงียบงันทีโ่ ต๊ะท�ำงาน ทหารประจ�ำตัวกว่าโหล ยืนเรียงรายในห้อง รอพร้อมรับค�ำสั่ง “เราจะท�ำยังไง, เจ้านาย?” ทหารคนหนึ่งอดรนทนไม่ได้ ส่งเสียง ถาม “คิด...” เจ้าของไร่ปศุสัตว์ตวาด “คิดให้หนัก คนบนหลังม้า แบกสัมภาระหนัก ไปได้ไม่ไกล มันจะไปที่ไหน?” แม็กซ์ อดีตนายทหารกรีนแบเรต์ กวาดสายตามองแผนที่แผ่นใหญ่ บนผนังห้อง “ไม่ไปทางเหนือ เพราะต้องข้ามเยลโลว์สโตน ลึกเกินไป ก็ต้องไป ทางใต้ ย้อนกลับไปที่ป้อมจ�ำลองบนเนินเขา” “ชัดเลย ฉันต้องการคนสิบคน ขึ้นม้า อาวุธครบมือ มุ่งหน้าลงใต้ แผ่เป็นหน้ากระดานห้าไมล์ ควบม้าเหมือนนรกแตก ไปดักลากคอมัน” เมื่อโคบาลทั้งสิบพร้อมออกเดินทาง บิ๊กบิลมีค�ำสั่งสุดท้าย “พวกแกมีวิทยุติดตัว รายงานทุกระยะ พบตัวมันเมื่อไหร่ วิทยุ กลับมารายงานขอก�ำลังสนับสนุน หากล้อมมันไว้ได้ พาอีสาวกลับมาคน เดียว ถ้ามันแสดงอาการคุกคามพวกแกหรือหญิงสาว พวกแกก็รู้อยู่แล้ว ว่าควรท�ำอะไร ฉันต้องการผูห้ ญิงกลับมาคนเดียว เข้าใจไหม...ไปได้แล้ว” ม้าทัง้ สิบโผออกจากประตูหน้า แผ่เป็นหน้ากระดานควบตะบึงไปเต็ม ฝีเท้า เหยือ่ แห่งการไล่ลา่ ออกเดินทางล่วงหน้าก่อนสีส่ บิ นาที แต่มคี นสอง คนบนหลัง ไรเฟิล อานม้าและบรรทุกม้วนหนังควายผืนโต ในห้องท�ำงาน วาเลนติโนรายงานต่อบิ๊กบิล “นายอ�ำเภอดูเหมือนจะไม่รอ้ นรน แต่จะจัดกองก�ำลังออกค้นหา ส่ง รถสายตรวจออกตระเวนทางหลวง อาจมีเฮลิคอปเตอร์ด้วย” 119


“ฉันไม่อยากให้มนั ไปถึงทีน่ นั่ ก่อนฉัน” บิก๊ บิลตวาด “...แต่อยาก ทราบว่ามันได้ข้อมูลใดบ้าง แม็กซ์ไปที่ร้านวิทยุ ฉันต้องการกวาดทุกคลื่น ทีต่ ำ� รวจติดต่อสือ่ สารกัน หาพนักงานวิทยุประจ�ำการยีส่ บิ สีช่ วั่ โมง ส่งเฮโล ของฉันขึน้ ฟ้า บินน�ำหน้าทหารม้าของเรา ค้นหาไอ้หมอนัน่ ให้เจอ รายงาน กลับมาชี้เป้าให้คนของเรา เราต้องใช้เฮโลมากกว่าหนึ่งเครื่อง เช่าอีกสอง ล�ำจากสนามบิน ไปเลย, เดี๋ยวนี้” ทุกคนคาดผิด ศาสตราจารย์ นายอ�ำเภอและแบรดด็อก...พราน น�ำทางมิได้มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาไพรออร์ เขาทราบดีว่าเห็นชัดถนัดตา เกินไป ห้าไมล์จากบ้านไร่ เขาหยุดม้า ดึงผ้าห่มอานม้ามาห่มคลุมลมกระซิบ ผ้าห่มสีแดงสด แต่ก็ยังน้อยกว่าสีขาวมันเลื่อมของชุดแต่งงาน เขาไม่เคย รูจ้ กั เฮลิคอปเตอร์มาก่อน หลังการหยุดม้า เขาเหเส้นทางมุง่ หน้าลงตะวัน ตกเฉียงใต้ ตรงไปยังแผ่นดาดหินด�ำที่เคยเห็นในฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ห่างราวหนึ่งไมล์ เขามองเห็นเสาไม้ปักเรียงรายสองข้างทาง มีเส้น ลวดขึงระย้า พาดผ่านไปสุดลูกหูลกู ตา นัน่ เป็นสายโทรศัพท์พาดสายขนาน รางรถไฟเบอร์ลิงตัน ขนานกับทางหลวง บ่ายสามครึ่ง เจอร์รีรายงานทางวิทยุจากซิกอร์สกีกลางฟ้า “พอล, แกบอกว่ามีคนเดินม้าเดี่ยว ก็อดแดม, ข้างล่างนั่นม้าแล่น พล่านเป็นกองทัพเลยว่ะ” น่าจะเป็นกองก�ำลังของแบรดด็อก นายอ�ำเภอคิดในใจ “เห็นอะไรบ้าง, เจอร์รี?” เสียงวิทยุแตกพร่า “เท่าที่นับได้ ม้าแปดม้า ขี่เรียงหน้ากระดาน ควบเต็มฝีเท้ามุ่ง หน้าลงใต้ ดูจากเสื้อผ้า น่าจะเป็นคนงานในไร่ เดินทางเบา เคลื่อนที่เร็ว แล้วก็มีเฮโลอีกล�ำ ลอยตัวอยู่เหนือเนินเขา ใกล้ป้อมเฮอริเทจ” ลูอิสสบถเบา ๆ ออกมา คิดว่าน่าจะไปอยู่บนเครื่องเฮลิคอปเตอร์ 120


แทนที่จะจ่อมอยู่ในห้องท�ำงาน “เจอร์รี ถ้าไอ้หนุ่มอยู่แถวนั้น พยายามไปคว้าตัวมาให้ได้ก่อน ถ้า อันธพาลของแบรดด็อกไปถึงก่อน ไอ้หนุ่มคนนั้นไม่เหลือซากแน่ๆ” “ได้เลย, พอล ฉันจะดูให้” ในบ้านไร่ พนักงานวิทยุยื่นหน้ามารายงานในห้องท�ำงาน “ท่านครับ เฮลิคอปเตอร์ของนายอ�ำเภอบินอยู่เหนือทีมม้าของเรา” “มีประจักษพยาน” แม็กซ์กล่าวรับ “ยืนยันค�ำสัง่ เดิม” แบรดด็อกค�ำรามออกมา “...ค่อยไปแก้คดีความ ในศาลภายหลัง” นายอ�ำเภอลูอิสอดดีใจมิได้ที่ปักหลักบัญชาการในห้องท�ำงาน อีกห้า นาทีก่อนห้าโมงเย็น วิทยุรายงานเข้ามา เสียงละล�่ำละลักตื่นเต้น “...ได้ ตัวแล้วครับ” “ผู้ส่งข่าว, รายงานตัว” “รถแทงโกวัน บนทางหลวงสามหนึ่งศูนย์ เขาเพิ่งตัดข้ามทางหลวง มุง่ หน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ มองเห็นแว่บเดียวก่อนจะหายลับเข้าดงไม้” “ที่ไหนบน 310?” “สี่ไมล์ ทางเหนือของเมืองบริดเจอร์” “ยืนยันเป้าหมาย ทางตะวันตกของทางหลวง” นายอ�ำเภอลูอสิ แพร่ ข่าวทางวิทยุ “รับทราบครับ, นายนายอ�ำเภอ” “ตระเวนทางหลวง เผื่อเป้าหมายจะวกกลับ” “เท็น-โฟร์” นายอ�ำเภอลูอิสตรวจแผนที่บนผนัง หากคนเดินม้ามุ่งหน้าต่อไป ในทิศทางเดิม ก็จะตัดข้ามรางรถไฟ และทางหลวงระหว่างมลรัฐ 212 ขนาดใหญ่ ข้ามเทือกเขาไปยังมณฑลปาร์ก มลรัฐไวโอมิง รถต�ำรวจทางหลวงสองคัน นายอ�ำเภอสัง่ ให้เปลีย่ นเส้นทางไปตระเวน 121


ทางสาย 212 แล่นลงใต้ จับตามองคนเดินม้าตัดข้ามจากตะวันออกมา ตะวันตก จากนั้น วิทยุติดต่อนักบินเฮลิคอปเตอร์ “เจอร์รี, พบตัวแล้ว ทางตะวันตกของคุณ เพิ่งข้าม 310 ไป ทางตะวันตกเฉียงใต้ บินไปที่นั่นได้ไหม? ราวสี่ไมล์ ทางเหนือของเมือง บริดเจอร์ ตัดเข้าไปในทุ่งโล่งอีกแล้ว” “ได้เลย, พอล แต่น�้ำมันเกือบหมดแล้ว แสงไม่เหลือแล้ว” นายอ�ำเภอตรวจแผนที่ เพ่งไปที่ชุมชนเล็กๆ รอบเมืองบริดเจอร์ “มีสนามบินที่บริดเจอร์ บินจนหมดน�้ำมัน ลงจอดที่นั่น อาจต้อง พักค้างคืน ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะแจ้งข่าวให้เจนีย์ทราบเอง” ในบ้านไร่ เรื่องราวเดียวกันนั้นได้ยินเต็มสองหู แม็กซ์ศึกษาแผนที่ “หมอนัน่ ไม่ไปทีไ่ พรออร์ ชัดเกินไป มุง่ หน้าไปหาเทือกวิลเดอร์เนสส์ กับแบร์ทูธ มันคิดจะตัดข้ามเทือกเขาออกสู่ไวโอมิง กลืนหายไปในป่า รกร้าง ฉลาดดีว่ะ ถ้าเป็นผมก็คงท�ำแบบเดียวกัน” พนักงานวิทยุของแบรดด็อกสั่งให้ทหารม้าทั้งสิบ บ่ายหน้าไปทาง ตะวันตก ข้ามทางหลวง แผ่เป็นหน้ากระดานค้นหา หัวหน้าคณะรับ ค�ำสั่ง แต่แจ้งให้ทราบว่า ม้าเหนื่อยเกินไป คงพอค้นหาได้อีกไม่เกิน สิบห้าไมล์ แสงตะวันเหือดหายแล้ว “ส่งคนโดยรถยนต์ไปตามทางหลวงระหว่างรัฐ มันต้องเดินม้าตัดข้าม ถ้าอยากจะออกสู่วิลเดอร์เนสส์” แม็กซ์บัญชาการ รถออฟโรดสองคันบรรทุกทหารอีกแปด มุ่งหน้าออกจากบ้านไร่ เดินม้าใกล้ทางหลวงระหว่างรัฐ เบนลงจากหลังม้า ปีนไต่ต้นไม้ บนเนินศึกษาภูมิประเทศรอบข้าง เบื้องหน้าเป็นทุ่งโล่ง มีรางรถไฟสาย เบอร์ลงิ ตัน นานๆ ครัง้ จะมีรถยนต์แล่นบนทางหลวง มุง่ หน้าไม่ทางเหนือ ก็ทางใต้ ไม่วา่ จะมองไปทางใด มีแต่ทงุ่ หิน เรียวหญ้าสูงจนถึงท้องม้า เขา ลงจากต้นไม้ หยิบชุดเหล็กไฟออกจากกระเป๋าอานม้า ลมพัดจากตะวันออก เมื่อไฟเผาหญ้าลุกโชน ไฟดาหน้าเลียกว้างไป 122


เป็นแผงยาวราวหนึ่งไมล์ กลุ่มควันหนาทึบจะพัดไปคลุมทางหลวง กลุ่ม ควันขาวก่อตัวหนาในแสงสุดท้ายของวัน พัดมุง่ หน้าไปทางตะวันตก ควัน ทึบคลุมถนนจนมองไม่เห็นทาง รถต�ำรวจทางหลวง มองเห็นกลุ่มควัน หักรถเปลี่ยนทิศทางมา ตรวจสอบ เมื่อควันหนาทึบ ต�ำรวจหยุดรถ แต่ก็สายเกินไปแล้ว รถจม อยู่ในกลุ่มควัน ไม่มีทางอื่นจะท�ำได้ นอกจากถอยหลัง คนขับรถแทร็กเตอร์ลากจูงรถพ่วงมุง่ หน้าลงใต้ไปยังไวโอมิง พยายาม หักรถหลบไฟท้ายของรถสายตรวจ ห้ามล้อท�ำงานได้ดี รถหยุดได้ตาม ประสงค์ แต่คันหลังที่ตามมาไม่โชคดีขนาดนั้น รถแทร็กเตอร์ลากจูงรถพ่วงใช้งานได้สมประโยชน์จนกว่าจะหักกลาง คันทีส่ องพุง่ เข้าชนข้อต่อ หักขวางเป็นก�ำแพงสองชัน้ กลางทางหลวง ปิดกัน้ การเดินรถ ไหล่ทางสองข้างเป็นเนินหิน ไม่มีทางขับรถอ้อม ต�ำรวจทางหลวงรายงานทางวิทยุได้เพียงครั้งเดียว ก่อนจะล่าถอย ออกไปจับกลุ่มกับชาวไร่ นอกถนน พ้นกลุ่มควัน ข่าวชิ้นนั้นพอเพียงแล้ว รถดับเพลิงและรถเครนลงใต้ไปปัดเป่าเรื่อง ฉุกเฉิน งานที่ต้องใช้เวลาทั้งคืน แต่จะเปิดถนนได้อีกครั้งตอนรุ่งสาง ข่าว วิทยุแพร่กระจายไปทั่วไวโอมิง เส้นทางลงใต้ผ่านภูเขาปิดตาย คนที่ออก เดินทางก่อนรานงานวิทยุ ถูกทิ้งร้าง พักค้างคืนบนทางหลวง ในความโกลาหล บดบังในกลุ่มควันหนาทึบ คนบนอานม้าชักม้าตัด ข้ามทางหลวงเข้าไปในทุง่ รกร้างทางตะวันตก ชายผูน้ นั้ มีผา้ เช็ดหน้าปิดปาก จมูก หญิงสาวนั่งข้างหลัง คลุมตัวด้วยผ้าห่ม ทางตะวันตกของทางหลวง เขาลงจากหลังม้า กล้ามเนื้อของโรสบัด สัน่ ระริก เหงือ่ โซมตัว เหลือระยะทางอีกสิบไมล์ ลมกระซิบเลือ่ นตัวมานัง่ บนอาน น�้ำหนักตัวของเธอเพียงครึ่งของชายผู้เป็นรัก เธอปลดผ้าห่มออกจากร่าง ชุดสีขาวโพลนกระจ่างตัดความมืดย�ำ่ เย็น ผมสีด�ำแผ่สยายมาถึงบั้นเอว 123


“เบน, เราจะไปที่ไหน?” แทนค�ำตอบ เขาชี้มือไปทางใต้ เรียวแสงสุดท้ายของอาทิตย์จมดวง ลับเหลี่ยมแบร์ทูธ เปล่งแสงเจิดจ้าเหมือนเปลวเพลิงอาบเหนือเส้นขอบ ทิวไม้ ยอดเขากระจ่าง ยามยืนร่างทะมึนปกป้องชีวิตแสนสุข “ตัดข้ามเทือกเขาไปยังไวโอมิง ไม่มีใครค้นพบเราที่นั่น ข้าฯ จะ สร้างกระท่อมไม้ซุงให้เจ้า ล่าสัตว์และหาปลา เราจะเป็นไทแก่ตัว ร่วม ชีวิตกันชั่วนิรันดร์” เธอยิม้ รับ ยิม้ ด้วยความรักสุดหัวใจ เชือ่ ในถ้อยสัญญาของเขา หัวใจ อิ่มเอิบเปี่ยมสุข นักบินของแบรดด็อกไม่มที างเลือกนอกจากจะบ่ายหน้ากลับ เชือ้ เพลิง แห้งถัง พื้นดินเบื้องล่างมืดเกินกว่าจะมองเห็นอะไรได้ เฮลิคอปเตอร์ร่อน จอดในบ้านไร่ด้วยน�้ำมันหยดสุดท้าย ทหารม้าทัง้ สิบชักม้าเหนือ่ ยล้าเข้าไปในชุมชนบริดเจอร์ ขอทีพ่ กั และ อาหารเย็น ดึงผ้าห่มรองอานมาปูที่นอน เจอร์รีน�ำเฮลิคอปเตอร์ของนายอ�ำเภอลงจอดที่สนามบินบริดเจอร์ ผู้จัดการสนามบินหาอาหารเย็นและเตียงนอนค้างคืน ทีบ่ า้ นไร่ แม็กซ์, อดีตนายทหารกรีนแบเรต์ยดึ อ�ำนาจการวางแผนรบ ทหารม้าสิบนายถูกปล่อยเกาะพร้อมกับม้าเหนื่อยล้าที่บริดเจอร์ อีกแปด ติดอยู่ในรถออฟโรดบนทางหลวงระหว่างรัฐ ทั้งสองคณะนอนค้างติดที่ นั่นตลอดทั้งคืน แม็กซ์หันไปหาแบรดด็อกกับทหารอีกโหล แม็กซ์หลุด เข้าไปในดินแดนเคยคุ้น...เหมือนเมื่อครั้งท�ำศึกในเวียดนาม แผนที่ขนาด มหึมาติดบนผนังห้อง “แผนหนึง่ ...” แม็กซ์หนั มาบอก “...ตัดทางมัน หมายความตาม ตัวอักษร ตัดที่นี่ที่ธารเหว ตัดเทือกเขาเข้าไปในไวโอมิง...ธารร็อก ล�ำธาร คดเคี้ยวเลียบไปกับทางหลวง จนโผล่มาตอนใต้ “หมอนั่นอาจเดินม้าไปในทุ่งหญ้าเลียบทางหลวง เพื่อเลี่ยงการซุ่ม 124


โจมตีจากหน้าผา ในทันทีที่เปิดการติดขัดได้ เด็กพวกเราจะรุดไปที่นั่น ตะลุยกวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า ไปปักหลักรอที่เส้นปักเขตมลรัฐ ถ้ามัน โผล่มา ทุกคนทราบแล้วว่าจะต้องท�ำอะไร” “เห็นด้วย” แบรดด็อกค�ำราม “...แล้วถ้าเผื่อมันพยายามเดินม้าต่อ ไปในยามค�่ำคืน?” “ไม่มีทางครับท่าน ม้าของมันเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ผมคิด ว่ามันน่าจะข้ามทางหลวง เพื่อมุ่งหน้าเข้าราวป่า เมื่อผ่านแนวป่าไปได้ ก็จะตัดข้ามเทือกเขา ท่านก็พอจะมองเห็น หมอนั่นจะต้องตัดเข้าไปใน อุทยานแห่งชาติคสั เตอร์ ปีนไต่ขนึ้ สูง ตัดข้ามธารเหวทีเ่ รียกว่า เวสต์ฟอร์ก ไต่ขึ้นสูงอีกไปถึงที่ราบสูงซิลเวอร์รัน นั่นก็จะมาถึงแผนสอง “เราจะใช้เฮลิคอปเตอร์สองล�ำที่เช่ามา บินดักหน้า แวะไปรับทหาร สิบนายจากบริดเจอร์ น�ำทหารไปส่งลงทีเ่ ส้นปักเขตบนทีร่ าบสูง ในตอนที่ มันโผล่ออกจากราวป่ามายังทีร่ าบสูงดงหิน มันจะเป็นเป้านิง่ ให้ทหารซุม่ ยิง หลังก้อนหินบนที่ราบสูง” “สั่งการได้เลย” แบรดด็อกสนองรับ “...มีอะไรอีกไหม?” “แผนสาม ครับท่าน พวกเราทีเ่ หลือจะขึน้ ม้า ไล่หลังมันเข้าไปในป่า ไล่ต้อนมันให้ขึ้นไปยังที่ราบสูง มองจากมุมไหน มันก็เป็นกวางเนื้ออ่อน ให้เราลองปืน” “ถ้ามันแว้งงับเราในป่า” แบรดด็อกถาม แม็กซ์ยิ้มระเรื่ออิ่มเอมตาสุกใส “ท่านครับ ผมผ่านการฝึกการรบในป่ามาแล้ว มีทหารอีกสามหรือ สี่นายที่เคยผ่านเวียดนามมาด้วยกัน ผมน�ำทหารกลุ่มนี้ไปพร้อมกับเรา หากมันจะปักหลักสู้ในป่า หนังหัวของมันเป็นของผม” “แล้วเราจะพาม้าไปที่นั่นได้ยังไง ถ้าทางหลวงปิดตายอย่างนี้?” ทหารคนหนึ่งสอบถาม นิ้วมือของแม็กซ์ลากไปบนแผนที่ 125


“มีทางดินสายเล็ก ขนานทางหลวง ออกจากบิลลิงส์หา่ งมาทางตะวัน ตกราวสิบห้าไมล์ ผ่านดงหิน มาสิ้นสุดที่เรดลอดจ์ นี่เลย, ที่ปากเหว ธารร็อก เราบรรทุกม้าไปในรถตู้ เดินทางกลางคืน ขึ้นม้าตอนรุ่งสาง ออกเดินทางล่าไล่ ผมคิดว่าเราน่าจะนอนกันได้แล้ว นอนสักสีช่ วั่ โมง ออก เดินทางกันตอนเที่ยงคืน” แบรดด็อกผงกศีรษะรับ “...อีกเรื่องหนึ่งนะ, ผู้พัน ฉันจะร่วมทาง ไปด้วย เควินก็เช่นกัน เราอยากจะไปเห็นจุดจบของคนที่หยามหน้าฉัน ในวันนี้” นายอ�ำเภอลูอสิ มีแผนทีต่ ดิ ข้างฝาเช่นกัน สายตาทีก่ วาดไปยังจุดต่างๆ ได้ขอ้ สรุปคล้ายกัน เขาส่งวิทยุไปขอความช่วยเหลือจากเมืองเรดลอดจ์ ได้ รับค�ำตอบว่าจะเตรียมม้าไว้ให้พร้อมสิบสองม้า คึกสุดขีดพาดอานไว้รอท่า ในตอนรุ่งสาง เจอร์รีจะเติมน�้ำมันเต็มถังในช่วงนั้น พร้อมจะบินขึ้นฟ้า นายอ�ำเภอสอบทานกับหน่วยกู้ภัยบนทางหลวงระหว่างรัฐ ได้รับ รายงานว่าเส้นทางจะเปิดราวสี่นาฬิกาของวันใหม่ เขาร้องขอให้รถต�ำรวจ ของเขาสองคันเป็นระลอกแรกที่ได้ออกเดินทาง เขาจะไปถึงที่เรดลอดจ์ ได้ราวตี่สี่ครึ่ง ไม่มีปัญหาส�ำหรับการป่าวประกาศขอแรงจากอาสาสมัครท�ำงานวัน อาทิตย์ การตรวจตราความสงบเรียบร้อยในชุมนุมคนเคารพกฎหมาย เป็น งานน่าเบือ่ ไร้สสี นั แต่การจัดทีมไล่ลา่ ช่วยให้อะดรีนาลินฉีดพล่าน นอกจาก จะมีเจอร์รใี นเฮลิคอปเตอร์แล้ว เขายังขอความช่วยเหลือไปยังนักบินอิสระ เจ้าของเครือ่ งบิน ‘ปากหมา’ เครือ่ งบินลาดตระเวนชีเ้ ป้าบนพืน้ ดิน แถม ด้วยหนุ่มฉกรรจ์บนหลังม้าอีกสิบ ซึ่งก็น่าจะเพียงพอส�ำหรับหนึ่งบุรุษหนึ่ง อาชา นายอ�ำเภอเขม้นจ้องแผนที่ “อย่าได้มุดเข้าป่า, ไอ้หนู” เสียงนั้นพึมพ�ำออกมา “...หลุดหาย เข้าไปในนั้น ยากจะควานหาเอ็งได้” ในขณะที่นายอ�ำเภอลูอิสส่งเสียงนั้น เบนกับลมกระซิบผ่านราวป่า 126


เข้าไปในดงทึบ ภายใต้ทรงพุ่มของลอดจ์โพลและสปรูซมืดสนิท เดินม้า ไปได้ครึ่งไมล์ เบนหยุดตั้งแคมป์ ปลดภาระจากตัวโรสบัด ไม่ว่าจะเป็น อานม้า สตรี ไรเฟิล และผ้าห่ม ใต้ต้นไม้ โรสบัดพบสายน�้ำรินไหลและ ใบสนอร่อยเขียวสด เคี้ยวกินพักผ่อนฟื้นพลัง พรานน�ำทางหนุ่มไม่ก่อกองไฟ ลมกระซิบไม่ต้องการความอบอุ่น เธอม้วนตัวเข้าไปในหนังควายผืนโต หลับใหลไปในทันใด เบนถือขวานใน มือเดินจากไป หายไปราวหกชั่วโมง ย้อนกลับมางีบหลับชั่วโมงเศษก่อน จะถอนแคมป์ เขาทราบว่า เลยไกลไปเบื้องหน้า จะมีธารน�้ำสายหนึ่งที่ เคยหยุดยั้งทั้งทหารม้าและไชแอนน์ในกาลก่อนนานมาแล้ว เขาอยากจะ ข้ามธารสายนั้น ไปอยู่อีกฟากหนึ่งก่อนที่ผู้ไล่ล่าจะคืบมาใกล้เข้ารัศมีการ ยิงของไรเฟิล โรสบัดสดชื่นขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ฟื้นจากความเหนื่อยล้าของการเดิน ทางยาวนานในวันที่ผ่านมา เขาจูงบังเหียนออกเดิน แม้จะได้พัก แต่ พละก�ำลังของโรสบัดจะเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ระยะทางยังยาวไกลอีก หลายไมล์ก่อนจะถึงที่ปลอดภัยบนยอดเขา เขาเดินเท้าชัว่ โมงเต็ม สดับทิศทางจากกลุม่ ดาวทีท่ อแสงผ่านช่องว่าง ของทรงพุม่ ไกลไปทางตะวันออก เหนือเทือกศักดิส์ ทิ ธิแ์ ห่งดาโกตา ดวง อาทิตย์แต้มสีชมพูเรื่อเรืองจับขอบฟ้า เขาเดินมาถึงธารเหวลึก ที่เรียกกัน ว่าเวสต์ฟอร์ก เขาทราบว่าเคยมาถึงที่นี่ มีทางข้ามรอให้เขาค้นพบอีกครั้ง การ เสาะหาทางตัดข้ามกินเวลาชั่วโมงเต็ม โรสบัดดื่มน�้ำเย็นเฉียบจากสายธาร เลื่อนไถล หาที่วางเท้ามั่นคง ก่อนจะดันตัวขึ้นตลิ่งฝั่งตรงข้าม เบนปล่อยให้โรสบัดพักผ่อนอีกชั่วระยะ ลัดเลาะมาหาที่ซ่อนริมธาร ทีจ่ ะมองเห็นเส้นทางตัดข้ามธาร เขาอยากทราบว่ามีผตู้ ดิ ตามล่าไล่จำ� นวน เท่าใด คนพวกนั้นจะต้องนั่งบนหลังม้าใหม่สดพลังเต็มปรี่ แต่ก็แปลกที่ คณะผูต้ ดิ ตามมีกล่องโลหะประหลาดทีบ่ นิ ร่อนกลางฟ้าเหมือนนกอินทรี ใต้ 127


ปีกหมุนกวัดแกว่ง ส่งเสียงค�ำรามเหมือนกวางมูซติดสัด เขาเคยเห็นกล่อง โลหะบินได้เหนือทุ่งหินเมื่อวันก่อน เป็ น ไปตามที่ ใ ห้ สั ญ ญาไว้ คณะกู ้ ภั ย จั ด การเปิ ด การเดิ น รถบน ทางหลวงได้ราวตีสี่เศษ รถต�ำรวจทางหลวงน�ำรถสองคันของนายอ�ำเภอ ผ่านรถจอดเรียงเป็นสาย มุ่งหน้าไปยังเรดลอดจ์ ห่างไปทางใต้ราวสิบห้า ไมล์ แปดนาทีถัดมา รถออฟโรดสองคันเร่งความเร็วแซงหน้าไป “เราจะไล่ตามไหมครับ?” ต�ำรวจหันมาถาม “ปล่อยมันไปเหอะ” นายอ�ำเภอตอบ รถออฟโรดเร่งความเร็วเข้าเมืองเรดลอดจ์ มุ่งหน้าไปหาหุบเขาที่ทาง หลวงระหว่างรัฐแล่นเลียบธารร็อก ถนนเลียบเขาแคบทุกขณะ เนินสูงชันคอแทบตั้งบ่า ขอบถนนทาง ขวามือ มองเห็นธารน�้ำหยักเลื้อยเบื้องล่าง ต�่ำลงไปห้าร้อยฟุต ทางซ้าย เป็นแนวป่าและผาหิน โค้งหักข้อศอกแคบจนแทบหักเลี้ยวไม่พ้น รถออฟโรดคันหน้าเข้าโค้งหักข้อศอกทีห่ า ้ เร็วเกินไป สายเกินไปทีจ่ ะ สังเกตเห็นต้นสนทีเ่ พิง่ ตัดโค่นใหม่พาดขวางถนน ตัวรถข้ามไปทางฝัง่ ใต้ใน ขณะที่ล้อทั้งสี่อยู่ทางเหนือ ในรถมีบุรุษห้าคน รวมทั้งสิ้นสิบขา ขาหักไป สี่ เพิ่มเติมด้วยแขนอีกสาม ไหปลาร้าสอง และกระดูกเชิงกรานอีกหนึ่ง คนขับออฟโรดคันทีส่ องมีทางเลือกเด่นชัด หักขวาตกลงไปในธารน�ำ้ สูงลิบเบื้องล่าง หักซ้ายเข้าหาแผ่นผา ก่อนสมองจะสั่งการ มือหักเลี้ยว ซ้าย ภูเขาชนะ สิบนาทีถดั มา คนทีไ่ ด้รบั บาดเจ็บน้อยทีส่ ดุ ออกเดินไปขอความช่วย เหลือเมือ่ รถแทรกเตอร์ลากจูงรถพ่วงแล่นเข้าโค้งมา เบรกแทรกเตอร์ยงั ใช้ งานได้ดีเหมือนคราวก่อน แต่รถพ่วงไม่ยอมหยุด พุ่งเข้าชนแทรกเตอร์หัก กลาง ขวางถนน รถพ่วงประท้วงด้วยเสียงเอียดออดพลิกหงายท้อง นายอ�ำเภอลูอสิ กับปลัดอ�ำเภออีกเจ็ดเดินทางมาถึงเรดลอดจ์ ต�ำรวจ 128


ประจ�ำเมืองรอรับพร้อมม้าพาดอาน ในจ�ำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอีก สอง หนึง่ ในจ�ำนวนนัน้ วางแผนทีก่ างหน้ากระโปรงรถ ชีจ้ ดุ สังเกตส�ำคัญ ในอุทยานแห่งชาติคัสเตอร์ “ป่าไม้ผ่าแยกแตกเป็นสองเสี่ยง แนวตะวันออกตะวันตก ด้วยธาร เหวลึกเวสต์ฟอร์ก” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าบอกกล่าว “...ฟากนี้จะเป็นลาน กางกระโจมและเส้นทางเดินป่าส�ำหรับผูม้ าเยือนในฤดูรอ้ น เมือ่ ใดทีข่ า้ มธาร ไปแล้ว หลุดเข้าไปในป่าดงดิบทีเดียว หากคนที่นายอ�ำเภอตามล่าข้ามฝั่ง ไปแล้ว เราก็คงต้องตามแกะรอยกัน ดินแดนรกร้างรถแล่นไม่ได้ เพราะ เหตุนี้เราถึงได้เตรียมม้าไว้” “ป่าทึบแค่ไหน?” “ทึบทีส่ ดุ มืดจนแทบมองไม่เห็นฝ่ามือ อากาศอุน่ แบบนี้ ไม้ใบกว้าง ยังดกหนา ถัดไปเป็นป่าสน ทะลุเลยออกไปจะเป็นทีร่ าบสูงดงหินไปจนถึง ยอดเขา คนของนายอ�ำเภอรอดชีวิตได้ในนั้นหรือ?” “เท่าทีไ่ ด้ยนิ มา หมอนีเ่ กิดและโตในพงไพร” นายอ�ำเภอถอนหายใจ ยาว “ไม่มีปัญหา เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าตอบรับ “...เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินชี้เป้า และก็วิทยุรับส่ง เราจะควานจับตัว มาส่งให้นายอ�ำเภอเอง” คณะผูต้ ดิ ตามจะผละจากรถยนต์ และขึน้ ม้าออกเดินทางกันแล้ว ใน ตอนที่มีวิทยุโอนผ่านส�ำนักงานของนายอ�ำเภอ ข่าวนั้นมาจากผู้ควบคุม การบิน สนามบินบิลลิงส์ “ฉันมีคอปเตอร์สองล�ำ รอค�ำอนุมัติบินขึ้น” ผู้ควบคุมหอการบิน สอบถาม เขากับนายอ�ำเภอรู้จักมักคุ้นกันมานานหลายปี เคยตกปลาเท ราต์ด้วยกัน ซึ่งจะหาความผูกพันสนิทลึกซึ้งกว่านี้ได้น้อยเรื่องนัก “ที่จริงก็จะปล่อยขึ้นฟ้า แต่สองล�ำนี้แบรดด็อกเป็นคนเช่า แจ้งเส้น ทางการบินไว้ว่าจะมุ่งหน้าไปยังบริดเจอร์ เจอร์รีบอกว่ามีปัญหาที่นั่น น่า 129


จะเป็นเรื่องวายป่วงในพิธีแต่งงานที่ไร่บาร์-ที ออกข่าวย�่ำรุ่งวันนี้เอง” “ถ่วงเวลาไว้สักหน่อย สักสิบนาที” “ได้เลย” ผูค้ วบคุมหอการบินปิดการติดต่อ ผลักสวิตช์วทิ ยุแจ้งให้ นักบินเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองทราบ “...การอนุมัติบินขึ้น เลื่อนไปชั่วขณะ มีเครื่องบินจะแวะมาร่อนลงที่นี่” นายอ�ำเภอลูอิสนึกขึ้นมาได้ว่าเจอร์รีรายงานไว้ว่ามีม้าสิบม้า อาวุธ ครบมือ มุง่ หน้าลงใต้ตามล่าสองหนุม่ สาว คณะม้าทัง้ สิบน่าจะยังไม่ได้ยอ้ น กลับบ้าน อาจพักค้างแรมกลางทุ่งแพร์รีหรือไม่ก็พักในบริดเจอร์ หากถูก เรียกตัวกลับไร่ ท�ำไมไม่เดินทางต่อด้วยม้าทีพ่ กั ฟืน้ แล้วทัง้ คืน? นายอ�ำเภอ ต่อสายไปหาเพื่อนอีกคน ผู้อ�ำนวยการศูนย์บริหารการบินรัฐบาลกลางที่ เฮเลนา เสียงอู้อี้เมื่อผู้ถูกปลุกก่อนย�่ำรุ่งมารับสาย “น่าจะต้องเป็นเรื่องส�ำคัญนะ, พอล วันอาทิตย์ข้าฯ หยุดงานว่ะ” “มีปัญหาหน่อย สองหนุ่มสาวหนีตามกัน มุ่งหน้าไปยังแอ็บซาโร กาวิลเดอร์เนสส์ ฉันพาคณะปลัดอ�ำเภอออกติดตามน�ำตัวกลับบ้าน แต่ก็ ดูเหมือนว่าจะมีพลเมืองดี อาวุธครบมือ แต่งคณะล่าสัตว์ออกไปซ้อมเป้า ยิงปืน ผู้สื่อข่าวคงเกาะขบวนตามมาในตอนรุ่งเช้า แกพอจะประกาศให้ บริเวณวิลเดอร์เนสส์เป็นเขตห้ามบินได้ไหม?” “ไม่ยาก” “แล้วก็มีเฮโลอีกสองล�ำ รอค�ำอนุมัติบินขึ้นที่บิลลิงส์” “ใครอยู่ในหอควบคุมการบิน” “ชิป แอนเดอร์สัน” “ปล่อยให้เป็นธุระของข้าฯ “ สิบนาทีถัดมา นักบินเฮลิคอปเตอร์สองล�ำได้รับแจ้งจากหอควบคุม การบิน “ขอโทษด้วย เครือ่ งบินทีจ่ ะมาร่อนลง เปลีย่ นเส้นทางไปทางอืน่ แล้ว คุณได้รับค�ำอนุมัติให้บินขึ้นได้ หากไม่เฉียดเข้าไปใกล้เขตห้ามบินของศูนย์ 130


บริหารการบินรัฐบาลกลาง” “เขตห้ามบินที่ไหน?” “แอ็บซาโรกาวิลเดอร์เนสส์จากพื้นถึงระดับความสูงห้าพันฟุต” การจราจรทางอากาศและความปลอดภัยทางการบิน ค�ำสัง่ ของศูนย์ บริหารการบินรัฐบาลกลางถือเป็นกฎหมาย นักบินรับจ้างไม่คิดจะสูญ ใบอนุญาต สวิตช์เครื่องยนต์บิดดับ โรเตอร์หมุนเชื่องช้าก่อนจะหยุดนิ่ง บิ๊กบิล แบรดด็อกกับทหารทั้งสิบเดินทางมาถึงถนนดินก่อนรุ่งสาง มุง่ หน้าเข้าหาเมืองเรดลอดจ์จากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห้าไมล์หา่ งจากตัว เมือง ที่ขอบป่า ทหารจูงม้าลงจากรถบรรทุกม้า ตรวจอาวุธประจ�ำกาย ก่อนจะขึ้นอาน ชักม้าเข้าไปในราวป่า แบรดด็อกมีวิทยุรับส่ง ติดต่อกับศูนย์วิทยุที่บ้านไร่ เมื่อแสงอ่อน สาดตกต้องพุ่มพฤกษ์ เขาทราบว่าทหารสิบนายนอนกระจายเกลื่อน บนทางหลวงระหว่างรัฐริมธารร็อก และอีกสิบค้างเติ่งที่บริดเจอร์ ไม่มี เฮลิคอปเตอร์บินน�ำมาปล่อยลงบนที่ราบสูง แผนหนึ่งและแผนสองของ ผู้พันแม็กซ์กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว “เราต้องล่าไอ้เหีย้ มนัน่ ด้วยตัวเอง” มหาเศรษฐีปศุสตั ว์คำ� รามออกมา บุตรชายร่างอวบอ้วน หน้าตาหงุดหงิดร�ำคาญ ยกขวดแบนติดเอวขึ้นดื่ม ม้ากระจายขบวนออกเป็นแถวหน้ากระดาน ดาหน้าเดินเข้าป่า แผ่กว้าง กว่าครึ่งไมล์ สายตาสอดส่ายมองหารอยเกือกม้าบนพื้น เพียงครึ่งชั่วโมง ม้าหนึ่งพบร่องรอย รอยเกือกม้าของโรสบัดและรอยเท้าของคนที่เดินน�ำ หน้าม้า น่าจะเป็นรอยเท้าของคนสวมม็อกเคซิน แบรดด็อกวิทยุเรียก ชุมนุมพล ห่างไปข้างหลังอีกหนึ่งไมล์ ขบวนของนายอ�ำเภอลูอิสตาม หลังมา สายตาแหลมคมของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าใช้เวลาน้อยกว่านั้น ไม่เกิน สิบนาที “หนุ่มหลบหนีกฎหมายมีม้ากี่ตัว?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันมาถาม 131


“ตัวเดียว” นายอ�ำเภอลูอิสตอบ “รอยบนพื้น เท่าที่นับได้ มีมากกว่าสี่” “ห่ะ” นายอ�ำเภออุทานออกมา ใช้วทิ ยุตดิ ต่อไปยังวาเลนติโน ทนาย หน้าหอของแบรดด็อก “ลูกความของผมเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของคูห่ มัน้ ของบุตรชาย ส่งคณะบุคคลออกตามหา ผมรับประกันได้วา่ เขาไม่ได้เกินเลยขอบเขตสิทธิ ของตน” “คุณทนาย หากมีเรื่องเลวร้ายเกิดต่อหนุ่มสาวสองคนนั้น ฉันจะ เล่นงานด้วยข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา แจ้งเรื่องนี้ให้ลูกความของคุณ ทราบด้วย” นายอ�ำเภอลูอิสปิดวิทยุก่อนที่ทนายจะได้ประท้วง “พอล, ไอ้หนุ่มคนนี้ลักพาตัวเจ้าสาว แล้วก็มีไรเฟิลติดมือมาด้วย” ทอม บาร์โรว์ ปลัดอาวุโสพึมพ�ำบอก “...ดูเหมือนว่า เราต้องยิงก่อน ถามทีหลัง” “มีพยานหลายคนให้ปากค�ำว่าอีหนูกระโจนขึ้นหลังม้า” นายอ�ำเภอ สวนกลับ “ฉันไม่อยากเป่าไอ้หนุ่มให้เละเป็นก้อนเนื้อ เพียงเพราะมัน ท�ำแก้วแชมเปญแตก” “แล้วก็ถีบหน้าอีกสองคน” “เออ, แถมด้วยการถีบหน้าอีกสอง” “แล้วก็จดุ ไฟเผาทุง่ แพร์รจี นปิดกัน้ การสัญจรบนทางหลวงระหว่างรัฐ” “เอาเหอะ, รายการความผิดยาวเป็นหางว่าว แต่ไอ้หนุม่ นัน่ ก็เดินม้า เดียวดายกับสาวหน้าหวานอีกคน ม้าเหนื่อยแทบจะสิ้นลม แล้วก็มีไรเฟิล โบราณสมัยปี 1852 อ๋อใช่, มีลูกธนูกับคันศรอีกแน่ะ เรามีเทคโนโลยี ล�้ำยุค มันไม่มีอะไรเลย ให้ความยุติธรรมต่อมันบ้าง แกะรอยเกือกม้า ต่อเหอะ” เบน เครกซุ่มซ่อนอยู่ใต้ใบบัง มองเห็นม้าตัวแรกโผล่มาที่ทางข้าม 132


ธารน�้ำ จากระยะห่างห้าร้อยหลา เขามองเห็นร่างสูงใหญ่ของบิ๊กบิล แบรดด็อก และหุ่นอวบอ้วนขนาดย่อมของเควิน บุตรชายผู้ขยับตัวไปมา บนอานเพื่อลดอาการปวดบั้นท้าย หนึ่งในขบวนผู้ติดตามมิได้สวมเครื่อง แต่งกายตะวันตก หากแต่เป็นชุดลายพราง รองเท้าบู๊ตทหารและหมวก แบเรต์ คณะผู้ล่าไล่ไม่จ�ำเป็นต้องชักม้ามองหาเนินลาดข้ามล�ำธาร ไม่ต้อง มองหาตลิ่งต�่ำฝั่งตรงข้ามที่จะเดินม้า สิ่งที่ต้องท�ำมีเพียงแค่ตามรอยเกือก ม้าของโรสบัด ลมกระซิบไม่อาจเดินเท้าบนพื้นได้ในรองเท้าผ้าไหม และ โรสบัดก็ไม่อาจกลบเกลื่อนรอยเกือกม้าบนพื้นดินนุ่ม เขาจับตามองคณะผูต้ ดิ ตามชักม้าลุยธารน�ำ้ ใส หยุดม้ากลางน�ำ้ วัก น�้ำขึ้นดื่ม สาดรดใบหน้าแช่มชื่น ไม่มใี ครได้ยนิ เสียงลูกศร ไม่มใี ครมองเห็นว่าปล่อยออกจากทีไ่ หน ใน ตอนทีท่ กุ คนกระหน�ำ่ ยิงพุม่ พฤกษ์บนตลิง่ ฝัง่ ตรงข้าม พรานขมังธนูปลีกตัว หลบไปนานแล้ว ฝีเท้าแผ่ว ม็อกเคซินนุ่มไม่ทิ้งร่องรอยบนพื้น เบนย่อง กลับมาหาม้าและผู้หญิงของเขา จูงม้าพาเดินไต่ขึ้นสูง มุ่งหน้าสู่ยอดเขา ลูกศรเข้าเป้าที่เล็งไว้ ช�ำแรกผ่านเนื้อนุ่มลึกเข้าไป หัวหินเหล็กไฟ แตกกระจายเมื่อกระทบกระดูก ทหารสองนายล้มลง กรีดเสียงโหยหวน ด้วยความเจ็บปวด แม็กซ์ ทหารผ่านศึกเวียดนาม วิ่งข้ามล�ำธารไปยัง ตลิ่งฝั่งใต้ ทิ้งตัวนอนราบ กวาดสายตาไล่ไปทุกพุ่มใบ ไม่พบสิ่งใด หาก ศัตรูผู้ยิงจู่โจมก่อนยังอยู่ในละแวกนั้น การยิงคุ้มกันของเขาก็น่าจะช่วยให้ ทุกคนกลางธารน�้ำปลอดภัยได้ ทหารของแบรดด็อกช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคืนกลับขึ้นฝั่ง ทุกก้าวย่าง ก�ำกับด้วยเสียงกรีดร้อง “เราต้องพาสองคนกลับ, เจ้านาย” องครักษ์นายหนึ่งรายงาน “...ต้องเข้าโรงพยาบาล” “พามันขึ้นหลังม้า เดินม้ากลับ” แบรดด็อกสั่งการ 133


“เจ้านาย, ขึ้นนั่งอานไม่ได้...เดินก็ไม่ได้” ไม่มที างเลือกเป็นอืน่ นอกจากจะตัดไม้มาท�ำเปลหาม ทหารสีน่ ายใช้ เปลหามคนเจ็บทั้งสองย้อนกลับทางเดิม เหลือทหารข้างกายเพียงหกนาย และสูญเวลาไปอีกชัว่ โมง ขบวนของแบรดด็อกข้ามธารน�ำ้ มายังตลิง่ ฝัง่ ตรง ข้าม ภายใต้การยิงคุม้ กันของพันตรีแมกซ์ ทหารสีน่ ายหามเปลเข้าไปในป่า ไม่มผี ใู้ ดทราบว่าเปลเลือ่ นจะง่ายกว่า และประหยัดก�ำลังพลได้อกี สามนาย นายอ�ำเภอได้ยินเสียงการระดมยิง ใจหวาด เกรงผลเลวร้าย แต่ ในป่ารกทึบเช่นนี้ การควบตะบึงไปข้างหน้า ไม่ฉลาดนักที่จะไปเสี่ยงกับ ลูกกระสุนจากอีกคณะ คณะของนายอ�ำเภอพบพลเปลทั้งสี่ เดินย้อยรอย เกือกม้าย�่ำเป็นทาง “เกิดเรื่องห่ะอะไรกัน?” นายอ�ำเภอถาม ทหารของแบรดด็อกให้ ค�ำอธิบาย “มันหนีไปได้หรือเปล่า?” “ไปแล้ว ผู้พันแม็กซ์ตามไปฝั่งตรงข้าม มันเปิดหนีไปนาน” พลเปลเดินดุม่ ย้อนกลับไปหาความศิวไิ ลซ์ ขบวนของนายอ�ำเภอลูอสิ เคลื่อนที่ต่อไปจนถึงธารน�้ำ “พวกแกลบรอยยิ้มเปื้อนหน้าได้แล้ว” นายอ�ำเภอตะคอก หมด ความอดทนข่มกลัน้ ต่อไอ้หนุม่ พรานไพรทีเ่ ป็นเป้าของการล่าไล่ “...ไม่มใี คร ชนะสงครามด้วยลูกศรกับธนู พระเจ้าเป็นพยานเหอะ นี่ปี 1977 นะ” คนเจ็บสองนายที่คณะนายอ�ำเภอพบเห็น นอนคว�่ำหน้ามาบนเปล ลูกศรขนหางไก่งวงของไชแอนน์ปกั เด่นบนเนือ้ แก้มก้น คณะไล่ตดิ ตามของ นายอ�ำเภอลูอิสชักม้าลุยธารน�้ำ มองหาหินเรียบพอเป็นที่หยั่งเท้าม้า ไต่ ขึ้นตลิ่งฝั่งตรงข้าม ฝั่งนี้ไม่มีลานปิกนิกส�ำหรับผู้มาเที่ยวอุทยานแห่งชาติ อีกแล้ว นี่คือ ภูมิทัศน์ของโลก สมัยที่ยังอ่อนเยาว์ เจอร์รตี ระเวนฟ้าในเฮลิคอปเตอร์ หนึง่ พันฟุตจากยอดพุม่ เขม้นมอง จนเห็นคณะผูต้ ดิ ตามข้ามธารน�ำ้ มายังฝัง่ ตรงข้าม ลูกศรชีท้ ศิ ชัน้ ดี ผูห้ ลบหนี 134


จะต้องอยูใ่ นแนวทิศนัน้ ห่างออกไปข้างหน้า น่าจะอยูร่ าวป่าก่อนตัดข้าม ที่ราบสูง เจอร์รีมีปัญหากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความหนาทึบของพุ่มใบท�ำให้ เสียงวิทยุติดต่อกับนายอ�ำเภอลูอิสขาดหาย นายอ�ำเภอได้ยินเสียงของ นักบิน แต่จับความไม่ได้ว่าพูดเรื่องใด เสียงรบกวนแกรกกรากเซ็งแซ่ ค�ำขาดหายเป็นท่อน สิ่งเจอร์รีรายงานคือ “ผมเจอตัวมันแล้ว...มองเห็นแล้ว” เจอร์รีมองเห็นหนึ่งม้า จูงบังเหียนโดยคนเดินเท้า โดยมีหญิงนั่งบน อาน ห่อไหล่คลุมตัวด้วยผ้าห่ม ผู้หลบหนีเดินข้ามลานโล่งกลางป่าในตอนที่เฮโลเอียงล�ำให้นักบิน กวาดสายตามองพื้นเบื้องล่างได้ถนัดที่สุด เจอร์รีมองเห็นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ม้ากับคนจะเดินลับเข้าใต้พุ่มหนา เบน เครกเงยหน้ามองยอดพุ่มพฤกษ์ที่มียักษ์โลหะส่งเสียงกรีดกรอ เหนือศีรษะ “คนทีอ่ ยูบ่ นนัน้ จะแจ้งให้คนตามล่าทราบว่าเราอยูท่ ไี่ หน” ลมกระซิบ กล่าวบอก “จะบอกกันให้ได้ยินได้ยังไง เสียงกึกก้องขนาดนี้” “เชื่อเถอะ, เบน พวกเขามีวิธีบอกกัน” เช่นเดียวกับจอมไพร...เขาลากไรเฟิลชาร์ปออกจากซองหนังข้าง อานม้า ยัดกระสุนดินขับแรงสูงเข้าไปเพียงนัดเดียว เพื่อจะมองเห็นให้ชัด กว่านี้ เจอร์รีลดเพดานบินลงเหลือหกร้อยฟุต...ห่างจากพื้นดินเพียงสอง ร้อยหลา เฮโลลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ หัวปักลงเพื่อจะได้เห็นคนบนหลัง ม้าในลานโล่งอีกแห่งที่คาดว่าจะเดินมาถึง พรานไพรประทับเล็งประณีต นิ้วบีบไก ปืนค�ำรามก้อง กระสุ น เม็ ด เขื่ อ งเจาะทะลุ พื้ น พุ ่ ง ผ่ า นกลางหว่ า งขาของนั ก บิ น เฉียดผ่านใบหน้า เจาะประทุนใสเป็นรูปดาวแฉก มองจากพืน้ ดิน ซิกอร์สกี 135


เต้นไหวเยือก หมุนรอบตัวเป็นวง ก่อนจะเอียงฉีกไปด้านหนึ่ง ดึงตัวลอย สูง ไม่ยอมหยุดจนกระทัง่ ห่างจากทีเ่ กิดเหตุหนึง่ ไมล์...ทีร่ ะดับความสูงหนึง่ ไมล์เช่นกัน เจอร์รีแผดเสียงระรัวในไมโครโฟน “พอล, ไอ้บา้ นัน่ เป่าฉันเป็นรูเลยว่ะ ยิงผ่านหว่างขาเจาะประทุน ฉัน ต้องบินกลับบริดเจอร์ไปตรวจความเสียหาย ถ้ามันเจาะโรเตอร์ใหญ่ ป่านนี้ ฉันคงนอนทอดซากบนพื้นแล้ว ห่ะเช็ด ไม่คุยดีๆ ด้วยแล้ว” นายอ�ำเภอลูอสิ ไม่ได้ยนิ รายงานยาวเหยียดกลางฟ้า ได้ยนิ เพียงเสียง สะเทือนเลื่อนลั่นของปืนไรเฟิลยิงควาย และการเต้นบัลเลต์กลางฟ้าของ เฮลิคอปเตอร์ มองตามไปจนเฮโลบินลับขอบฟ้า “เรามีเทคโนโลยี” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าร�ำพึงออกมา “หุบปากเหอะ” นายอ�ำเภอลูอสิ ตวาด “...ไอ้หนุม่ คนนีต้ ดิ คุกหัว โตแน่ เคลื่อนที่ต่อ ไรเฟิลพร้อม เปิดหูเปิดตาให้ดี ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว เราล่าหนังหัวคนกันแล้วละ” พรานพงไพรอีกคนได้ยินเสียงไรเฟิล ระยะห่างไม่ถึงครึ่งไมล์ แม็กซ์ แจ้งให้เจ้านายทราบก่อนหน้านั้นว่าจะล่วงหน้าไปลาดตระเวน “มันจูงม้าเดิน นั่นก็หมายความว่าผมเคลื่อนที่ได้เร็วกว่า รับรอง ได้ว่าเงียบเชียบ มันไม่มีทางรู้ตัว ถ้ามองเห็นเป้า ผมพอจะเด็ดหัวมันได้ ผู้หญิงจะอยู่ห่างออกไปหลายฟุต” แบรดด็อกเห็นพ้อง แม็กซ์ลงจากหลังม้าหายลับเข้าไปในป่า เคลือ่ น เงียบเชียบจากทีซ่ อ่ นหนึง่ ไปยังอีกจุด มองกวาดข้างหน้าและรอบข้าง มอง หาการกระดิกไหวแม้เล็กน้อย ในตอนที่เสียงปืนแผดกึกก้อง เขาทราบ ทิศทาง ทราบว่าห่างไปข้างหน้าอีกเพียงครึง่ ไมล์ ร่างนัน้ เร่งฝีเท้ารุดเข้าหา เป้าหมาย เบื้องหน้า เบน เครกสอดไรเฟิลคืนกลับเข้าซองหนังข้างอานม้า จูงม้าเดินต่อไป เหลือระยะทางอีกเพียงครึ่งไมล์ก่อนจะเดินพ้นป่าออกสู่ 136


ที่ราบสูงดงหินที่รู้จักกันในชื่อซิลเวอร์รัน ยอดเขาสูงเสียดฟ้าเหนือทรงพุ่ม ดูเหมือนจะเคลือ่ นเข้ามาใกล้ขยายใหญ่ เขาทราบดีวา่ ถ่วงเวลาผูต้ ดิ ตามให้ เคลื่อนที่ช้าลง แต่ไม่อาจผลักดันให้เปิดหนีกลับไปได้ พวกนั้นยังแกะรอย ตามหลัง รุกคืบเข้าใกล้ทีละน้อย เสียงนกบนยอดไม้สงู เบือ้ งหลัง เขารูจ้ กั นกและรูจ้ กั เสียงร้อง เสียง ต๊อก-ต็อก-ต็อก ที่เลือนหายไปในขณะที่นกโผบินจากไป อีกตัวสนองรับ เสียงเดียวกัน...เสียงเตือนภัย เขาปล่อยให้โรสบัดและเล็มหญ้า เคลื่อน ห่างออกจากเส้นทางรอยเกือกม้ากว่ายีส่ บิ ฟุต วิง่ เหยาะย้อนกลับเข้าป่าสน แม็กซ์เคลือ่ นจากทีก่ ำ� บังหนึง่ ไปยังอีกแห่ง ตามรอยเกือกม้ามาจนถึง ลานโล่ง ชุดทหารลายพรางบวกรวมกับใบหน้าป้ายริ้วด�ำ พอจะส่งร่าง ให้กลืนหายไปในความมืดสลัวใต้เงาไม้ พันตรีแม็กซ์กวาดสายตามองไป โดยรอบ อมยิ้มเมื่อมองเห็นปลอกกระสุนทองเหลืองสุกปลั่งกลางลานโล่ง ลูกไม้โง่ๆ เขารู้ดีเกินกว่าจะวิ่งผลุนผลันออกไปยังลานโล่ง ยืนเด่นเป็น เป้าให้พลซุ่มยิงรอเด็ดหัว เขาทราบดีว่าไอ้หนุ่มเสื้อหนังกวางจะต้องอยู่ใน ละแวกนี้ วางเหยื่อล่อไว้บาดตาเกินไป สายตาของเขาไล่เรื่อยตรวจพื้นที่ โดยรอบ เลื่อนไปคราวละตารางนิ้ว แม็กซ์มองเห็นกิง่ ไม้ขยับไหว พุม่ ไม้ขนาดใหญ่ หนาทึบ ฟากตรงข้าม ของลานโล่ง ลมอ่อนพัดโบกโบย พุ่มใบไหวเอนไปทางเดียวกัน แต่กิ่งไม้ ตรงหน้าแกว่งขยับในทิศตรงข้าม แม็กซ์เขม้นจ้องมองเห็นเงาเลือนรางสูง จากพืน้ หกฟุต เขาย้อนนึก จ�ำได้วา่ พรานน�ำทางหนุม่ สวมหมวกขนจิง้ จอก แม็กซ์ถืออาวุธคัดสรรเหมาะมือ เอ็ม-16 คาร์บิน ล�ำกล้องสั้น พับฐาน น�้ำหนักเบา วางใจได้ทุกกาลอากาศ นิ้วหัวแม่มือขวาดันสลักไป ยังโหมด ‘อัตโนมัต’ิ บีบไกส่งกระสุนพรืดออกไปเป็นสาย กระสุนครึง่ แม็ กกาซีนตัดพุ่มไม้กระจุย เงาเลือนรางหายวับไป จากนั้น โผล่กลับมาให้ เห็นตรงบริเวณที่ล้มลง พันตรีแม็กซ์เดินออกจากที่ซ่อน ไชแอนน์ไม่เคยใช้คอ้ นหิน อาวุธสัน้ ทีเ่ ลือก จะเป็นขวานเหล็ก ใช้ตดั 137


เฉือนหรือหวดลงล่างจากหลังม้า หรือขว้างเข้าเป้าด้วยความเร็วสูงแม่นย�ำ ขวานบินเข้าเป้าที่ไบเซ็ปส์ขวาของพันตรีแม็กซ์ ฉีกเนื้อตัดกระดูก แหลกละเอียด คาร์บินหลุดร่วงลงจากมือที่ไร้ประสาทควบคุมสั่งการ แม็กซ์ก้มลงมองแผล ใบหน้าเผือดขวา ดึงขวานเหล็กออกจากท่อนแขน ขวานหลุดร่วง เลือดแดงฉานสีสดพุง่ ออกมาเป็นล�ำ มือข้างซ้ายยกขึน้ ห้าม เลือด จากนั้น หมุนตัว วิ่งย้อนกลับไปทางเดิม พรานน�ำทางหนุ่มปล่อยเชือกยาวห้าสิบฟุตในมือซ้ายที่ใช้โยกส่าย พงพุ่ม เดินออกไปเก็บขวานและหมวกขนจิ้งจอก ก่อนจะวิ่งย้อนกลับมา หาโรสบัด แบรดด็อกกับอีกสามคนที่เหลือ พบพันตรีแม็กซ์ยืนพิงต้นไม้ หอบ หายใจยากล�ำบาก นายอ�ำเภอลูอิสได้ยินเสียงปืนอัตโนมัติ ระลอกที่สองของวัน เสียง ต่างชุดจากปืนยิงควายของพรานน�ำทาง เร่งม้าเข้าหาเสียง เจ้าหน้าที่ พิทักษ์ป่าอาวุโสเหลือบมองแขนตกห้อยข้ างกาย พูดออกมาเพียงว่า “ขันชะเนาะ” เปิดเป้หลังหยิบชุดปฐมพยาบาลออกมา ในระหว่างที่ท�ำแผลและเก็บเศษกระดูกให้เข้าที่ นายอ�ำเภอลูอิส รับฟังค�ำอธิบายจากแบรดด็อก นายอ�ำเภอถลึงตามองเศรษฐีชาวไร่ด้วย สายตาหยามหมิ่น “ฉันน่าจะจับพวกแกทุกคนยัดเข้าห้องขัง” นายอ�ำเภอค�ำรามออกมา “...ท�ำจริงๆ ถ้าไม่ได้อยูก่ ลางป่า แก้ปญ ั หาเฉพาะหน้าไปก่อน ย้ายบัน้ ท้าย ออกจากเรื่องนี้ได้แล้ว, มิสเตอร์แบรดด็อก แล้วอย่าได้แส่กลับมายุ่ง” “ฉันจะตามเรื่องนี้ไปจนถึงจุดจบ” แบรดด็อกตะโกนตอบ “...ไอ้ คนป่านั่นขโมยคู่หมั้นของลูกชายฉัน แล้วยังท�ำร้ายคนของฉันอีกสาม...” “ที่ไม่ควรมาเสนอหน้าอยู่ที่นี่” นายอ�ำเภอต่อให้จนจบประโยค “... ฉันจะจับคนผิดมารับโทษตามกฎหมายบ้านเมือง แต่ไม่ตอ้ งการการบาดเจ็บ ล้มตาย ฉันต้องการอาวุธปืนพวกแก...ทุกกระบอก เดี๋ยวนี้เลย” 138


ไรเฟิลหลายสิบกระบอกหันไปหาคณะของแบรดด็อก ปลัดอ�ำเภอ เก็บรวบรวมปืนไรเฟิลและปืนพก นายอ�ำเภอหันไปหาเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ผู้ดูแลแผลของพันตรีแม็กซ์ “ท�ำยังไงดี?” “พาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล เร็วที่สุด” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าตอบ “... จะนั่งม้าย้อนกลับไปที่เรดลอดจ์ก็ได้ แต่เส้นทางขรุขระกว่ายี่สิบไมล์ ต้อง ผ่านเวสต์ฟอร์ก สาหัส อาจจะไม่รอด “ข้างหน้าจะเป็นที่ราบสูงซิลเวอร์รัน วิทยุน่าจะใช้การที่นั่นได้ วิทยุ เรียกเฮโล” “ควรเลือกทางไหน?” “เฮโล” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าตอบ “ต้องผ่าตัดแขนด่วน เร็วที่สุด ไม่งั้นก็ต้องตัดทิ้ง” คณะผู้ติดตามเดินม้าต่อไป ในลานโล่งกลางป่า มีคาร์บินตกบนพื้น ปลอกกระสุนทองเหลือง เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าหยิบมาตรวจ “ลูกศรหัวหินเหล็กไฟ ขวานขว้าง แล้วก็ปืนยิงควาย ไอ้หมอนี่เป็น ใครกัน, นายอ�ำเภอ?” “ฉันเคยคิดว่าฉันทราบ” นายอ�ำเภอลูอิสครางออกมา “...ตอนนี้ ไม่แน่ใจแล้ว” “ชัดที่สุด...” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าสนองรับ “...รับรองได้ว่าไม่ใช่นัก แสดงตกงานเป็นแน่” เบน เครกหยุดที่ขอบป่า เหม่อมองไปข้างหน้ายังที่ราบสูง ห้าไมล์ จากธารที่เคยซุ่มซ่อนตัว อีกสองไมล์ตัดข้ามที่ราบสูงเฮลล์รอริง และไมล์ สุดท้ายขึ้นสู่ยอดเขา เขายกมือลูบหัวและจมูกนุ่มของโรสบัด “อดทนอีกหน่อย, หนู” เขากระซิบบอก “...เหลือการเดินทางอีก ช่วงเดียว เราก็จะเป็นไทแล้ว” เขาขึ้นม้า ชักม้าเดินขึ้นที่ราบสูง สิบนาทีต่อมา คณะผู้ติดตามมา 139


หยุดที่จุดนั้น มองเห็นม้าเดียวเป็นจุดลิบๆ ไกลออกไปหนึ่งไมล์ เมื่อพ้นราวป่าออกมา วิทยุใช้งานได้อีกครั้ง นายอ�ำเภอลูอิสติดต่อ เจอร์รี ทราบชะตากรรมของซิกอร์สกีประทุนใส เจอร์รีบินกลับไปลงที่ บิลลิงส์ได้อย่างปลอดภัย ยืมเบลล์เจ๊ตเรนเจอร์ล�ำโตกว่าบินย้อนกลับมา “ร่อนลงที่นี่ได้เลย, เจอร์รี ไม่ต้องกังวลเรื่องการซุ่มยิง หมอนั่นไป ไกลลิบกว่าหนึ่งไมล์แล้ว พ้นวิถีกระสุน เราต้องส่งคนเจ็บเข้าโรงพยาบาล ช่วยติดต่อนักบินอาสาคนนัน้ ให้ที ฉันต้องการเครือ่ งบินชีเ้ ป้า บินตรงมาที่ ทีร่ าบสูงซิลเวอร์รนั อย่าบินต�ำ่ กว่าห้าพันฟุต แจ้งให้เขาทราบว่าเรามองหา หนึ่งคนหนึ่งม้า มุ่งหน้าขึ้นยอดเขา” หลังบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์เคลือ่ นไปทางตะวันตกทางยอดเขา เมือ่ ใดทีจ่ มดวงหลังยอดเขาสปีรติ และแบร์ทธู ความมืดจะมาเยือนเร็วกว่าปกติ เจอร์รีพาเฮลิคอปเตอร์เบลล์มาถึงที่หมายก่อน เสียงโรเตอร์ตัด อากาศหวีดหวิว เครื่องลงจอดบนพื้นหิน ปลัดอ�ำเภอพยุงพันตรีแม็กซ์ ขึ้นเครื่อง นักบินพาเฮลิคอปเตอร์ขึ้นจากพื้น วิทยุไปยังโรงพยาบาล บิลลิงส์เมมโมเรียล ขออนุญาตร่อนลงจอดทีล่ านจอดรถ และขอให้เตรียม ทีมผ่าตัดฉุกเฉินไว้ให้พร้อม คนบนหลังม้าที่เหลือมุ่งหน้าเดินทางต่อ ตัดข้ามที่ราบสูงซิลเวอร์รัน “มีธารซ่อนอีกแห่งที่หมอนั่นอาจไม่ทราบ” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าชัก ม้ามาเคียงกับนายอ�ำเภอ “เรียกชื่อว่าโตรกธารเลกฟอร์ก สองฝั่งเป็นผา หิน มีทางตัดข้ามจุดเดียวเท่านัน้ ตระเวนหาใช้เวลาชัว่ นิรนั ดร์เลยละ เรา ไล่ตามไปรอที่นั่น น่าจะคว้าตัวได้” “แล้วถ้าหมอนั่นรอซุ่มอยู่ในดงไม้ ปืนไรเฟิลเล็งจ้องพวกเรา ฉันไม่ อยากเสียคนไปอีกคนหรือสองคน เพียงเพื่อพิสูจน์ให้ประจักษ์” “แล้วเราจะท�ำยังไงกันดี?” “ตามไปเรื่อยๆ” นายอ�ำเภอลูอิสตอบ “...หมอนั่นไม่มีทางหนีออก จากเทือกเขาได้ ไม่นา่ จะตัดข้ามลงไวโอมิงได้ ถ้ามีไอ้ปากหมาคอยชี้เป้า 140


อยู่บนฟ้า” “เว้นแต่ว่าจะเดินทางตอนกลางคืน” “ม้าเหนือ่ ย เจ้าสาวสวมชุดไหมรองเท้าผ้าไหม หมอนัน่ ไม่เหลือเวลา อีกแล้ว น่าจะรูต้ วั ดี เราไม่ปล่อยให้เป้าคลาดสายตา รอจนกว่าเครือ่ งบิน ชี้เป้าจะมาถึง” คณะติดตามเดินม้าตามจุดเล็กๆ เบื้องหน้า เครื่องบินชี้เป้าเดินทาง มาถึงก่อนบ่ายสี่โมง นักบินหนุ่มทิ้งงานกลางคันในบิลลิงส์ ผละจาก เคาน์เตอร์ขายอุปกรณ์แคมปิง ยอดทิวไม้เรียงรายบนขอบเหวเลกฟอร์ก โผล่มาให้เห็น เสียงนักบินแตกพร่าผ่านวิทยุของนายอ�ำเภอ “นายอ�ำเภอต้องการอะไร?” “หนึ่งม้าหนึ่งคน มีผู้หญิงสวมชุดแต่งงานสีขาวนั่งซ้อนท้าย มอง เห็นไหม?” ไปเปอร์คับเอียงปีก ร่อนไปหาโตรกธาร “ไม่มีปัญหา มีธารลึกข้างหน้า เขาชักม้าเข้าแนวป่าแล้ว” “อยู่ห่างหน่อย หมอนั่นมีไรเฟิล ยิงแม่นเสียด้วย” นายอ�ำเภอมองเห็นเครือ่ งบินชีเ้ ป้าเชิดหัวสูง เอียงปีกร่อนเป็นวงกว้าง เหนือธารเหว ห่างออกไปราวสองไมล์ “รับทราบ ยังมองเห็นอยู่ เขาลงจากม้า จูงข้ามล�ำธารไปแล้ว” “ไม่มีทางข้ามขึน้ อีกฝัง่ ได้” เจ้าหน้าทีพ่ ทิ กั ษ์ป่าครางออกมา “... เราพอจะไล่กวดได้แล้ว” คณะนายอ�ำเภอเร่งฝีเท้าม้า ทิ้งคณะแบรดด็อกกับซองปืนว่างเปล่า ไว้เบื้องหลัง “อยูห่ า่ งให้พน้ ระยะการยิง” นายอ�ำเภอกรอกเสียงลงในวิทยุ “... หมอนั่นอาจซุ่มอยู่ในดงไม้ เจาะเจอร์รีเป็นรูโบ๋แล้ว” นักบินหัวเราะร่วน “เจอร์รีบินต�่ำแค่หกร้อยฟุต ผมบินหนึ่งร้อย 141


ยี่สิบนอตที่สามพันฟุต ไม่มีทาง อ้อ, เขาขึ้นฝั่งแล้ว เดินจูงม้าเข้าที่ราบ สูงเฮลล์รอริง” นายอ�ำเภอหันไปจ้องหน้าเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า พ่นลมพรืดออกทาง จมูก “เป็นใครก็คงคิดไปได้ว่าเขาเคยเดินทางผ่านแถวนีม้ าก่อน” เจ้าหน้าที่ พิทักษ์ป่าเปรยออกมา “อาจเคยย�่ำแถวนี้เป็นเทือก” นายอ�ำเภอลูอิสตอบ “ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่เคยมีใครผ่านแถวนี้” คณะผู้ติดตามไปถึงขอบหุบผา แต่ทิวไม้สนบดบังชายเหนื่อยล้า ลากจูงม้าและของบรรทุกหนักอึ้งบนหลังขึ้นตลิ่งฝั่งตรงข้าม เจ้าหน้าทีพ่ ทิ กั ษ์ปา่ ทราบว่ามีเส้นทางจุดเดียวเท่านัน้ ทีจ่ ะข้ามฝัง่ ไปได้ แต่รอยเกือกม้าก็ยนื ยันได้วา่ หนุม่ เสือ้ หนังกวางทราบเช่นกัน เมือ่ คณะนาย อ�ำเภอข้ามที่ราบสูงที่สอง เป้าหมายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ไกลลิบเบื้องหน้า “มืดค�่ำแล้ว น�ำ้ มันจวนหมด ผมต้องกลับแล้วละ” นักบินแจ้งมายัง นายอ�ำเภอ “อีกรอบเดียว เขาอยู่ที่ไหน?” “ขึน้ สูย่ อดเขาครับ ลงจากหลังม้า จูงม้าเดิน ปีนไต่เนินผาทางเหนือ ดูทา่ ว่าม้าจะไม่รอด เดินโซซัดโซเซ คงจับตัวได้ตอนรุง่ สาง ล่าสัตว์ให้สนุก นะครับ, นายอ�ำเภอ” ไปเปอร์เอียงปีกกลางฟ้าสลัว บ่ายบินมุ่งหน้ากลับไปยังบิลลิงส์ “เราจะไปต่อไหม, เจ้านาย?” ปลัดคนหนึง่ สอบถาม นายอ�ำเภอลู อิสสั่นศีรษะ อากาศเบาบาง ทุกคนหอบหายใจเอาออกซิเจนจนตัวโยน ค�่ำคืนมาเยือนเร็วเกินคาด “ไม่ไล่ตามกลางความมืด เราจะปักแคมป์จนถึงรุ่งเช้า” นายอ�ำเภอตัง้ แคมป์ปลายขอบป่า หันหน้าไปหายอดเขาทางใต้ กลาง แสงสลัว ดูเหมือนยอดเขาจะขยายขนาด แทบกลบจุดเล็กๆ บนผาหินที่ 142


คืบเคลื่อนเชื่องช้า คณะผู้ติดตามปลดเสื้อหนังบุขนแกะมาสวมใส่ หอบกิ่งไม้แห้งใต้ ทรงพุ่มมากองสุม ไม่นานแคมป์ไฟแผ่แสงเรืองเหลืองจ้าและความอบอุ่น แบรดด็อก ลูกชายและทหารที่เหลือ ปฏิบัติตามค�ำเสนอแนะของนาย อ�ำเภอ ตั้งแคมป์อีกแห่ง ห่างออกไปราวร้อยหลา ไม่มีใครคาดว่าจะต้องมาตั้งแคมป์ค้างคืน ไม่มีใครเตรียมผ้าห่มและ อาหารเย็นติดตัวมาด้วย ผูต้ ดิ ตามนัง่ บนผ้าห่มรองอานม้า เอนพิงอาน กิน ขนมหวานเป็นอาหารมื้อเย็น นายอ�ำเภอลูอิสนั่งเหม่อจ้องเปลวไฟ “จะท�ำอะไรพรุ่งนี้, พอล?” ทอม บาร์โรว์สอบถาม “เดินขึ้นเขาคนเดียว ไม่มีปืน ถือธงขาวกับโทรโข่ง ฉันจะไปเกลี้ย กล่อมให้หมอนั่นลงเขาพร้อมกับผู้หญิง” “อันตรายนะ เขาอาจยิงนายอ�ำเภอเสียก็ได้” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เสนอความเห็น “หากจะฆ่าคน ก็พอจะฆ่าไปแล้วสาม” นายอ�ำเภอร�ำพึง “...ท�ำได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่ท�ำ หมอนั่นน่าจะทราบดีว่าไม่มีทางปกป้องผู้หญิงใน วงล้อมได้ ฉันคิดว่าเขาคงไม่ยิงเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายที่มีธงขาวในมือ ถ้ารับฟังก่อน ไม่น่าจะยิง คุ้มค่าที่จะลอง” ความมื ด หนาวเหน็ บ ห่ อ คลุ ม เทื อ กเขา เบน เครกออกแรงดึ ง อ้อนวอน ลากจูงโรสบัดไปถึงดาดแผ่นหินปากถ�้ำ ม้ายืนขากาง มัดกล้าม เนื้อสั่นเทิ้มในยามที่เจ้านายรับร่างของหญิงสาวลงจากอาน เบนชี้บอกลมกระซิบไปยังถ�้ำหมี เขาปลดหนังควายจากอานมาปูแผ่ ให้เธอนอน ปลดซองลูกศรจากข้างอานม้า ปลดคันธนูสะพายไหล่ น�ำ มาวางเรียงเคียงกับซองหนังบรรจุไรเฟิล ท้ายที่สุด เขาปลดสายรัด ปลด อานออกจากหลังของโรสบัด เมื่อสิ้นภาระบรรทุก โรสบัดก้าวเดินไปหาหย่อมต้นสนแห้งกรังปาก ถ�้ำ ขาหลังทรุดฮวบ โรสบัดนั่งบนบั้นท้าย จากนั้นขาหน้าสิ้นแรง ร่าง 143


ล้มคว�่ำนอนเหยียดยาวบนพื้น เบนคุกเข้าข้างหัวม้า ยกหัวโรสบัดมาพาดบนตัก ลูบปลายจมูกนุ่ม ดุจก�ำมะหยี่ โรสบัดครางออกมาเบา ๆ หัวใจห้าวหาญหยุดเต้น หนุ่มเสื้อหนังกวางเหนื่อยล้าดุจกัน เขาไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน แทบไม่มีอาหารตกลงท้อง ขี่ม้าและเดินเท้ายาวไกลกว่าร้อยไมล์ แต่ก็มี อีกหลายอย่างที่ต้องท�ำ เขาฝืนตัวเองให้เคลื่อนออกจากที่ ทีข่ อบดาดหินปากถ�ำ้ เขายืนมองจุดแสงไฟสองกองเบือ้ งล่าง เขาตัด กิ่งไม้ หอบกิ่งแห้งใบไม้ผุจากจุดที่ชายชราสวมผ้าเตี่ยวเคยนั่ง มารวมเป็น กองก่อกองไฟ แสงไฟอาบดาดหินและส่องถ�ำ้ มืดให้สว่างเรือ่ เรือง อาบร่าง สาวสวยในชุดแต่งงานไหมสีขาว หญิงหนึ่งเดียวที่เขาเคยรักและจะรักได้ เขาเปิดกระเป๋าอานม้า หยิบอาหารที่เตรียมจากป้อม สองหนุ่มสาว นั่งเรียงเคียงกันบนผืนหนัง แบ่งปันอาหารมื้อแรกสุด และมื้อสุดท้ายที่จะ ได้ร่วมกินด้วยกัน เขาทราบดีวา่ เมือ่ ม้าขาดใจตายไปแล้ว การหลบหนีสนิ้ สุดลงแล้ว แต่ ผู้เฒ่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ให้ค�ำมั่นว่าสตรีนางนี้จะเป็นภรรยาของเขา ด�ำรัสตราไว้ ชัดเจนโดยวิญญาณทุกหนแห่ง ต�่ำลงไปบนที่ราบสูง เสียงพูดคุยสนทนาเงียบงันขาดหายไป ทุกคน นั่งจมอยู่ในความเงียบ ใบหน้าอาบด้วยแสงจากแคมป์ไฟ สายตาเหม่อ จ้องมองเปลวเต้นระริก ในอากาศบางเบาบนยอดเขาสูง ความเงียบสงัดถึงขั้นสัมบูรณ์ แสง เรื่อเหลืองจุดแต้มบนยอดเขาหากแต่ไม่รบกวนความเงียบสงัด ถัดจากนั้น ก็มีเสียง เสียงแหวกรัตติกาลมืดมิด เสียงเจือมาในลมกระซิบแผ่วเบาผ่านซอก หลืบหิน เสียงกรีดร้อง ยาวนาน สดใส เสียงของสาวรุ่น เสียงนัน้ มิได้เกิดจากความเจ็บปวด มิใช่เสียงโหยหวนของความท้อแท้ สิ้นหวัง หากแต่เป็นเสียงกรีดร้องครวญครางบรรลุจุดสุดยอดขาดห้วงไม่ 144


เป็นส�่ำ ยาวนานเนิ่นช้า เสียงที่ท้าทายพลังถ้อยบรรยายและการเปล่งซ�้ำ ปลัดอ�ำเภอละสายตาจากกองไฟ เหลียวมองหน้ากัน ก่อนจะก้ม หน้าลงจรดแผ่นอก นายอ�ำเภอมองเห็นหัวไหล่กระตุก สะท้านเยือก ห่างไปอีกร้อยหลา บิ๊กบิล แบรดด็อกลุกขึ้นยืนข้างกองไฟ สายตา ลุกโชนจนลูกน้องไม่อาจประสานตาด้วย ใบหน้าเบือนไปมองจ้องยอดเขา ใบหน้ากลายเป็นหน้ากากแห่งความเกลียดชังและเพลิงพิโรธ เที่ยงคืน อุณหภูมิลดต�่ำ แรกสุด คณะผู้ติดตามคิดว่าเป็นแต่เพียง ความหนาวเหน็บของค�่ำคืนกลางเทือกเขา ซึ่งจะหนาวเย็นกว่าปกติบน ระดับความสูงขนาดนั้น และอากาศเบาบาง ร่างสั่นสะท้าน มือดึงผ้าห่ม รัดคลุมตัว ดึงเสื้อหนังบุขนแกะให้รัดแน่นขึ้น แต่ความเหน็บหนาวแทรก ผ่านกางเกงยีน ทุกคนพร้อมใจกันกระถดเข้าใกล้กองไฟ ต�่ำใต้ศูนย์และลดต�่ำลงเรื่อยๆ ปลัดอ�ำเภอแหงนหน้ามองฟ้า มอง เห็นเมฆหนาไหลมาโอบกอดยอดเขา จุดแสงแต้มบนแผ่นผาของเมาต์ เรียร์การ์ด เขามองเห็นกองไฟ เห็นเพียงแวบเดียวก่อนจะลับหายไปใน เมฆขุ่น ทุกคนเป็นชาวมอนทานา คุ้นชินกับฤดูหนาวหฤโหด แต่สิบวัน สุดท้ายของเดือนตุลาคม เร็วเกินกว่าจะหนาวได้ขนาดนี้ ลุถึงตีหนึ่ง เจ้า หน้าที่พิทักษ์ป่าคาดว่าอุณหภูมิน่าจะยี่สิบใต้ศูนย์ และลดต�่ำ ถึงตีสอง ไม่มีใครข่มตาหลับได้อีกต่อไปแล้ว เท้ากระทืบเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงปลาย เท้า ปากเป่าให้มืออุ่น กิ่งไม้ท่อนไม้เหวี่ยงเข้ากองไฟ แต่ไม่ได้ช่วยให้อุ่น ขึน้ หิมะเกล็ดแรกโรยตัวลงมาเชือ่ งช้า หล่นโปรยลงกองไฟ ส่งเสียงฟู่ ดึง พรากไออุ่นหายไปอีก เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอาวุโสเดินตรงไปหานายอ�ำเภอลูอิส “ผมกับคาลคิดว่าเราน่าจะถอยร่นลงไปในป่าคัสเตอร์” “ที่โน่นจะอุ่นกว่าหรือ?” “น่าจะ” 145


“เกิดเรื่องห่ะอะไรกัน?” นายอ�ำเภอถาม “บอกไป นายอ�ำเภอคงคิดว่าผมเสียสติไปแล้ว” “ลองได้เลย” หิมะโปรยเป็นแผ่นหนา ดาวระยิบหายไปสิ้น ความมืดสีขาวของป่า รกร้างคืบเคลื่อนเข้ามาใกล้ “บริเวณนีเ้ ป็นรอยเชือ่ มต่อของดินแดนโครว์กบั โชโชเน กาลครัง้ หนึง่ นานมาแล้ว นักรบต่อสูก้ นั ทีน่ ี่ ล้มตายมากหลาย ก่อนทีค่ นขาวจะมาเยือน อินเดียนแดงถือว่าทีน่ เี่ ป็นดินแดนศักดิส์ ทิ ธิ์ วิญญาณยังเดินท่องบนยอดเขา เชื่อว่าเป็นแดนแห่งเวทย์ศักดิ์สิทธิ์” “เรื่องเล่าน่าฟัง แล้วเกี่ยวห่ะกับอากาศหนาวเย็นที่ตรงไหน?” “ผมบอกแล้วว่า ถ้าเล่าไป ก็จะพลอยคิดว่าผมเสียสติไปแล้ว แต่ อินเดียนแดงเล่าขานกันสืบมาว่า บางคราววิญญาณทุกหนแห่งจะมา เยือนที่นี่ พาเอาความหนาวเย็นแห่งการหลับใหลยาวนานมาด้วย ความ หนาวเหน็บที่มนุษย์ไม่อาจต้านรับได้ แน่นอนครับ นี่อาจเป็นแต่เพียง ปรากฏการณ์ธรรมชาติผิดปกติไปเท่านั้นเอง แต่ผมก็คิดว่าเราน่าจะย้าย แคมป์ เราจะแข็งตายก่อนอรุณรุ่งถ้ายังปักหลักอยู่ที่นี่” นายอ�ำเภอลูอิสนิ่งคิด พยักหน้ารับ “ขึ้นม้า...” เขาร้องสั่ง “เราจะลงเขา ไปบอกแบรดด็อกกับพวก ด้วย” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าฝ่าม่านหิมะกราดเกรี้ยวย้อนกลับมาในอีกหลาย นาทีให้หลัง “เขาบอกว่าจะถอยกลับไปแค่ธารเหว ไม่ไกลไปกว่านั้น” นายอ�ำเภอลูอิส ปลัดอ�ำเภอ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า กัดฟันต้าน ความหนาวสะท้านเยือก ข้ามโตรกธาร ข้ามที่ราบสูงซิลเวอร์รัน เข้าไป ในราวป่าสน อุณหภูมิในป่าอุ่นขึ้นมาถึงศูนย์องศา กองไฟลุกโชติช่วง ทุกคนรอดชีวิตถึงรุ่งเช้า 146


ตี่สี่ครึ่ง แผงหิมะบนยอดเขาไหลเลื่อนเชื่องช้า ทลายกวาดสรรพ สิ่งที่ขวางหน้าเหมือนก�ำแพงสีขาวพังทลาย กวาดกลบหินใหญ่น้อยบน ที่ราบสูงดงหิน ไหลทะลักมารินเติมโตรกธารจนเต็มถึงขอบแผ่นผา ครึ่ง ไมล์กลางที่ราบสูงซิลเวอร์รัน ก�ำแพงหิมะสิ้นเรี่ยวแรง ทอดราบบนพื้น ฟ้ากระจ่างสดใส สองชั่วโมงถัดมา นายอ�ำเภอลูอิสยืนที่ขอบป่า เหม่อมองไปทางใต้ ภูเขาขาวโพลนไปทั้งลูก ทางทิศตะวันออกแต้มเรื่อสีชมพู สัญญาณของ วันฟ้าใส ท้องฟ้าสีคราม เข้มข้นล�้ำลึก เขากอดวิทยุไว้ในอกเสื้อ ไออุ่น จากเรือนกายช่วยให้วิทยุใช้งานได้ “เจอร์ร.ี ..” นายอ�ำเภอกรอกเสียงลงไป “...เราต้องการคุณทีน่ ี่ เอา เบลล์เจ๊ตเรนเจอร์มานะ เร็วทีส่ ดุ เราพบพายุหมิ ะ เลวร้ายทีส่ ดุ ...ไม่, ไม่ใช่ ที่นั่น เราถอยกลับมาที่ที่ราบสูงซิลเวอร์รัน บริเวณขอบป่า จุดที่แกรับ ทหารรับจ้างคนนั้นไปส่งโรงพยาบาล เราจะอยู่ที่นั่น” เฮลิคอปเตอร์เบลล์สี่ที่นั่งกวัดแกว่งใบพัดมาถึงพร้อมกับแสงแรกสาด อาบพื้นขาวโพลน เจอร์รีพาเครื่องลงจอดบนพื้นดินไร้หิมะปกคลุม นา ยอ�ำเภอลูอสิ สัง่ ให้ปลัดอ�ำเภอสองนายขึน้ ทีน่ งั่ หลัง เขาปีนไปนัง่ ข้างนักบิน “ไปที่ยอดเขา” “แล้วไอ้พลแม่นปืนคนนั้น?” “ฉันไม่คิดว่าจะมีใครรอยิงหว่างขาแก แค่มีชีวิตรอด ก็โชคดีมหันต์ แล้ว” เฮลิคอปเตอร์ใช้เส้นทางที่ม้าย�่ำเป็นเทือกในวันที่ผ่านมา โตรกธาร เลกฟอร์กเหลือจุดสังเกตเพียงแค่ปลายสนโผล่พ้นหิมะขาว แบรดด็อกกับ พวกไม่มีวี่แวว เครื่องบินสู่ยอดเขา นายอ�ำเภอชี้จุดไปยังกองไฟที่สังเกต เห็นในคืนที่ผ่านมา นักบินประสาทกระตุก บินโฉบไปมา เกาะเพดานสูง ไม่ยอมเฉียดลงไปใกล้ระยะหกร้อยฟุตเหนือพื้นดิน นายอ�ำเภอลูอิสมองเห็นก่อน จุดสีด�ำบนแผ่นผา ปากถ�้ำตัดกับ 147


หิมะขาว ปากถ�้ำสีด�ำหน้าดาดหิน กว้างพอที่จะน�ำเครื่องลงจอดได้ “ลงไปเลย, เจอร์รี” นักบินกวาดสายตามองรอบข้าง สดับทุกการเคลื่อนไหว มองหา ร่างตะคุ่มปืนประทับบ่าซ่อนหลังก้อนหิน มองหาเปลวสีส้มแผดออกจาก ปากกระบอกปืน ขับหัวกระสุนด้วยดินด�ำโบราณ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เฮโลหย่อนตัวลงบนดาดหิน โรเตอร์หมุนเร็วจัด พร้อมจะกระชากตัวขึ้น จากพื้น นายอ� ำ เภอลู อิ ส กระโดดออกจากที่ นั่ ง ปื น พกกระชั บ มั่ น ในมื อ ปลัดอ�ำเภอตามหลัง ไรเฟิลกระชับมั่นในมือ ทิ้งตัวนอนราบ ปืนเล็งจ้อง ปากถ�้ำคุ้มกันเจ้านาย ไม่มีการเคลื่อนไหว นายอ�ำเภอลูอิสตะโกนก้อง “เดินออกมา ชูมือสูง ไม่มีใครท�ำอันตรายแก” ไม่มเี สียงตอบ ไม่มกี ารเคลือ่ นไหว นายอ�ำเภอวิง่ สลับฟันปลาตรงไป หากรอบปากถ�้ำ ชะโงกยื่นหน้าไปมองภายใน มีเพียงกองขยุม้ สีดำ� บนพืน้ ถ�ำ้ นายอ�ำเภอสืบเท้าเชือ่ งช้า ระแวดระวัง ผืนสีด�ำ กาลครั้งหนึ่งเคยเป็นหนังสัตว์ผืนใหญ่หนาหนัก บัดนี้ผุกร่อน เปื่อยยุ่ย มีเพียงเส้นเอ็นในเนื้อเท่านั้นที่รัดรึงให้เหลือรูปแผ่น นายอ�ำเภอ ยกชายผืนหนังขึ้น เธอนอนอยู่ในนั้น ชุดแต่งงานไหมสีขาว เกล็ดน�้ำค้างแข็งเกาะพราว บนเส้นผมด�ำขลับ ร่างระทวยเหมือนเจ้าสาวนอนบนเตียงวิวาห์ แต่เมือ่ เขา เอื้อมมือไปแตะ ร่างของเธอเย็นเฉียบเหมือนหินอ่อน นายอ�ำเภอเสียบปืนคืนกลับเข้าซอง ไม่ใส่ใจว่าจะมีพลซุม่ ยิงในละแวก นั้นหรือไม่ เขาโอบร่างเธอ ยกขึ้นจากพื้น เดินออกจากถ�้ำ “ถอดเสื้อขนแกะออก ห่มคลุมตัวเธอ” เขาตะโกนบอกลูกน้อง “วางเธอที่เบาะหลัง กอดเธอไว้ให้แน่น ถ่ายไออุ่นให้เธอ” ปลัดถอดเสื้อกันหนาวหนาหนักออก ห่มคลุมร่างเย็นเฉียบ ปลัด อีกคนรออยู่บนที่นั่งเบาะหลัง กอดรัดร่างสาวน้อย มือถูมือและเท้าเรียก 148


ไออุ่น นายอ�ำเภอผลักปลัดขึ้นที่นั่งข้างคนขับ หันไปบอกเจอร์รี “พาเธอ ไปทีค่ ลินกิ ทีเ่ รดลอดจ์ เร็วด่วน แจ้งให้ทราบว่ามีคนป่วยไฮโปเธอร์เมียใกล้ ตาย เปิดเครือ่ งท�ำความร้อนในห้องโดยสารให้สงู สุด เธอมีโอกาสรอด จาก นั้น ค่อยย้อนกลับมารับฉัน” นายอ�ำเภอแหงนมองเจ๊ตเรนเจอร์ฉีกตัวขึ้นสูง เหนือที่ราบสูง เหนือ ยอดเขา เหนือป่ารกร้าง จากนั้น ย้อนกลับเข้าไปตรวจในถ�้ำ เดินย้อน กลับออกมา พบหินก้อนใหญ่ นายอ�ำเภอลูอิสนั่งบนก้อนหิน เหม่อมอง ภาพกระจ่างชวนอัศจรรย์ใจเบื้องหน้าทางทิศเหนือ ในคลินิกที่เรดลอดจ์ หมอและพยาบาลช่วยเหลือกู้ชีวิตสาวน้อย เปลื้องชุดแต่งงานไหมออกพ้นตัว ถูฝ่ามือ ฝ่าเท้า ท่อนแขน ท่อนขา และล�ำตัว อุณหภูมิพื้นผิวต�่ำใต้ระดับฟรอสต์ไบต์ อุณหภูมิแก่นกลางอยู่ ในย่านอันตราย ยี่สิบนาทีถัดมา หมอสังเกตพบการเต้นแผ่วเบาในอก หัวใจสาว รุ่นต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตให้รอด สองครั้งสองคราที่หัวใจหยุดเต้น หมอกด กระแทกซี่โครงเรียกลมหายใจคืนกลับ อุณหภูมิแก่นกลางเริ่มสูงขึ้น อีกครัง้ ทีห่ วั ใจหยุดเต้น หมอเป่าปาก เป่าลมเข้าไปช่วยปอดให้ทำ� งาน อีกครั้ง อุณหภูมิในห้องร้อนระดับห้องอบไอน�้ำ ผ้าห่มไฟฟ้าห่มคลุมท่อน ขาเปิดเร่งความร้อนสูงสุด ชั่วโมงผ่านไป เปลือกตากะพริบ สีเขียวคล�้ำละลายหายไปจาก ริมฝีปาก พยาบาลตรวจวัดอุณหภูมิแก่นกลาง สูงขึ้นพ้นขีดอันตรายและ ไต่สูงขึ้น อัตราเร็วของการเต้นของหัวใจคงที่ เต้นแรงขึ้นทุกขณะ ครึ่งชั่วโมงถัดมา ลมกระซิบเปิดเปลือกตากลมโต ริมฝีปากขยับ กระซิบ “...เบน?” หมอพร�่ำสวดมนต์ขอบคุณฮิโปเครติสและครูแพทย์ทั้งหลายที่สอน สั่งสรรพวิชา “ไม่ใช่เบน...หมอชื่อลูค แต่ช่างเถอะ หมอคิดว่าจะเราเกือบจะ 149


สูญเสียหนูไปแล้ว” จากก้อนหิน นายอ�ำเภอลูอสิ มองเฮลิคอปเตอร์เจ๊ตเรนเจอร์ยอ้ นกลับ มารับ เขามองเห็นจากระยะห่างหลายไมล์ สดับเสียงโรเตอร์ตัดแหวก อากาศดังกึกก้อง บนยอดเขาสุขสงบเหลือเกิน เมือ่ เจอร์รนี ำ� เครือ่ งลงจอด นายอ�ำเภอกวักมือเรียกปลัดอ�ำเภอผู้นั่งข้างนักบิน “เอาผ้าห่มมาสองผืน” นายอ�ำเภอร้องตะโกนแข่งกับเสียงโรเตอร์ที่ ค่อยหมุนกวัดแกว่งเชื่องช้า เมื่อปลัดเดินมาถึงข้างกาย นายอ�ำเภอชี้นิ้ว ไปในถ�้ำ “...ต้องพาเขากลับไปด้วย” “ไม่ไหวน่า, นายอ�ำเภอ” “วะ, กาลครั้งหนึ่ง เขาเป็นบุรุษชาติอาชาไนย ควรจะรับได้รับการ กลบฝังเยี่ยงคริสเตียน” กะโหลกขาวโพลนของม้าวางตะแคง ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ถูกจิกกิน หายไปหมดจดเกลี้ยงเกลา ขนหางและแผงคอหายไปสิ้น นก อาจคาบไปถักทอท�ำรวงรัง แต่ฟันหน้าตัด มีร่องรอยสึกกร่อนจากการ บดเคี้ยวหญ้าทุ่งแพร์รี ยังอยู่เต็มกราม บังเหียนป่นเป็นผง แต่เหล็กพาด ปากม้ายังพาดคาปาก กีบเท้าสีน�้ำตาลยังคงอยู่ ประกบด้วยเกือกม้า ตอกตะปูตรึงติดด้วย ฝีมือของช่างตอกเกือกม้าทหารม้า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กะโหลกของบุรษุ อยูไ่ ม่ไกลนัก นอนหงายประหนึง่ เสียชีวติ ไปในตอน เอนกายนอนหลับใหล เสื้อผ้าแทบจะไม่เหลือ เศษเสื้อหนังกวางเกาะติด กระดูกซี่โครง ปลัดอ�ำเภอกางผ้าห่มลงข้างซากนั้น เก็บกระดูกวางบน ผ้าห่ม ครบทุกชิ้น นายอ�ำเภอหันมาหาข้าวของที่เคยเป็นสมบัติของหนุ่ม เสื้อหนังกวาง ลมและความแปรปรวนนับฤดูกาลไม่ถ้วนสลายกระเป๋าอานม้าและ อานให้กลายเป็นเศษหนังผุเปื่อย ในกองผงเศษหนัง มีกระสุนทองเหลือง สุกปลั่ง นายอ�ำเภอลูอิสเก็บรวมกองไว้บนผ้าห่ม 150


มีดโบวี่ สนิมเคลือบสีน�้ำตาล ซ่อนอยู่ใต้ซองหนังปักลูกปัด ป่นเป็น ผงเมื่อมือแตะ ซองหนังที่ครั้งหนึ่งเคยบรรจุไรเฟิลของพรานน�ำทาง ฉีก เป็นชิ้นยาวจากจะงอยปากนก ปืนไรเฟิลสนิมเขรอะเต็มล�ำกล้อง แต่ยัง อยู่ครบโครงรูปปืนไรเฟิล สิง่ ทีช่ วนฉงนเป็นทีส่ ดุ จะเป็นลูกศรสองดอกในซองไม้ ถากเหลาจาก ไม้โอซซาจเชอร์รี่ บากหัวท้ายเพื่อรัดเชือกหนัง และขวานเหล็ก ทั้งหมด ดูเหมือนของใหม่ หัวเข็มขัดและสายหนังเส้นหนายังเหลือรอด นายอ�ำเภอลูอิสเก็บรวบรวมข้าวของทุกชิ้น ห่อในผ้าห่ม กวาดสาย ดูทั่วถ�้ำ เผื่อจะมีสิ่งใดหลงหูหลงตา ปีนขึ้นเครื่อง ปลัดอ�ำเภอหอบผ้าห่ม อีกผืนขึ้นเบาะหลัง เจ๊ตเรนเจอร์ขึ้นจากพื้นเป็นครั้งสุดท้าย ลอยตัวขึ้นเหนือที่ราบสูง ทั้งสอง บินผ่านป่าเขียวขจีของอุทธยานแห่งชาติ สุกปลั่งใต้แสงอาทิตย์ ยามเช้า นายอ�ำเภอลูอสิ ก้มลงมองโตรกธารเลกฟอร์ก หิมะรินเติมจนเต็มปริม่ คงจะมีคณะส�ำรวจออกมาหาซากศพเมือ่ หิมะละลาย แต่เขาก็ทราบดีวา่ ไม่มี ผู้ใดเหลือรอดชีวิต เขาก้มลงมองดงหินและป่าไม้ ครุ่นคิดถึงชายหนุ่มเสื้อ หนังกวางที่เขาและคณะล่าไล่ข้ามพื้นที่ทุรกันดาร จากระดับความสูงห้าพันฟุต เขามองเห็นธารร็อกทางขวามือ เลยไกล ออกไป รถราแล่นได้แล้วบนทางหลวงระหว่างรัฐ ต้นสนโค่นขวางถนนถูก ลากทิง้ พ้นทาง เครือ่ งบินผ่านเรดลอดจ์ เจอร์รวี ทิ ยุสอบถามปลัดอ�ำเภอที่ เฝ้าอยูท่ นี่ นั่ ทราบว่าหญิงสาวอยูใ่ นห้องดูแลผูป้ ว่ ยหนัก แต่หวั ใจยังเต้นอยู่ สี่ไมล์ทางเหนือเมืองบริดเจอร์ มุ่งหน้ากลับบ้าน เขาพอจะมองเห็น ปื้นสีด�ำไฟลามทุ่งไหม้ลามกว่าร้อยเอเคอร์ ห่างไปอีกยี่สิบไมล์เป็นสนาม เขียวขจีกว้างใหญ่ไพศาลและวัวเขายาวของไร่บาร์-ที เฮลิคอปเตอร์บินข้ามเยลโลว์สโตนและทางหลวงทางตะวันตกของ เมืองโบซแมน ลดระดับความสูง ร่อนลงสนามบินบิลลิงส์ในท้ายที่สุด 151


“คนที่ถือก�ำเนิดแต่สตรี มีเวลาชีวิตเพียงน้อยนิด” ปลายเดือนกุมภาพันธ์ อากาศเหน็บหนาว ในสุสานเล็กๆ ในเมือง เรดลอดจ์ มุมสุสานมีหลุมเพิ่งขุดใหม่ ไม้วางพาดขวางหลุมสองท่อน วาง ทับด้วยโลงไม้สนราคาถูก บาทหลวงพึมพ�ำสวดมนต์ด้วยความยากล�ำบาก สัปเหร่อสองนาย ชกถุงมือรอคอย มีผรู้ ว่ มพิธเี พียงหนึง่ เดียว สวมรองเท้าบูต๊ หิมะ เสือ้ คลุม ผ้าควิลต์ ศีรษะไร้หมวก ผมด�ำสลวยเคลียไหล่ อีกฟากหนึง่ ของสุสาน ชายร่างใหญ่ยนื อยูใ่ ต้รม่ ไม้จบั ตามอง แต่ไม่ได้ เข้าร่วมพิธี สวมเสือ้ โค้ตบุขนแกะต้านความหนาวเย็น ดาวโลหะติดหน้าอก ช่างเป็นฤดูหนาวแปลกประหลาดเอาการ ชายผู้นั้นคิดในใจ มิสซิส แบรดด็อก ภรรยาผู้ตกพุ่มหม้าย ดูเหมือนจะปลอดโปร่งโล่งใจ ยิ่งไป กว่าช�้ำระทมหมองเศร้า เธอผุดโผล่ออกมาจากการปลีกวิเวก เข้ามานั่ง ต�ำแหน่งประธานบริษัทเนื้อสเต็กแบรดด็อก ท�ำผมใหม่ขัดผิวหน้า เลือก เสื้อผ้าเหมาะเจาะฉายแววมาดมั่น ออกไปปาร์ตีพบปะผู้คน เธอแวะไปเยี่ยมสาวน้อยในโรงพยาบาล พูดคุยกันถูกคอ เสนอ กระท่อมน้อยในบ้านไร่ให้เป็นทีพ่ กั พิงปลอดค่าเช่า และเสนองานต�ำแหน่ง เลขานุการินีประจ�ำตัวประธานบริษัท สาวน้อยรับข้อเสนอทั้งสอง ยิ่งไป กว่านัน้ เธอมอบค่าท�ำขวัญให้สาวน้อย โดยยกหุน้ เสียงข้างมากในธนาคาร กสิกรให้แก่ไมเคิล พิกเก็ตต์ “จากโลกสูโ่ ลก จากเถ้าสูเ่ ถ้า จากธุลสี ธู่ ลุ ”ี บาทหลวงสวดส่งท้าย เกล็ดหิมะปลิวโปรยในสายลมอ่อน เกาะติดเรือนผมด�ำขลับประหนึ่งแต้ม แต่งด้วยกุหลาบไวล์ด็อก สัปเหร่อดึงรั้งยกเส้นเชือก เท้าเตะไม้พาดขวางปากหลุม โรยโลงไม้ สนลงสู่ก้นหลุม ถอยห่างนิ่งรอคอย สายตาจ้องจับอยู่ในใบพลั่วปักกอง ดินพูนสูงข้างหลุม ในโบซแมน นักพยาธิวทิ ยาใช้เวลาเนิน่ นาน ตรวจสอบละเอียดถีถ่ ว้ น 152


ออกรายงานว่า กระดูกนั้นน่าจะเป็นของชายสูงไม่เกินหกฟุต เปี่ยมด้วย พละก�ำลัง ไม่มีรอยแตกร้าวในกระดูก ไม่มีร่องรอยบาดแผลที่น่าจะเป็นสาเหตุ การตาย ดังนั้น น่าจะอนุมานได้ว่าน่าจะเป็นการเสียชีวิตตามธรรมชาติ ทันตแพทย์ฉงนฉงายไปกับฟันทั้งปาก ฟันขาววาววับ ไม่มีแม้ฟันผุ แม้แต่รูเดียว อายุของฟันน่าจะกลางช่วงวัยยี่สิบ นักวิทยาศาสตร์ทดสอบอายุอาภรณ์ชิ้นอื่นด้วยคาร์บอน-14 ยืนยัน ว่าสารอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อหนังกวาง หมวกขนจิ้งจอก และ หนัง น่าจะอยู่กลางทศวรรษ 1870 ปริศนาทีห่ าค�ำตอบไม่ได้ จะเป็นซองลูกศร คันธนู ลูกศรอีกสองดอก และขวานเหล็ก การทดสอบเดียวกัน ยืนยันว่าเป็นของใหม่ สมมติฐาน ที่พอจะฟังได้ก็คือ อเมริกันอินเดียนขึ้นไปเยี่ยมเยือนถ�้ำบนยอดเขาเมื่อ ไม่นานมานี้ น�ำอาวุธวางไว้ข้างกายวีรบุรุษ เซ่นสังเวยชาติอาชาไนย ผู้เสียชีวิตนานแสนนานมาแล้ว มีดโบวีปฏิสงั ขรณ์จนได้สภาพสมบูรณ์ ด้ามงากลมกลึง ใบมีดวาววับ คมกริบ แขวนประดับบนผนังห้องท�ำงานของพันตรีอิงเกิลส์ นายอ�ำเภอ ลูอิสอ้างการครอบครองปืนไรเฟิลชาร์ป ปฎิสังขรณ์โดยมืออาชีพเช่นกัน แขวนประดับผนังเหนือเก้าอีใ้ นห้องท�ำงาน นายอ�ำเภอประสงค์จะน�ำสมบัติ ล�้ำค่าชิ้นนี้ติดตัวไปเมื่อเกษียณอายุ “ด้วยความเชือ่ มัน่ ของการฟืน้ คืนชีวติ และชีวติ หลังการตาย อาเมน” สัปเหร่อระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก กระตุ้นการไหลเวียน ของโลหิตในร่างโดยการออกแรงใช้พลั่วตักดินเทลงหลุม บาทหลวงกล่าว ปลอบโยนผูร้ ว่ มพิธี แตะปลายนิว้ บนท่อนแขนก่อนจะลาจาก เดินดุม่ เข้าไป หาความอบอุ่นในบ้านพักพระ เธอมิได้ขยับไหวติง การสอบปากค�ำของผู้ป่วยในโรงพยาบาลไร้ผล เธอมิได้ปริปากบอก เล่าเรื่องราวใด นักข่าวแต้มสีใส่ไข่ให้เป็นข่าว รายงานว่าการไล่ล่าทรหด 153


จบลงด้วยการหนีหน้าของบุรษุ ชายผูน้ นั้ ขึน้ ม้าในความมืด หนีหน้าหายไป ในป่าดงดิบของไวโอมิง ปล่อยให้สาวเจ้านอนรอความตายในถ�ำ้ หนาวเหน็บ ตามล�ำพัง สัปเหร่อถมหินย่อยจากภูเขาทับลงบนดินที่ขุดขึ้นมา โรยหน้าด้วย กรวดสีน�้ำตาลที่เตรียมมาอีกสี่ถุง สิน้ งาน สัปเหร่อค้อมศีรษะยกปีกหมวกขนสัตว์คารวะ คว้าพลัว่ เดิน จากไป ชายร่างใหญ่เดินออกจากร่มไม้ตรงไปหา ไปยืนเรียงเคียงข้าง เธอ ไม่ขยับตัว เธอทราบว่าเขาอยู่ที่นั่น ทราบว่าเขาเป็นใคร เขาถอดหมวก ออก ถือด้วยมือสองข้าง “เราค้นไม่พบเพื่อนของคุณ, มิสพิกเก็ตต์” “คงไม่” เธอถือดอกไม้ด้วยสองมือ กุหลาบสีแดงก้านยาวดอกเดียว “ผมเดาเอาว่าไม่มีทางหาพบ” “คงไม่” เขารับกุหลาบแดงจากมือของเธอ คุกเข่าวางกุหลาบบนก้อนกรวด ปลายหลุม หัวหลุมปักด้วยกางเขนไม้ ร่วมบริจาคโดยชาวเมืองเรดลอดจ์ ช่างเหล็กประจ�ำเมืองตีตราเป็นอักขระด้วยเหล็กเผาไฟแดงฉาน อ่านเป็น ค�ำชัดเจนก่อนจะเลือนหายไปในกาลเวลา ความว่า ที่นอนทอดกาย ของพรานพงไพร เสียชีวิตในเทือกเขา ชาตะ 1877 นามนั้นฝากไว้กับพระผู้เป็นเจ้า นิทราสุขสงบสันติ

154


ชายผู้นั้นหยัดกายขึ้นยืน “มีอะไรให้ผมช่วยได้ไหม? ต้องการให้ขับรถไปส่ง?” “ไม่ค่ะ, ขอบคุณ ฉันมีรถ” เขาวางหมวกกลับคืนที่ แตะปีกหมวกคารวะ “โชคดี, มิสพิกเก็ตต์” เขาเดินจากไป ประตูรถติดตรานายอ�ำเภอมณฑล รถจอดนอกสุสาน เขาเงยหน้ามองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ยอดเขาเทือกแบร์ทธู เปล่งประกาย ระยิบระยับในแสงอาทิตย์ สาวน้อยยืนสงบนิง่ อีกนานทีป่ ลายหลุม จากนัน้ เธอหันกลับ เดินออก ประตูสุสาน ลมกระโชกพัดวูบจากยอดเขา พัดเป่าชายเสื้อคลุมผ้าควิลต์ เผยให้ เห็นหน้าท้องโป่งนูนสี่เดือน

4

155


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.